“วันที่แปดเดือนสี่ตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันคล้ายวันประสูตรของพระยูไล เมื่อถึงตอนนั้นจะมีพิธีสวดมนต์ที่วัดใหญ่ๆ พวกเราไม่ได้กลับเยี่ยนจิงมาหลายปีแล้ว ช่วงเดือนสี่เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับรับลมและแสงแดด อยากจะพาเด็กๆ ไปเดินเล่นให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตา ไม่ทราบว่าเมื่อถึงเวลานั้นไท่ฮูหยินจะออกไปเดินเล่นหรือไม่เจ้าคะ” นายหญิงเซี่ยงถามไท่ฮูหยินด้วยรอยยิ้ม
“วันที่แปดเดือนสี่หรือ” ไท่ฮูหยินลากเสียงยาว หันไปมองสืออีเหนียงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม “ปกติจะไปไหว้พระที่วัดเย่าหวัง แต่เดือนสี่ปีนี้ต้องทำพิธีสิ้นสุดการไว้ทุกข์ให้หยวนเหนียง ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะหาเวลาว่างได้หรือไม่”
วันสิ้นสุดพิธีการไว้ทุกข์เป็นวันที่สิบเก้าเดือนสี่ ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ไม่มีผลต่อวันคล้ายวันประสูติของพระยูไลในวันที่แปดเดือนสี่ ยิ่งไปกว่านั้นไท่ฮูหยินก็เป็นผู้อาวุโส ไม่มีเหตุผลที่ผู้อาวุโสจะต้องไปเข้าร่วมพิธีรำลึกผู้ที่อาวุโสน้อยกว่า ไท่ฮูหยินพูดเช่นนี้ก็เพื่อที่จะถามเจตนาของสืออีเหนียง
นายหญิงเซี่ยงมาหาด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร แต่กลับมาเพื่อพูดถึงการหมั้นหมายของทั้งสองสกุล ทำให้สืออีเหนียงเข้าใจผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดว่านายหญิงเซี่ยงถูกความยืนหยัดของใต้เท้าเซี่ยงบังคับจนจนใจ นางไม่ตัดสินใจใดๆ เดิมทีการแต่งงานของลูกๆ ควรจะขึ้นอยู่กับพ่อแม่ ต่อให้เป็นท่านปู่หรือท่านย่าก็ทำได้เพียงแค่แนะนำ ไม่อาจยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้ แต่หากเป็นเรื่องความกตัญญูที่มีต่อผู้อาวุโส หากท่านปู่หรือท่านย่าได้ตัดสินเรื่องการหมั้นหมายไปแล้ว ส่วนใหญ่คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็จะเชื่อฟัง การที่ไท่ฮูหยินทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางมอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่สืออีเหนียง
นางนึกถึงก่อนหน้านี้ ไท่ฮูหยินได้ตั้งความหวังไว้อย่างชัดเจนว่าอยากจะเป็นดองกับสกุลเซี่ยง และนึกถึงท่าทีของสวีลิ่งอี๋ จึงตัดสินใจให้ไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋ปรึกษากัน อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับอนาคตของสวีซื่ออวี้ สถานการณ์แบบไหนที่จะส่งผลดีต่อสวีซื่ออวี้ พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ คิดรอบคอบ และมีอำนาจในการพูดมากกว่าตัวเอง
“หลายวันมานี้ข้ายุ่งวุ่นวายมาก อีกสองวันก็เป็นงานฉลองครบรอบหนึ่งเดือนบุตรชายคนโตของพี่หญิงห้าของข้า…” สืออีเหนียงกล่าวขออภัย “หากไม่ใช่เพราะนายหญิงเซี่ยงพูดถึงเรื่องวันที่แปดเดือนสี่ ข้าคงลืมไปแล้ว” พูดจบนางก็มองไปที่ไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ ท่านมีแผนการอะไรก็สั่งข้ามาได้เลยเจ้าค่ะ ทางท่านโหวก็จะได้ช่วยจัดรถม้าให้ท่าน”
