ไป๋เหมยขมวดคิ้ว ”แต่เรื่องนี้ปิดบังได้ยากนัก เพราะพวกเราทุกคนต่างก็อยู่ในสำนักเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็ว ชิงจ้านคงได้พบกับท่านพี่แน่”
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ท่านพี่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นอกจากนิสัยและความสามารถของนางแล้ว ด้วยรูปร่างหน้าตาราวกับเทพธิดาของนางในเวลานี้ ต่อให้พวกนางเดินสวนกัน ชิงจ้านก็อาจจะจำนางไม่ได้” เฮยจูกล่าว ระหว่างที่พูดต่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางค่อยๆ เหยียดกว้างขึ้น ”เจ้ารอดูก็แล้วกัน! เฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องได้รู้ว่าความอับอายที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร องค์ชายไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเลือกเลยด้วยซ้ำ ฝ่ายที่ต้องพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชย่อมเป็นนางแน่! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าองค์ชายจะเลือกใคร แม้แต่ก่อนที่พวกเราจะมาเป็นองครักษ์ของวังปีศาจ คนที่ได้อยู่เคียงข้างเขาก็มีแต่ท่านพี่เท่านั้น”
ไป๋เหมยต้องยอมรับว่าเฮยจูทำให้นางรู้สึกคล้อยตามได้ดีทีเดียว ในขณะนั้นนางก็รู้สึกเหมือนตัวเองเกือบจะเผลอบอกที่อยู่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกไป
แต่หลังจากที่ลองคิดเรื่องนี้ดูให้ดีอีกที นางก็ตัดสินใจที่จะเงียบเอาไว้
รอก่อนดีกว่า
ในเมื่อนางบอกว่าท่านพี่ปรากฏตัวขึ้นแล้ว อีกไม่นานพวกนางก็คงจะได้เจอกัน
องค์ชายเกลียดคนที่เข้ามายุ่งกับเรื่องของเขา ดังนั้นกับเรื่องบางเรื่อง การปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“นี่เป็นคำสั่งของบททดสอบแรกสำหรับคนที่จะเข้าร่วมในหน่วยพิฆาตวิญญาณ” ห้วนหมิงเสียงวางม้วนกระดาษที่มีคำสั่งเขียนเอาไว้ลงในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยกับอวิ๋นปี้ลั่ว
“หาตัวอดีตสมาชิกของหน่วยพิฆาตวิญญาณที่อยู่ในสำนักไท่ไป๋ คำใบ้สำหรับจุดหมายถัดไปนั้นอยู่ในมือของเขา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ให้หาคนหรือ
“บททดสอบนี้คงไม่เป็นปัญหาสำหรับปี้ลั่ว” หลวนเหยียนดูเหมือนจะมั่นใจในคนที่ตัวเองพามาที่สำนักมากทีเดียว
ห้วนหมิงเสียงหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ”พวกเจ้าสองคนมีโอกาสขอตัวช่วยสองครั้ง หากเจ้าไม่สามารถหาตัวอดีตสมาชิกคนนี้ได้จริงๆ เจ้าสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอดีตสมาชิกคนนี้ได้จากผู้ชี้แนะ แต่เพื่อความยุติธรรม พวกข้าทั้งสองคนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอดีตสมาชิกคนนี้คือใคร กุญแจสำคัญของบททดสอบนี้คือการทำให้เขายอมรับออกมาด้วยตัวเอง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจได้ในทันที อันที่จริงแล้วภารกิจในครึ่งแรกนั้นก็ไม่ได้ยากอะไร แต่สิ่งที่ท้าทายคือครึ่งหลังต่างหาก
แม้พวกนางจะหาตัวอดีตสมาชิกคนนั้นเจอ เขาก็อาจจะไม่ยอมรับก็ได้
แต่การปิดบังความลับของหน่วยพิฆาตวิญญาณก็ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
“ฟังให้ดี เจ้ามีเวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น” ห้วนหมิงเสียงชำเลืองมองพระจันทร์ที่ส่องแสงอยู่ไกลออกไป ”สามวันหลังจากนี้ พวกข้าจะประเมินผลการทดสอบอีกที”
อวิ๋นปี้ลั่วส่งเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย คำพูดของนางแผ่วเบา ”การทดสอบนี้น่าสนใจจริงๆ ต่อจากนี้ข้าคงจะต้องขอคำชี้แนะจากคุณหนูเฮ่อเหลียนเสียแล้ว”
“ได้สิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรับคำอย่างว่าง่าย แต่ก็อดที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันไม่ได้
ริมฝีปากบางของหยวนหมิงกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มซุกซน ”อะไรกัน แม่นาง เจ้าคิดว่าเจ้าเอาชนะนางไม่ได้หรือ”
“จากประสบการณ์ของข้า บททดสอบประเภทนี้นั้นครึ่งแรกมีไว้เพื่อวัดทักษะการสังเกต ส่วนครึ่งหลังจะประเมินเรื่องการทำงานร่วมกับผู้อื่น” อย่างไรเสียเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เคยเป็นถึงราชินีนักรบที่มีภูมิหลังพิเศษกว่าคนอื่น ดังนั้นนางจึงสามารถทำความเข้าใจจุดประสงค์หลักของคนที่คิดการทดสอบนี้ขึ้นมาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
หยวนหมิงหัวเราะอย่างเริงร่า ”เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าต้องการร่วมมือกับผู้หญิงคนนั้นหรือ”
“ข้าเพียงแค่พูดถึงจุดประสงค์หลักของพวกเขาเท่านั้น ส่วนเรื่องความร่วมมือ…” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้น ”ก็ขึ้นอยู่กับความยินยอมของนาง เจ้าชมว่านางน่าสนใจอยู่เรื่อยเลยมิใช่หรือ”
แววตาไร้เดียงสาแต่กลับแฝงไปด้วยความชั่วร้ายแล่นผ่านนัยน์ตาของหยวนหมิง ”นางน่าสนใจจริงๆ”
“เจ้าเป็นปีศาจ หยวนเสี่ยวหมิง” เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้กระแสจิตของตนสื่อสารกับหยวนหมิงอย่างไม่สะทกสะท้าน ”คำพูดที่ออกมาจากปากของปีศาจมักจะมีความหมายตรงกันข้ามเสมอ”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น หยวนหมิงก็ถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่แล้วเขาก็หัวเราะออกมาทันที ”แม่นาง เจ้าแน่ใจหรือว่าชาติก่อนเจ้าไม่เคยไปเยี่ยมแดนนรกมาก่อน เจ้าเข้าใจปีศาจดีทีเดียว ทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก”
“ถ้าอย่างนั้นในอนาคต เจ้าก็อย่าได้ปิดบังอะไรจากข้าเลยจะดีกว่า” มุมปากข้างหนึ่งของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้น
หยวนหมิงลอบมองพระจันทร์เสี้ยวที่ห้อยอยู่กลางท้องฟ้า ”เจ้าเอาอีกแล้ว เอาแต่พูดเรื่องขององค์ชายสามกับเจ้าอยู่ได้ เจ้าอย่าได้โกรธแค้นข้าเลย ข้าทำทุกอย่างเพื่อเจ้าทั้งนั้น ตอนนี้พวกเจ้าก็เข้ากันได้ดีมิใช่หรือ”
เมื่อพูดถึงองค์ชายสามขึ้นมา ก็ดูเหมือนจะทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ”แย่ล่ะสิ”
“อะไรหรือ” ห้วนหมิงเสียงมองนางด้วยสายตาสับสน ”มีปัญหาอะไรหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปมองเขาขณะที่มือของนางก็ยังง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของของตน ”ไม่มีอะไร แต่ข้ายังมีเรื่องต้องทำอยู่ ข้าคงต้องขอตัวไปก่อนล่ะ”
“ทำไมนังหนูนี่ต้องรีบถึงเพียงนี้ด้วย” ห้วนหมิงเสียงมองแผ่นหลังของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ก้าวยาวๆ เพียงสองสามก้าวก่อนจะหายลับไปจากสายตาของเขา เขาอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเอ็นดูเฮ่อเหลียนเวยเวยทีเดียว
ในเวลานี้อวิ๋นปี้ลั่วเองก็ละสายตากลับมา นางหันไปทางห้วนหมิงเสียงกับหลวนเหยียน แล้วเอ่ยว่า ”ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง เช่นนั้นข้าก็ต้องขอตัวเช่นกันเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยว” หลวนเยียนเรียกอวิ๋นปี้ลั่ว ”เจ้าเองก็ไม่ต้องการข้อมูลเหมือนกันหรือ”
อวิ๋นปี้ลั่วแย้มรอยยิ้มบาง เผยให้เห็นความอ่อนโยนของนาง ”ในเมื่อแม่นางเฮ่อเหลียนไม่ต้องการ เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องการเหมือนกันเจ้าค่ะ”
“ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ” ห้วนหมิงเสียงลูบเครายาวสีขาวของตนอย่างมีเลศนัย ”พวกเจ้าทั้งสองคนไม่มีใครต้องการคำแนะนำ ในฐานะผู้ชี้แนะ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าต้องพบกับสถานการณ์เช่นนี้ นังหนู คงไม่ใช่ว่าเจ้ากับเฮ่อเหลียนเวยเวยมีเรื่องบาดหมางกันหรอกนะ”
