“ข้าเพียงแต่เป็นห่วงสุขภาพของท่านก็เท่านั้น ข้าเป็นห่วงมิได้หรือ” หนานกงเลี่ยกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์คล้ายกับจะบอกว่าไม่เห็นมีอะไรต้องเป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูยียวนอย่างไรชอบกล
เมื่อเห็นภาพนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็พูดด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า ”สหายซวง ที่นั่งข้างๆ ข้ายังว่างอยู่ เจ้านั่งตรงนี้ก็ได้”
หนานกงเลี่ยไม่คิดว่านางจะช่วยพูดแทนคุณชายอู๋ซวง เขาขมวดคิ้วใส่เฮ่อเหลียนเวยเวยก่อน แล้วจากนั้นจึงเคลื่อนสายตามองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ จะมีก็แต่ตอนที่เขาได้ยินเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาจึงยอมช้อนดวงตาอันงดงามคู่นั้นขึ้นมา
รอยยิ้มสุภาพที่ปรากฏอยู่บนปากของจิ่งอู๋ซวงยังคงไม่จางหายไป ”ขอบใจเจ้ามาก” คำพูดนี้เขาจงใจพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวย
ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้น ”ไม่เป็นไร การอยู่ร่วมกันต้องอาศัยมารยาท มันเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว” เขาเคยช่วยเหลือนางมาก่อน ดังนั้นในเวลานี้นางจึงต้องการตอบแทนบุญคุณของเขา อีกอย่าง เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
“ข้ารบกวนเจ้าหรือเปล่า” จิ่งอู๋ซวงเหลือบมองชายที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของนาง จากนั้นจึงสบตากับเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาของเขาโค้งขึ้นอย่างอ่อนโยน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ แล้วตอบว่า ”ไม่เลย” เขาจะนั่งตรงไหนก็ไม่เกี่ยวกับนาง แต่ที่สำคัญคือนางต้องการช่วยให้เขารอดพ้นไปจากสถานการณ์นี้ต่างหาก
หลังจากคุณชายอู๋ซวงนั่งลง เขาก็ไอออกมาเล็กน้อย ก่อนเผยรอยยิ้มที่แทบจะละลายได้ทั้งหิมะและน้ำค้างให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย
บนโลกนี้มีผู้ชายประเภทนี้อยู่ ผู้ชายที่สามารถทำให้บรรยากาศรอบตัวของเขานุ่มนวลขึ้นได้โดยไม่ต้องพูดอะไร เพียงแค่ทิ้งตัวลงนั่งเฉยๆ ก็สามารถทำให้เกิดเป็นภาพอันงดงามได้
และจิ่งอู๋ซวงเป็นผู้ชายประเภทนี้
หนานกงเลี่ยหันไปส่งสายตาให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว ซึ่งสายตานั้นมีความหมายว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรหน่อยหรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจเขา มีเพียงแค่ดวงตาของเขาเท่านั้นที่สูญเสียความอบอุ่นในยามปกติไป แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสง่างามของเขา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความสง่างามของเขากลับทวีมากเสน่ห์ขึ้นด้วยเหตุผลบางประการ มันสามารถทำให้หัวใจของคนที่เห็นสั่นสะท้านได้ราวกับมีเวทมนตร์ เขายกมือขึ้น แล้วชี้นิ้วไปที่ตำราของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ตรงนี้เขียนผิด”
“หืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าทำไมหัวข้อสนทนาถึงเปลี่ยนมาเป็นเรื่องนี้ได้ แต่นางก็ยังคงตอบไปโดยสัญชาตญาณว่า ”เจ้าบอกให้ข้าเขียนแบบนี้มิใช่หรือ มันยังผิดอยู่อีกหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงอืมอย่างใจเย็น
ด้วยเหตุนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงไม่ทันได้ระวังองค์ชายสามอีก ทันทีที่ได้ยินว่านางเขียนผิด นางก็ขยับศีรษะของตัวเองเข้าไปหาเขาโดยไม่รู้ตัว นางไม่ได้สังเกตเลยว่าการกระทำของนางนั้นดูสนิทสนมและล่อแหลมเพียงใด จิ่งอู๋ซวงเก็บภาพทั้งหมดนั้นไว้ในสายตา
จิ่งอู๋ซวงหรี่ตาลง เขาบังเอิญสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโดยไม่ตั้งใจ
จากนั้นจิ่งอู๋ซวงก็ถึงกับชะงักไป
สายตานั้นเป็นสายตาที่เย็นยะเยือกไร้ซึ่งความอบอุ่น มันเหมือนกับสายตาของผู้ที่เหนือกว่า เต็มไปด้วยความกดดันจนทำให้หายใจแทบไม่ออก
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นสายตาเช่นนี้มันผ่านมานานเพียงใดแล้วนะ
ผู้ชายคนนี้…
จิ่งอู๋ซวงลดสายตาลง แสร้งทำเป็นอ่านตำราของตัวเองราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากสายตานั้น แต่ความจริงแล้วเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
หลังจากคาบเรียนอันแสนวุ่นวายจบลง
เสียงซุบซิบนินทาของเหล่าลูกศิษย์ก็ลามออกไปเหมือนวัชพืชป่า ทุกเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องของศิษย์ใหม่ผู้ลึกลับคนนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่อยากรู้ข้อมูลของเขา
จากการที่มีชายหนุ่มหน้าตาดีหลายคนเข้ามาอยู่ในหอ ดูท่าว่าปีนี้หอสามัญจะโชคดีมากทีเดียว
เพียงแต่ว่าลูกศิษย์สองคนแรกนั้นต่างก็เป็นเด็กมีปัญหากันทั้งสิ้น คนหนึ่งนั้นเหมือนกับเทพเซียน แม้จะหล่อเหลา แต่การจะเข้าถึงเขานั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มีเด็กสาวจำนวนหนึ่งที่อยากส่งจดหมายให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่ทุกครั้งที่พวกนางมองใบหน้าของเขา พวกนางก็รู้สึกหน้ามืดก่อนที่จะทันพูดอะไรออกมาเสียอีก
ยิ่งกว่านั้น ผู้ชายคนนี้ก็น่าจะโยนจดหมายของพวกนางทิ้งทันทีที่ได้รับไป หรืออาจจะไม่สนใจหญิงสาวที่เดินผ่านตัวเองไปเลยด้วยซ้ำ
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น เขาก็มักจะมีของขวัญมากมายกองอยู่รอบตัว แน่นอนว่าเขาเป็นคนเข้าถึงง่าย แต่เขาก็ไม่สามารถให้ความรู้สึกปลอดภัยในยามที่อยู่ด้วยได้
แต่ศิษย์ใหม่คนนี้แตกต่างออกไป ความสง่างามและความสมถะอันเข้าถึงง่ายของเขาทำให้ยากนักที่อาจารย์จะไม่ถูกใจ เมื่อรวมกับเสียงไอเบาๆ ในบางครั้ง เด็กสาวทั้งหลายต่างก็รักใคร่และสงสารเขากันทั้งนั้น
ดังนั้นทันทีที่ถึงเวลาพัก จึงมักมีเด็กสาวสองหรือสามคนตรงเข้าไปห้อมล้อมเขาเพื่อทำความรู้จักเขาให้มากขึ้นเสมอ
จิ่งอู๋ซวงตอบคำถามของพวกนางอย่างมีชั้นเชิง
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งฟังเขา นางต้องชื่นชมว่าคุณชายจากตระกูลนี้สามารถเรียบเรียงทุกประโยคที่ตนต้องการพูดออกมาได้อย่างเหมาะสมทีเดียว เขาจะต้องเป็นคนที่ฉลาดมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ชิงจ้านไม่รู้ที่มาของจิ่งอู๋ซวง แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเฮ่อเหลียนเวยเวยและการแสดงออกของคนอื่นๆ นางก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางจิ่งอู๋ซวง
สายตาของนางทำให้ดวงตาของหนานกงเลี่ยที่อยู่ไกลออกไปเย็นเยียบยิ่งขึ้น
เขาเอนตัวแล้ววางมือบนไหล่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ทำไมเขาถึงไม่อยู่ที่เมืองอู๋ซิวล่ะ เขามาที่นี่ทำไมกัน มาเกี้ยวสาวหรือ”
“มือเจ้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลื่อนสายตาลง เสียงของเขายังคงฟังดูไม่แยแสเหมือนเคย ”เจ้าไม่ต้องการมือของตัวเองอีกแล้วหรือ”
