ตกดึก พระจันทร์สุกสว่าง สายลมพัดแรง แต่มันก็ไม่ได้รบกวนชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีเขียวสลับขาวที่กำลังเอนตัวอยู่บนตั่งแต่อย่างใด
เงาทมิฬยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาลังเลว่าจะเดินเข้าไปดีหรือไม่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ เขายังอ่านม้วนกระดาษในมือของตนต่อ ”มีเรื่องอะไร”
เงาทมิฬหลุบตาลง พร้อมกับกลืนคำพูดก่อนหน้าของตนลงคอ แล้วเปลี่ยนประโยคที่ตั้งใจจะพูดทันที ”หาได้มีเรื่องสำคัญอันใดไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงเห็นว่าข้างนอกเริ่มมืดแล้ว จึงสงสัยว่ากระหม่อมควรปิดประตูดีหรือไม่เท่านั้น”
องค์ชายไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน เขาไม่เคยจงใจเปิดประตูทิ้งเอาไว้เหมือนกำลังรอคอยใครสักคนเช่นนี้
“ไม่ต้อง”
เงาทมิฬก้มหน้าลง แล้วตอบว่า ”พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาอย่างไม่ใส่ใจนัก ”เมื่อครู่นี้เจ้าคุยอะไรกับเฮยจู”
ร่างของเงาทมิฬเกร็งขึ้นเล็กน้อย เขาตอบว่า ”พวกกระหม่อมเพียงคุยกันเรื่องความคืบหน้าล่าสุดของภารกิจเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มเย็นชา รอยยิ้มนั้นไร้ซึ่งความอบอุ่น อีกทั้งยังเต็มไปด้วยบรรยากาศกดดันอันสามารถพบเห็นได้จากเพียงผู้บังคับบัญชาเท่านั้น เขาเอ่ยว่า ”แล้วใครอนุญาตให้เจ้าเก็บเฮยจูไว้ หืม”
คำว่า ”หืม” คำเดียวก็ทำให้เงาทมิฬเสียววาบไปทั่วแนวกระดูกสันหลัง เขาละล่ำละลักตอบอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า ”ฝ่าบาท พวกเขาทุกคนล้วนแต่เป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว ท่านถึงกับต้องการที่จะ…”
“คำพูดประโยคเดียวหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นยืน เขาดูท่าทางผ่อนคลาย แต่ก็ดูคุกคามเป็นอย่างยิ่ง ”ข้าใจดีมานานเกินไปหรือ จึงทำให้แม้กระทั่งเจ้าเองก็ยังหลงลืมไปว่าบทสรุปของคนที่ทำให้ข้าไม่พอใจนั้นควรจะเป็นเช่นใด”
เงาทมิฬไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป เข่าทั้งสองข้างของเขาทิ้งตัวลงกระแทกกับพื้นจนเกิดเสียงดังตุ้บก้องไปทั่ว เขาคุกเข่าลงพร้อมกับหน้าผากที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองผ่านเงาทมิฬไปอย่างช้าๆ ขณะกล่าวว่า ”เห็นแก่ที่เจ้าอยู่รับใช้ข้ามากว่าสิบปี ข้าจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปสักครั้งก็แล้วกัน แต่ถ้าหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ครั้งหน้าข้าจะจัดการด้วยตัวเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เงาทมิฬรับคำเสียงสั่น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนหยกบนนิ้วโป้ง ”มีอีกเรื่อง แม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเป็นเหยื่อ แต่อย่างไรนางก็เป็นเหยื่อของข้า เวลานี้ทั่วทั้งวังหลวงล้วนแต่เต็มไปด้วยข่าวลือต่างๆ นานา แต่เจ้ากลับไม่ทำอะไรกับมัน เจ้ากำลังทดสอบความอดทนของข้าอยู่หรือ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมล้มเหลวในหน้าที่เองพ่ะย่ะค่ะ!” ใบหน้าของเงาทมิฬซีดเผือด ”กระหม่อมจะไปจัดการกับเรื่องนี้ทันทีพ่ะย่ะค่ะ!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ”หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงเกินจำเป็น แต่ถ้าใครพูดอะไรออกมา ก็ตัดลิ้นของมันผู้นั้นเสีย”