ในดวงตาของอวิ๋นปี้ลั่วปรากฏรอยยิ้มขึ้น ”ผู้อาวุโสห้วนพูดเรื่องอะไรกันเจ้าคะ พวกเราเพิ่งบังเอิญเจอกันเมื่อวานนี้นี่เอง ข้าก็แค่เผลอหยิบของที่เป็นของนางมาโดยบังเอิญเท่านั้น ข้าจึงจำเป็นต้องนำมันกลับไปคืนให้นางเจ้าค่ะ”
“อ้อ” ห้วนหมิงเสียงรู้แต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าที่เห็น แต่เขาก็ยังทำหน้านิ่งอยู่ ”ของสิ่งนั้นมันสำคัญจนถึงกับทำให้เจ้าต้องแข่งขันกับนางเชียวหรือ”
อวิ๋นปี้ลั่วดูเหมือนกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง นางทำตาโต น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ”ทำไมท่านถึงพูดเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ ผู้อาวุโสห้วน ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะเอาตัวเองไปแข่งกับนางเลยนะเจ้าคะ” ระหว่างที่พูด นางก็เม้มริมฝีปากล่างของตน ”ไม่ใช่แค่นั้น ข้าไม่คิดว่าพวกเรามีความจำเป็นต้องแข่งขันกันเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ ผู้อาวุโสห้วนไม่ควรกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้นะเจ้าคะ”
ทันทีที่อวิ๋นปี้ลั่วพูดจบ นางก็พยักหน้าให้กับหลวนเหยียน แล้วเดินหายไปกับความมืดยามราตรี
ห้วนหมิงเสียงรู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกว่าเด็กสาวคนนั้นดูค่อนข้างคุ้นตาสำหรับเขา แต่เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอกับนางที่ไหนมาก่อน
แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ศิษย์ใหม่จะรู้สึกอยากแข่งขันกัน
มันไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับห้วนหมิงเสียง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะนำมันมาใส่ใจมากนัก
ทันใดนั้นหลวนเหยียนก็เอ่ยขึ้น ”เฮ่อเหลียนเวยเวยทำเป็นเล่นกับภารกิจนี้เกินไป คนคนนี้อยู่ในสำนักไท่ไป๋ แต่กลับสามารถปิดบังตัวตนของตัวเองได้ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ใช่คนที่จะตามหาตัวได้ง่ายๆ เลย”
“ถ้าเจ้าคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่จริงจังกับภารกิจนี้ เช่นนั้นเจ้าก็คงคิดว่าอวิ๋นปี้ลั่วจริงจังกับภารกิจมากล่ะสิ” ห้วนหมิงเสียงออกความเห็น
หลวนเหยียนตอบ บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มกว้างฉาบเอาไว้ ”เหล่าห้วน ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแต่ว่าในหลายปีที่ผ่านมานั้น ผู้สมัครเข้าหน่วยพิฆาตวิญญาณต่างก็ได้รับการคัดเลือกมาจากยอดฝีมือที่รอบรู้ในหลายแขนง อวิ๋นปี้ลั่วได้รับการเสนอชื่อจากผู้อาวุโสทุกท่าน และครั้งหนึ่งข้าก็เคยได้เห็นฝีมืออันยอดเยี่ยมของนางกับตาตัวเองมาแล้ว ฝีมือนางน่าประทับใจยิ่งนัก ไม่ใช่แค่พลังปราณของนางเท่านั้นที่น่าอัศจรรย์ใจ แต่แม้กระทั่งทักษะการพรางตัว และสติปัญญาอันเฉียบแหลมของนางก็ดีมากด้วย ส่วนเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้น ข้ารู้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้นางทำสิ่งที่ชวนให้ตกตะลึงไว้มากมาย แต่เหล่าห้วน เจ้าน่าจะเข้าใจว่าการหาตัวสมาชิกคนนี้นั้นหากจะพึ่งพาเพียงแค่พลังปราณอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ พวกนางจะต้องมีทักษะการสังเกตอันเฉียบคมมากอีกด้วย ท่านคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะสามารถทำได้หรือ”
ห้วนหมิงเสียงทำเพียงส่งรอยยิ้มกลับไปให้หลวนเหยียนแทนคำตอบ เขาไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าในตอนนั้น คนที่ดูออกว่าเขาปลอมตัวเป็นภารโรงอยู่ก็คือเฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้นี่เอง
เด็กสาวคนนั้น… ไม่ว่าใครก็อย่าได้ประเมินนางต่ำเกินไปเชียว!