ยกอำนาจการตัดสินใจให้แก่ไท่ฮูหยิน
ถึงอย่างไรนายหญิงเซี่ยงก็อยู่กับใต้เท้าเซี่ยงมาหลายปี ปกติก็มักจะพบปะสังสรรค์กับผู้ใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าเซี่ยง ความหมายของสืออีเหนียงและไท่ฮูหยินนั้นแน่นอนว่านางย่อมเข้าใจอย่างชัดเจน
นางก้มหน้าจิบน้ำชา ท่าทางดูเรียบเฉย ภายนอกดูสบายๆ แต่ภายใจกลับตึงเครียด ตั้งใจฟังว่าไท่ฮูหยินจะว่าอย่างไร
ส่วนไท่ฮูหยินเมื่อได้ยินสืออีเหนียงเอ่ยถึงสวีลิ่งอี๋ก็อึ้งไปเล็กน้อย
อย่าลืมว่าเนื่องจากสกุลเซี่ยงมีการเปลี่ยนแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาต่างก็คิดว่าการหมั้นหมายครั้งนี้จบลงแล้ว ใครจะไปรู้ว่านายหญิงเซี่ยงจะมาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง แล้วยังเป็นฝ่ายขอมาพบ แม่กับลูกยังไม่ทันได้ปรึกษากัน ไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋จะมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร และสืออีเหนียงก็ไม่ใช่คนที่จะพูดชื่อสวีลิ่งอี๋ออกมาโดยไร้เหตุผล ทำให้ไท่ฮูหยินอดคิดไม่ได้ หรือว่าสวีลิ่งอี๋จะรู้สึกว่าสกุลเซี่ยงแกล้งบ่ายเบี่ยงเพื่อทำให้ตัวเองดูมีค่าดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนใจ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ไท่ฮูหยินก็ยิ่งไม่สามารถแสดงท่าทีออกมาได้
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ยังเร็วไป เมื่อถึงเวลานั้นก็รอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเถิด!” จากนั้นก็ถามไถ่กับนายหญิงเซี่ยงเรื่องที่ใต้เท้าเซี่ยงเข้ารับตำแหน่ง “…จะไปทำไมไม่บอกกันสักคำ เจ้าก็รู้ว่าหลายปีมานี้คุณหนูของเจ้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว นางเองก็ไม่บอกอะไรข้าสักคำ หากไม่ใช่เพราะข้าได้ยินจากท่านโหว ก็คงไม่รู้ว่าใต้เท้าเซี่ยงออกเดินทางแล้ว”
นายหญิงเซี่ยงเห็นว่าตัวเองอุตส่าห์มาเพื่อพูดเรื่องนี้แต่สกุลสวีกลับเลื่อนให้ล่าช้าออกไป ในใจรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่พอคิดถึงคำกำชับของพี่สะใภ้ใหญ่ นางก็อดทนยิ้มตอบรับไท่ฮูหยิน “ช่วงเวลานั้นข้ากำลังอยู่ดูแลพี่สะใภ้ที่สกุลเดิม กุนซือคนเก่าอายุมากแล้วจึงกลับบ้านเกิดไปแล้ว นายท่านของพวกเราทั้งยุ่งกับการหากุนซือคนใหม่แล้วก็ยุ่งกับงานราชการ เข้านอกออกในไม่ว่างเลยสักวัน จึงเพียงแค่ไปคำนับท่านโหว หากครั้งหน้าเขากลับมาจะให้เขามาพูดคุยกับไท่ฮูหยินอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ พูดขึ้นมาว่า “เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะตั้งใจฟังใต้เท้าเซี่ยงเล่าถึงทิวทัศน์ของหูก่วงอย่างแน่นอน!”
ทุกคนพูดคุยกัน จากนั้นนายหญิงเซี่ยงก็ลุกขึ้นไปหาฮูหยินสอง “คุณหนูตั้งใจไปถามอาการป่วยของพี่สะใภ้ ตอนนี้พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าไม่เป็นอะไรแล้ว จะต้องไปบอกกับคุณหนูสักหน่อย นางจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“นายหญิงเกรงใจกันเกินไปแล้ว” ไท่ฮูหยินไม่ได้มีท่าทีจะส่งแขก “อยู่ทานข้าวเที่ยงก่อนแล้วค่อยกลับก็ยังไม่สาย!”
นายหญิงเซี่ยงกล่าวด้วยความเกรงใจ จากนั้นสืออีเหนียงก็พานางไปหาฮูหยินสอง
ฮูหยินสองประหลาดใจมากที่เห็นนายหญิงเซี่ยง
นายหญิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “คราวที่แล้วต้องรบกวนคุณหนูไปเยี่ยม ตอนนี้พี่สะใภ้ข้าหายดีแล้ว จึงตั้งใจมาขอบคุณคุณหนู แล้วก็ลองถามดูว่าวันที่แปดเดือนสี่ไท่ฮูหยินจะว่างหรือไม่ พวกเราไม่ได้กลับมาเยี่ยนจิงหลายปีแล้ว อยากจะไปเดินเล่นที่วัด ให้บรรดาเด็กๆ ได้รู้จักสมบัติล้ำค่าของเยี่ยนจิง ไม่รู้ว่าตอนนี้วัดไหนมีชื่อเสียงมากที่สุดในเยี่ยนจิง จึงอยากจะไปเดินเล่นกับไท่ฮูหยินสักหน่อย”
ฮูหยินสองได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไท่ฮูหยินมักจะไปไหว้พระที่วัดเย่าหวัง หากพี่สะใภ้เพียงแค่อยากจะพาเด็กๆ ไปดูความครึกครื้น ที่นั่นไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ส่วนใหญ่ที่ครึกครื้นก็จะเป็นวัดเซียงกั๋วกับอารามเมฆขาว พี่สะใภ้ใหญ่ก็เคยไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อถึงวันที่แปดเดือนสี่ทั้งสองวัดนี้ก็จะแจกยาหอม ผู้คนหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย พี่ชายใหญ่ก็ไม่อยู่ หากพี่สะใภ้ใหญ่อยากจะไป เกรงว่าต้องพาคนไปเยอะๆ จึงจะดี”
นายหญิงเซี่ยงได้ฟังเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็รู้ว่าเป็นเพราะพี่ชายใหญ่ของเจ้าไม่อยู่จวนดังนั้นข้าถึงได้อยากไปอยู่เป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน”
ฮูหยินสองไม่พูดอะไร สีหน้าดูประหลาดใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงเห็นว่าบรรยากาศไม่ค่อยดีจึงรีบฉวยโอกาสกล่าวลาทันที
ฮูหยินสองกล่าวด้วยความเกรงใจสองสามประโยค จากนั้นก็พาสืออีเหนียงไปส่งที่หน้าประตู
สืออีเหนียงไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินกำลังรอนาง
“เป็นอย่างไรบ้าง” นางจับมือสืออีเหนียง “เจ้ารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่”
สืออีเหนียงเล่าคำพูดของสวีลิ่งอี๋ให้ไท่ฮูหยินฟัง แล้วพูดต่อว่า “…การหมั้นหมายเดิมทีเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองสกุล แต่ตอนนี้…เขากลัวว่าสกุลเซี่ยงจะฝืนใจให้คุณหนูแต่งเข้ามา เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อมีช่องว่างระหว่างสามีภรรยา ในใจจะเกิดความคับข้องใจ ข้าคิดว่าท่านโหวมีความคิดที่รอบคอบ และเป็นคนทำงานนอกจวน เกรงว่าเขาจะคิดได้ละเอียดกว่าที่ข้าคิด ข้าจึงอยากจะถามความต้องการของท่านโหวก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
ลูกสะใภ้เคารพบุตรชายตัวเองทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ทำให้แม่สามีมีความสุขไปมากกว่านี้แล้ว
ไท่ฮูหยินยิ้มจนตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “เจ้าพูดถูกแล้ว เจ้าพูดถูกแล้ว เรื่องนี้เจ้าไปปรึกษากับเจ้าสี่เถิด เมื่อถึงตอนนั้นก็ดูว่าจะไปไหว้ที่วัดไหนแล้วเจ้าค่อยมาบอกข้าก็พอแล้ว”
สืออีเหนียงไม่คิดจะตามใจสกุลเซี่ยง
เดิมทีทั้งสองสกุลก็เป็นญาติกันอยู่แล้ว หากสกุลเซี่ยงมีใจ จะที่ไหนก็สามารถไปเดินชมได้ หรือแม้กระทั่งเชิญสตรีสกุลสวีไปเป็นแขกที่เรือน
วันที่แปดเดือนสี่จะมีงานชุมนุมทางพุทธศาสนา แค่คิดก็รู้ถึงความยิ่งใหญ่และการหลั่งไหลมาของผู้คนในวันนั้นแล้ว นางไม่อยากให้ไท่ฮูหยินต้องมาเดินไปทั่วจนเหน็ดเหนื่อยเพราะเรื่องของคนรุ่นหลัง
“หากท่านแม่อยากจะออกไปดูงานในปีนี้ พวกเราก็ย่อมไปวัดเย่าหวังเช่นเคยเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “นายหญิงเซี่ยงบอกแล้วว่าเพียงแค่อยากจะพาเด็กๆ ไปดูความครึกครื้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะไปดูความครึกครื้นที่ไหนก็เหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเข้าไปเบียดเสียดกับฝูงชน”
เช่นนี้ก็ยิ่งสอดคล้องกับความต้องการของไท่ฮูหยิน แต่เมื่อมองสีหน้าสงบนิ่งดุจสายน้ำของสืออีเหนียง ก็อดแปลกใจไม่ได้ “เจ้าไม่อยากไปดูงานหรือ” เมื่อพูดจบถึงนึกได้ว่าสืออีเหนียงไม่เหมือนใคร แม้ว่านางจะแต่งเข้ามา เป็นผู้ดูแลในจวนหย่งผิงโหว แต่นางก็อายุมากกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่กี่ปี แต่กลับไม่เคยไปร่วมสนุกที่ไหนเลย ช่างเป็นคนที่หาได้ยาก
นางสงบนิ่งเกินไปหรือไม่
“เช่นนั้นปีนี้พวกเราไปวัดเซียงกั๋วกันดีหรือไม่” ผู้อาวุโสเอ่ยถามด้วยความลังเล “เมื่อถึงเวลานั้นจะมีงานวัด…”
ความครึกครื้นเหล่านี้สืออีเหนียงเห็นมาเยอะแล้ว แม้ว่าบางอย่างจะไม่ใช่ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากตัวเอง แต่ก็เคยเห็นผ่านสื่อต่างๆ
นางพูดอย่างอ้อมค้อมว่า “คนเบียดกันไปมา ไม่ว่าทิวทัศน์จะดีสักเพียงใดก็มองเห็นได้ไม่เต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นในจวนก็ยังมีเรื่องเยอะแยะมากมาย”
ไท่ฮูหยินนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะสิ้นสุดการไว้ทุกข์ให้หยวนเหนียงแล้ว คิดว่าคงไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวเล่นจึงพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นปีหน้าพวกเราค่อยไปเถิด”
สืออีเหนียงยิ้มตอบรับ กำชับลี่ว์อวิ๋นให้ไปบอกคนครัวให้เตรียมอาหารและเครื่องดื่มให้นายหญิงเซี่ยง มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ฮูหยินสองกับนายหญิงเซี่ยงมาแล้วเจ้าค่ะ”
เร็วขนาดนี้เลยหรือ
ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงมองเข้าไปในห้องระฆังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
สืออีเหนียงพึ่งจะลุกขึ้นเตรียมต้อนรับแขก ฮูหยินสองก็พานายหญิงเซี่ยงเดินเข้ามาแล้ว
“พี่สะใภ้พึ่งจะกลับมาจากสกุลเดิม” ฮูหยินสองพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ที่เรือนยังมีเรื่องอีกมากมายรอพี่สะใภ้ไปจัดการ วันนี้นางจึงขอตัวกลับก่อน วันหลังค่อยมาคารวะท่านแม่ใหม่เจ้าค่ะ”
นายหญิงเซี่ยงยิ้มพลางย่อเข่าคำนับไท่ฮูหยิน “อีกสองวันข้าจะมาเยี่ยมไท่ฮูหยินอีกเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงรั้งนางไว้ แต่เมื่อเห็นนายหญิงเซี่ยงตัดสินใจแล้ว สืออีเหนียงกับฮูหยินสองจึงไปส่งนายหญิงเซี่ยงที่หน้าประตูฉุยฮวา
ทั้งสองคนเดินกลับไปที่เรือนไท่ฮูหยินอย่างเงียบงัน
ฮูหยินสองไม่ได้พูดถึงเรื่องการมาขอนายหญิงเซี่ยง นางเอาแต่พูดเรื่องการเก็บชาหรือปลูกดอกไม้กับไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงคาดเดาว่านางอาจจะอยากบอกไท่ฮูหยินตามลำพัง จึงหาข้ออ้างว่ามีเรื่องรีบร้อนต้องขอตัวลาไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองกลับเรือนก่อน
ป้าซ่งกลับจากที่ไปเอาเสื้อผ้าเด็กจากโรงเย็บปักที่จะมอบให้บุตรชายของอู่เหนียงแล้ว
สืออีเหนียงหยิบเสื้อขึ้นมาดู
ขนาดเล็กมาก แต่กลับเหมือนกับเสื้อผ้าของคนโตไม่มีผิด ทั้งแขนเสื้อ ทั้งคอปก และตะเข็บก็มีเหมือนกัน เหมือนกับเสื้อผ้าของตุ๊กตา
สืออีเหนียงอดใจไม่ไหวจึงหยิบขึ้นมาดูทีละชิ้น
ขณะที่กำลังพูดคุย สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
ทุกคนย่อเข่าคำนับเขา
“กำลังทำอะไรอยู่” เขาหยิบเสื้อผ้าเด็กขึ้นมา “ทำให้ใคร”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ทำให้บุตรชายคนโตของพี่หญิงห้าเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋หยิบเสื้อผ้าขึ้นมามองซ้ายมองขวาอยู่นาน พูดอย่างแปลกใจว่า “เล็กขนาดนี้จะใส่ได้หรือ” แล้วยังเอาไปเทียบกับตัวเองด้วย
สืออีเหนียงก็ไม่รู้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าขอให้คนที่โรงเย็บปักทำให้ น่าจะใส่ได้อยู่กระมัง”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า หยิบขึ้นมามองอยู่นานก่อนจะวางลง
ป้าซ่งและคนอื่นๆ รีบมาเอาเสื้อผ้าไปเก็บ
สืออีเหนียงต้อนรับสวีลิ่งอี๋ไปนั่งที่เตียงนั่งริมหน้าต่าง ยกชามาวาง แล้วเล่าเหตุผลการมาของนายหญิงเซี่ยงให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ว่าอย่างไร”
“ท่านแม่ให้พวกเรามาปรึกษากันเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “แต่ว่าก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าท่านแม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายครั้งนี้มาก ท่านว่าควรจะลองฟังความเห็นของท่านแม่ก่อนแล้วค่อยว่ากันดีหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋กลับบอกว่า “ในเมื่อท่านแม่บอกว่าให้พวกเราเป็นคนตัดสินใจ เรื่องนี้ก็ไม่ต้องถามท่านแม่แล้ว บุตรสาวก็เหมือนแม่ คุณนายเซี่ยงไม่สนใจสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าต่อให้คุณหนูสองสกุลเซี่ยงจะเชื่อฟังมากแค่ไหนก็มีขีดจำกัด ข้าว่าควรปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว พวกเราจะหมั้นหมายกัน ไม่ได้จะสร้างความแค้น หรือว่าสองสามีภรรยาคู่นั้นจะกลิ้งกลอกไปมาแล้วท่านแม่ต้องให้ความร่วมมือกับพวกเขาด้วยอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงมีความเย็นชา
ความเห็นของสองสามีภรรยาไม่ตรงกัน ช่างเป็นเรื่องที่ลำบากเสียจริง
สืออีเหนียงพยักหน้า ขอความเห็นจากเขา “ทางฝั่งท่านแม่…”
สวีลิ่งอี๋กำลังจะเอ่ยปากพูด ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ท่านโหว ฮูหยิน ฮูหยินสองมาเจ้าค่ะ!”