ตัดลิ้นของมันผู้นั้น…
นิ้วของไป๋เหมยที่แอบฟังอยู่ถึงกับสั่นเทา นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา องค์ชายมอบอิสระให้คนพวกนั้นได้ทำตามใจของตัวเองมาตลอด องค์ชายไม่เคยคิดที่จะลงมือเหมือนอย่างในวันนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
นางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าองค์ชายจะทำเพื่อปกป้องเฮ่อเหลียนเวยเวยเช่นนี้
เรื่องนี้เป็นเพราะอดีตฮ่องเต้จริงหรือ
แต่จะมีใครบนแผ่นนี้อีกหรือที่สามารถบังคับให้องค์ชายทำในสิ่งที่ขัดกับความต้องการของตัวเองได้
นางไม่เคยเห็นองค์ชายบันดาลโทสะมาหลายปีแล้ว เขาดูเหมือนเทพที่เฝ้ามองโลกมนุษย์อยู่เหนือหมู่เมฆ เขาแทบจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ และมักจะสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอ
วันนี้เขาพร้อมที่จะย้อมวังหลวงให้เป็นสีเลือดแล้วหรือ
ไป๋เหมยเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่สบายใจ และบังเอิญสบตากับเงาทมิฬเข้าพอดี ในสายตาของเขามีข้อความหนึ่งปรากฏอยู่
ต่อให้ความจงรักภักดีต่อองค์ชายของเขานั้นจะมีมาอย่างยาวนานแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวขององค์ชาย
ไป๋เหมยเดาว่าคงถึงเวลาที่นางต้องนำเรื่องนี้ไปพูดกับเฮยจูเสียแล้ว…
ในหมู่องครักษ์ของวังปีศาจนั้นมีช่องทางการติดต่อสื่อสารพิเศษอยู่
หลังจากได้รับภารกิจของตนเป็นที่เรียบร้อย สิ่งแรกที่ไป๋เหมยทำคือการขอไปพบเฮยจู
ทันทีที่เห็นนาง เฮยจูก็แสดงอาการตื่นเต้นตกใจ ”ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่สำนักไท่ไป๋ได้ล่ะ”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เฮยจู ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะวางแผนอะไรอยู่ แต่เจ้ารีบหยุดมันเอาไว้เสียจะดีกว่า” สีหน้าของไป๋เหมยนั้นเคร่งเครียดจริงจัง ”ในเวลานี้ เจ้าควรรีบทำภารกิจของตัวเองให้เสร็จ แทนที่จะบุ่มบ่ามมาที่สำนักไท่ไป๋”
เฮยจูตวัดสายตามองไป๋เหมย ”เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงได้มาพูดเรื่องนี้กับข้าล่ะ”
ไป๋เหมยตอบเสียงเบา ”ฝ่าบาทมีรับสั่งมาแล้ว ใครก็ตามที่พูดถึงพระชายาลับหลังนางจะต้องถูกตัดลิ้น”
“ตัดลิ้นหรือ” เฮยจูสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก นางพึมพำกับตัวเองออกมาเสียงเบาหวิว ”ทำไมล่ะ ทำไมฝ่าบาทถึงได้สั่งการเช่นนั้นออกมา”
ไป๋เหมยมองเฮยจู แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ”เฮยจู ของบางอย่างนั้นก็ไม่มีทางเป็นของเจ้า ฝ่าบาทจะไม่ตกหลุมรักเจ้า ต่อให้ไม่มีเฮ่อเหลียนเวยเวย ก็จะมีคนอื่นที่ได้เป็นพระชายาของเขาอยู่ดี”
“ข้า ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่” สีหน้ามีชีวิตชีวาที่เฮยจูมีอยู่เสมอเปลี่ยนไปในทันใดราวกับเป็นกลไกการป้องกันตัว
ไป๋เหมยมองนางด้วยสายตาจริงจัง ”เจ้าก็รู้ว่าคนที่จะตัดสินได้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเหมาะสมกับฝ่าบาทหรือไม่นั้นไม่ใช่พวกเรา และในเวลานี้ฝ่าบาทก็ตั้งใจที่จะลงโทษใครก็ตามเพื่อนาง ถ้าเจ้ายังไม่ตื่นตอนนี้ ไม่ช้าก็เร็วก็จะถึงตาของเจ้า”
“หา เจ้ากำลังจะบอกว่าฝ่าบาทตั้งใจจะสังเวยชีวิตข้าเพื่อหมากตัวเดียวหรือ” เฮยจูหัวเราะราวกับว่านางเพิ่งได้ยินเรื่องตลก ”ไป๋เหมย เจ้าต่างหากที่ไม่เข้าใจ ฝ่าบาทแต่งงานกับนังคนอัปลักษณ์คนนั้นเพียงเพราะอดีตฮ่องเต้มิใช่หรือ ถ้าฝ่าบาทเป็นห่วงเป็นใยเฮ่อเหลียนเวยเวยจริง ทำไมระหว่างพิธีอภิเษกสมรส เขาถึงไม่ปกป้องนางให้เห็นกันจะๆ ไปเลยเล่า พวกเรารู้จักฝ่าบาทดีกว่าใคร สมัยนั้น เพื่อปกป้องท่านพี่ ฝ่าบาทจึงไม่เคยเผยความรู้สึกของตนให้ใครเห็นมาก่อน เขาพูดเองกับปากว่าการเป็นองครักษ์ของวังปีศาจอย่างแท้จริงนั้น เราต้องสามารถปิดบังความรู้สึกของตัวเองได้ ฮ่องเต้ทุกคนก็ล้วนแต่เข้าใจความสำคัญของการซ่อนสิ่งที่พวกเขาหวงแหน และแสดงความห่วงใยของตนต่อมันให้น้อยที่สุดกันทั้งนั้น เจ้าไม่คิดหรือว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดสำหรับฝ่าบาทเท่านั้น”
ไป๋เหมยขมวดคิ้ว ”เจ้าพูดถูก ข้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าพูด แต่องค์ชายก็ไม่จำเป็นต้องลำบากถึงขนาดนั้นเพียงเพื่อหุ่นเชิดตัวเดียวนี่”
“แน่นอนว่าไม่จำเป็น เพราะว่า…” ทันใดนั้น เฮยจูเงยก็หน้าขึ้นสบตากับนางด้วยดวงตาเป็นประกาย ”ท่านพี่ยังมีชีวิตอยู่และกลับมาแล้ว ด้วยสติปัญญาของฝ่าบาท เขาอาจจะรู้ถึงความจริงที่ว่าท่านพี่ยังสบายดีอยู่แล้วก็ได้ แต่ในเมื่อสถานการณ์หลายอย่างยังไม่แน่นอน อีกทั้งยังมีสี่ตระกูลใหญ่ มู่หรงฮองเฮา และอดีตฮ่องเต้คอยจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้มั่นใจว่าท่านพี่จะสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย เขาจึงตัดสินใจแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่มีทั้งอำนาจและฐานะสูงส่งมาเป็นพระชายา และเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไรล่ะ”
ไป๋เหมยอ้าปากค้างราวกับนางไม่สามารถทำความเข้าใจกับข้อมูลนั้นได้ ”เจ้า เจ้ากำลังบอกว่าท่านพี่ยังมีชีวิตอยู่หรือ”
“ใช่แล้ว ตอนนี้นางอยู่ที่สำนักไท่ไป๋” เฮยจูหัวเราะ ”น่าเสียดายที่ข้าถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าวังหลวง มิฉะนั้นข้าคงนำข่าวนี้ไปที่วังแล้ว แต่นั่นก็หาใช่ปัญหาไม่ ข้ารายงานเรื่องนี้ให้เงาทมิฬรู้แล้ว และเขาจะต้องนำมันไปรายงานให้ฝ่าบาททรงทราบอย่างแน่นอน”
ไป๋เหมยหลุบตาลงอย่างเงียบๆ ราวกับกำลังเข้าสู่ภวังค์ความคิดของตน นางเชื่อว่ามีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเวลานี้องค์ชายเป็นศิษย์ของสำนักไท่ไป๋ หากวันนี้นางไม่ได้อยู่ระหว่างทำภารกิจ นางก็คงจะไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน…
ท่านพี่กลับมาแล้ว
เพียงสาเหตุนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะนำมาอธิบายพฤติกรรมแปลกๆ ขององค์ชายในระยะหลังนี้ได้
เหมือนอย่างที่เฮยจูว่าไว้ ด้วยนิสัยขององค์ชายแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะทำเช่นนั้นแน่
แต่ถ้ามันเป็นการทำเพื่อความปลอดภัยของท่านพี่แล้วละก็… การสังเวยเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ไป๋เหมยหรี่ตาลง ”ชิงจ้านรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
“ข้ายังไม่ได้บอกนาง” เฮยจูแค่นหัวเราะเยาะ ”ข้าไม่รู้เหมือนกันว่านังผู้หญิงอัปลักษณ์นั่นบอกอะไรกับนาง ถึงเปลี่ยนให้นางเต็มใจกลายเป็นสาวใช้ของตัวเองได้ ก่อนที่องค์ชายจะรู้เรื่องที่ท่านพี่กลับมา ยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”