ดวงตาของหนานกงเลี่ยปรากฏความเจ้าเล่ห์ขึ้นมา ”อาเจวี๋ย ในฐานะพี่น้องของเจ้า อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าก็แล้วกัน มีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่ชายผู้นี้จะมาที่นี่เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวย ช่วงหลังมานี้ โลกของเวยเจ๋อนั้นกำลังทรงอำนาจขึ้นเรื่อยๆ และเขาที่เป็นนายแห่งเมืองอู๋ซิวย่อมต้องรู้สึกอิจฉาเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่แปลกจริงๆ ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเป็นฝ่ายที่เริ่มพูดกับเขา ฟังจากที่นางพูดแล้ว ดูเหมือนว่าทั้งสองคนน่าจะเคยพบกันมาก่อน เรื่องนี้จะหมายความว่าอะไรได้อีก พวกเขาเข้าอกเข้าใจกันเพราะอยู่ในสายอาชีพเดียวกันไม่ใช่หรือ”
เข้าอกเข้าใจกันหรือ
หลังจากที่ได้ยินคำสี่คำนี้ มุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชาชั่วร้ายที่พร้อมทำร้ายทุกสายตา ความเย็นชานั้นรุนแรงเสียจนหนานกงเลี่ยถึงกับต้องกลืนคำพูดต่อไปกลับลงคอ
ศิษย์คนอื่นๆ ยังคงมัวแต่สนใจอยู่กับศิษย์ใหม่คนนั้น
“จริงสิ เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาหรือเปล่า ว่ากันว่าที่หอชั้นเลิศก็มีศิษย์ใหม่เหมือนกันนะ นางดูเหมือนกับเทพธิดาไม่มีผิด ข้าสงสัยจริงๆ ว่าคุณหนูคนนั้นเป็นใคร นางดูค่อนข้างเด็ก แต่ระดับพลังปราณของนางกลับแข็งแกร่งยิ่งนัก นางสามารถทำให้ลูกแก้วส่องแสงได้ทั่วทั้งลานเชียว แม้แต่ท่านเจ้าสำนักก็ยังเอ่ยชม และที่สำคัญกว่านั้นนางยังรู้วิธีสร้างอาวุธอีกด้วย นางมีอาวุธพิเศษประจำตัวด้วยนะ!”
“มีคนเช่นนั้นอยู่ด้วยหรือ นางมาจากไหนกัน ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าในเมืองหลวงมีคนเช่นนางอยู่!”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ข่าวนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง อาจารย์จากหอชั้นเลิศเป็นคนพูดเองเชียวนะ…”
ข่าวลือเรื่องศิษย์ใหม่สร้างความตื่นเต้นในหมู่ลูกศิษย์ได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้น มันกลับเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่สามารถทำให้นางสนใจได้ ยิ่งกว่านั้นใจของนางก็จดจ่ออยู่กับการตามหากองกำลังลับเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่ได้สนใจข่าวนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่ที่ทำให้นางหงุดหงิดคือคำพูดที่หยวนหมิงกระซิบบอกนางในหู ”เด็กสาวคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ”
“หืม” เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น นางก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่บริเวณย่านการค้าที่นางไปบ่อยๆ นางดูเหมือนกำลังเลือกหนังสืออยู่
แต่ประเด็นก็คือ มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมาเยือนสถานที่แห่งนี้นอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวย
โดยปกตินั้นเมื่อใดที่มีคนนอกอยู่ด้วย ผู้อาวุโสห้วนจะไม่ปรากฏตัวออกมา แต่วันนี้เขากลับนั่งอยู่ในสวนอย่างสบายใจ ข้างๆ มือของเขามีชาร้อนถ้วยหนึ่งวางอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มแล้วเดินทอดน่องไปที่นั่น
เมื่อเด็กสาวคนนั้นเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย นางก็ยิ้มด้วยความสง่างามพลางเดินเข้ามาหา ”บังเอิญจัง”
“บังเอิญจริงๆ” เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเลือกที่จะทำเป็นนิ่งเฉย แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครสามารถคาดเดาอารมณ์ของนางได้
เด็กสาวคนนั้นเอียงศีรษะ แล้วมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ครู่หนึ่ง นางหมุนตัวกลับไปเลือกหนังสือต่อโดยไม่พูดอะไร แต่ในตอนที่นางหลุบตาลง ดวงตาของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง…