เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ร้อนใจที่จะคุยกับห้วนหมิงเสียง นางเดินไปทางหน้าต่าง แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน นางถือหนังสือเอาไว้ในมือ แม้แต่ท่าทางเวลาที่นางพลิกหน้ากระดาษนั้นก็ยังดูไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่คิดทำการใหญ่ก็คือการรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ให้ได้นั่นเอง
แต่คนประเภทเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นหาได้ยากยิ่ง
นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ
เด็กสาวคนนั้นวางหนังสือในมือลง นางซ่อนมันไว้ระหว่างแสงสว่างและความมืด
ห้วนหมิงเสียงมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาชื่นชม แล้วเอ่ยว่า ”หลวนเหยียน ออกมาได้แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกท่านไปแล้วนี่ว่านางเป็นคนเก็บวามลับเก่งทีเดียว หากมีคนอื่นอยู่ด้วย นางไม่มีทางที่จะเข้ามาทักทายข้าแน่นอน”
ทันทีที่ห้วนหมิงเสียงพูดจบ ร่างในชุดสีเขียวก็ปรากฏกายขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงมายืนบนพื้นอย่างไร้เสียง
เด็กสาวคนนั้นเดินเข้าไปหาเขา แล้วเอ่ยทักทายอีกฝ่ายว่าท่านลุง
หลวนเหยียนยกมือขึ้น แต่สีหน้าของเขายากจะคาดเดาอารมณ์ได้
เขาเป็นผู้ชี้แนะของหน่วยพิฆาตวิญญาณเฉกเช่นเดียวกันกับห้วนหมิงเสียง ผู้ชี้แนะแต่ละคนจะมีผู้เข้ารับการทดสอบที่ตัวเองถูกใจอยู่ และผู้เข้ารับการทดสอบที่เขาถูกใจอยู่ก็คงจะเป็นเด็กสาวคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ดูเหมือนข้าจะกังวลเกินไป” หลวนเหยียนหันมามองเฮ่อเหลียนเวยเวย ”นางดูสุขุมมากกว่าที่ข้าคิด”
ห้วนหมิงเสียงลูบเคราสีขาวยาวของตน แล้วเอ่ยว่า ”แล้วในอนาคตท่านจะได้เห็นความแข็งแกร่งของนางมากกว่านี้อีก”
หลวนเหยียนไม่ได้ตอบ แต่เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”ข้าได้ยินมาว่านางไม่มีพลังปราณ”
“หึ แม่นาง มีคนดูถูกเจ้าอีกแล้ว” หยวนหมิงหัวเราะเยาะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใส่ใจ นางทำเพียงหาวออกมา
ดวงตาของห้วนหมิงเสียงเป็นประกาย แต่น้ำเสียงของเขากลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ”แต่นางเป็นผู้ชนะการประลองยุทธ์ของเมืองหลวง ข้าคิดว่าท่านคงไม่สามารถมองข้ามเรื่องนั้นไปได้หรอกกระมัง”
“เหล่าห้วน” หลวนเหยียนตวัดสายตามามองห้วนหมิงเสียง ”ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสื่อไปในทางที่ไม่ดี หากนางเป็นศิษย์ที่ผ่านการทดสอบแล้ว เช่นนั้นนางก็ย่อมมีคุณค่าในตัวของนางเอง แต่ท่านเองก็รู้ว่าหน่วยพิฆาตวิญญาณนั้นมักจะให้ความสำคัญในเรื่องของความเร็วและทักษะการซ่อนตัว ซึ่งสองสิ่งนี้นางยังต้องพัฒนาอีกมาก”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถึงกับกระตุก
นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ใครสักคนเคลือบแคลงสงสัยในฝีมือและทักษะการซ่อนตัวของนาง
นางเข้าสู่สำนักถังตอนอายุได้เจ็ดขวบ ในบทเรียนแรกนั้นนางได้ถังเส่ามาเป็นคนสอนวิธีการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองต่อหน้าคนอื่นด้วยตัวเขาเองเชียวนะ
“ดูเหมือนท่านจะไม่มั่นใจในตัวข้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนขึ้น เรียวขายาวพาร่างของนางก้าวออกไปข้างหน้า ก่อนจะค่อยๆ เดินตรงเข้าไปหาหลวนเหยียน
หลวนเหยียนเหลือบมองนาง ”ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าข้ามั่นใจในตัวเจ้าหรือเปล่า แต่อยู่กับความจริงที่ว่าข้ายังไม่รู้จักเจ้าดีต่างหาก”
“ท่านไม่ใช่ผู้ชี้แนะของข้า ท่านย่อมไม่รู้จักข้าดีอยู่แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วอย่างเกียจคร้าน ”แต่ท่านเริ่มจี้จุดอ่อนของข้าทันทีที่พบกัน ท่านไม่คิดหรือว่ามันค่อนข้างเสียมารยาทกับผู้อาวุโสห้วนทีเดียว”
หลวนเหยียนชะงักกับคำพูดของนาง เขารีบเปลี่ยนสีหน้าก่อนจะหันไปพูดกับห้วนหมิงเสียงว่า ”เหล่าห้วน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่หน่วยพิฆาตวิญญาณไม่เคยรับผู้ไร้พลังปราณเป็นสมาชิกมาก่อน ข้าเพียงแค่กังวลว่านางอาจจะตามคนอื่นไม่ทันตอนที่ลงสนามจริงเท่านั้น”
“ผู้ที่ได้รับคัดเลือกมานั้นจะต้องผ่านการฝึกฝน ในระหว่างนั้นคนที่ไม่เหมาะสมจะถูกคัดออกเอง” ห้วนหมิงเสียงปรายตามองหลวนเหยียนอย่างไม่แยแส ”ไม่มีอะไรที่ท่านต้องกังวล ท่านรับผิดชอบเพียงแค่ผู้เข้ารับการทดสอบของตัวเองก็พอ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลวนเหยียนก็รู้ว่าประโยคก่อนหน้านี้เขาคงจะพูดแรงเกินไปจริงๆ ถึงแม้ลึกๆ ในใจนั้นเขาจะไม่ได้รู้สึกชื่นชอบเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่รอดูบทสรุปว่าใครจะเป็นคนที่เหลืออยู่เท่านั้น
อาจเพราะต้องการทำให้บรรยากาศปัจจุบันผ่อนคลายลง จู่ๆ เด็กสาวคนนั้นก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไพเราะน่าฟังว่า ”ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าเองก็จะเข้าร่วมหน่วยพิฆาตวิญญาณเหมือนกัน นี่เป็นโชคชะตาหรือเปล่านะ”
“ก็อาจจะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างเกียจคร้านและแทบจะไร้อารมณ์
คำพูดของเด็กสาวทำให้พวกเขางุนงง
หลวนเหยียนขมวดคิ้ว ”พวกเจ้าเคยพบกันมาก่อนหรือ”
เด็กสาวคนนั้นยิ้มบางๆ แล้วอธิบายว่า ”ใช่เจ้าค่ะ เราเคยพบกันมาก่อนแล้ว เมื่อคืนตอนที่ข้าเพิ่งมาถึงสำนัก ข้าก็บังเอิญเจอนางเข้า ตอนที่ข้าได้พบนางอีกครั้งที่นี่ ข้าก็รู้สึกแปลกใจมากเลยเจ้าค่ะ”
ระหว่างที่พูด เด็กสาวคนนั้นก็หันหน้ามามองเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ข้าชื่ออวิ๋นปี้ลั่ว แล้วเจ้าล่ะ”
“เฮ่อเหลียนเวยเวย” นางยังคงยิ้มตอบตามมารยาท
เด็กสาวคนนั้นหรี่ตาลง นางที่เคยเป็นถึงองครักษ์ของวังปีศาจนั้นเคยพบคนมามากมาย แต่นางไม่เคยพบผู้หญิงอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยมาก่อน
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา
นางไม่สนใจหรอกว่าศัตรูของตัวเองจะเป็นคนเช่นใด
เพราะนางรู้ว่าในท้ายที่สุดนั้นผู้ชนะก็คือนาง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากของนางก็โค้งขึ้น รอยยิ้มของนางหวานหยดย้อยและมีเอกลักษณ์ มันเป็นรอยยิ้มของเด็กสาวผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนาง แล้วเล่นกับชิ้นส่วนสำหรับสร้างอาวุธในมืออีกข้างหนึ่ง
แต่หยวนหมิงกลับยิ้มอย่างชั่วร้าย
ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบสุขดี
แต่สายตาของเงาทมิฬกลับไหววูบเมื่อเขาได้รับข่าวที่เฮยจูนำมารายงาน
สำนักไท่ไป๋หรือ
แม่นางอวิ๋นก็อยู่ที่สำนักไท่ไป๋เหมือนกันหรือ
เงาทมิฬขมวดคิ้วหนาของตน ร่างของเขาแข็งค้างไปชั่วขณะ
นอกจากขันทีซุนแล้ว ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าองค์ชายเข้าเรียนที่สำนักไท่ไป๋
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ทุกอย่างก็สงบสุขดี
แต่ตอนนี้…
แม้กระทั่งแม่นางอวิ๋นก็มาที่นี่ด้วย
ดูเหมือนเรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาอันยุ่งยากเสียแล้ว
เพราะอดีตฮ่องเต้ไม่ชอบหน้าแม่นางอวิ๋นมาตลอด
ในเวลานี้ การกลับมาของแม่นางอวิ๋นย่อมทำให้การตัดสินใจขององค์ชายไขว้เขวอย่างแน่นอน…
เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมแม่นางอวิ๋นถึงปรากฏตัวขึ้นที่สำนักไท่ไป๋ทันทีที่จบพิธีอภิเษกสมรสขององค์ชาย ไม่ใช่ก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้
เขาเข้าใจดีว่าเฮยจูต้องการให้เขานำข่าวนี้ไปบอกกับองค์ชาย
แต่เขากลับคิดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ดีที่ที่จะทำเช่นนั้น
“ข้าควรเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้” เงาทมิฬมองเฮยจูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ”เก็บเรื่องนี้ไว้อย่าให้ใครรู้”
เฮยจูยิ้ม ”ข้าเข้าใจดีว่าอดีตฮ่องเต้ทรงเกลียดชังท่านพี่ของข้ามาโดยตลอด และข้ามั่นใจว่าเขาคงไม่พอใจหากได้เห็นท่านพี่กลับมา ก่อนนี้ข้าเคยคิดว่าท่านพี่จะจากไปตลอดกาล แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะเพียงแค่ไปอยู่ที่อื่นมาเท่านั้น ตอนที่อดีตฮ่องเต้ขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายกับท่านพี่ องค์ชายต้องทนทุกข์ใจอยู่นาน แต่ตอนนี้ในที่สุดท่านพี่ของข้าก็กลับมาแล้ว สุดท้ายทั้งสองก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันเสียที ข้าจะไม่เปิดเผยเรื่องการกลับมาของท่านพี่ให้ใครรู้อย่างแน่นอน ที่สำนักไท่ไป๋นั้นมีหูมีตาอยู่มากมาย หากเรื่องนี้บังเอิญไปเข้าหูของอดีตฮ่องเต้เข้า ข้าจะกลายเป็นคนที่ทำร้ายท่านพี่ได้”
“เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้น” เงาทมิฬเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า ”พวกเราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อดีตฮ่องเต้อาจมีเหตุผลของตัวเองจึงได้ทำเช่นนั้นลงไป อีกอย่าง ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาอีก… เฮยจู ข้าจะขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่าฝ่าบาทยินยอมที่จะแต่งงานกับพระชายาด้วยตัวเอง ดังนั้นข้ารับใช้เช่นพวกเราควรเก็บความเห็นของตัวเองเอาไว้ดีกว่า”
ข้ารับใช้หรือ หึ! เฮยจูเยาะเย้ย นางสุดจะทนกับฐานะนี้แล้ว ท่านพี่สัญญากับนางมานานแล้วว่าทันทีที่นางได้เป็นพระชายาขององค์ชายสาม นางจะมอบตำแหน่งในวังหลวงให้อย่างแน่นอน
นางอิจฉาพรสวรรค์ของท่านพี่ ในความคิดของนางนั้น มีเพียงผู้หญิงอย่างท่านพี่ของนางเท่านั้นที่คู่ควรกับการได้ปรนนิบัติรับใช้องค์ชายสาม ดังนั้นนางจึงไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝันลมๆ แล้งๆ ในเรื่องนั้น
ผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นก็แค่โชคดีที่ได้รับการยอมรับจากอดีตฮ่องเต้
ไม่อย่างนั้นองค์ชายก็คงไม่มีทางยอมแต่งงานกับนางหรอก
แต่นางไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้เงาทมิฬฟัง เพราะนางเบื่อหน่ายยิ่งนักกับการถูกอบรมสั่งสอน
ตอนนี้นางทำได้เพียงแค่รอให้เงาทมิฬนำข่าวนี้ไปบอกกับองค์ชายเท่านั้น และนางคงมีความสุขกับการได้เห็นผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นต้องทุกข์ทรมานกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา!