นายหญิงเกาเห็นนางก้มหน้าก้มตา ก็พูดอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะ เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าคิดดูแล้ว ถึงแม้ว่าหย่งผิงโหวฮูหยินคนนั้นจะอายุยังน้อย แต่นางไม่ธรรมดา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่แค่ไม่กี่เดือนก็มีที่ยืนในจวนสกุลสวีแล้ว เดิมทีวันนั้นข้าจะไปหานาง แต่ใครจะรู้ว่ากลับบังเอิญเจอนางตอนที่สาวใช้ทำชาหกใส่นางพอดี ตอนนั้นไม่มีฮูหยินสกุลอื่นอยู่ในเหตุการณ์ แต่นางกลับยังทำสีหน้าเป็นมิตร หากนางไม่ใช่คนที่อ่อนโยนและใจกว้าง ก็คงจะเป็นคนที่ร้ายไม่เบา แต่หากเป็นคนอ่อนโยนใจกว้างจริงๆ โหรวเน่อแต่งเข้าไปก็คงจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง การมีแม่สามีที่ดี ดีกว่าอะไรทั้งสิ้น เรื่องนี้เจ้าเองก็เข้าใจดี”
นายหญิงเซี่ยงพยักหน้า “มีแม่สามีคอยสนับสนุน แน่นอนว่าไม่มีอะไรน่ากลัว”
“แต่หากไม่ใช่เช่นนั้น” นายหญิงเกาพึมพำ “ตราบใดที่ไม่กระทบต่อผลประโยคของนาง นิสัยอย่างโหรวเน่อคงไม่มีทางชนะนาง ดังนั้นนางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ซึ่งหากนางเป็นคนเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่น่ากลัว แต่ถึงตอนนั้นเราต้องพูดกับนางให้ชัดเจน บอกว่าทรัพย์สินของสกุลสวีเราไม่ต้องการแม้แต่สลึงเดียว แล้วค่อยแยกออกมาอยู่ข้างนอก คิดว่านางน่าจะดีใจกว่าพวกเราเสียอีก…”
“เช่นนั้นโหรวเน่อก็เสียเปรียบน่ะสิ” ไม่รอให้นายหญิงเกาพูดจบ นายหญิงเซี่ยงก็พูดว่า “ไม่ได้นะเจ้าคะ”
นายหญิงเกาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นก่ายหน้าผากของตัวเอง นางหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้นางเป็นคนดูแลจวน หากนางเป็นคนซื่อสัตย์ เราก็ไม่ต้องยื้อแย่ง นาจะนำส่วนของสวีซื่ออวี้มอบให้เขาเอง แต่หากนางเป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต่อไปนางยังจะต้องมีบุตรเป็นของตัวเอง นางไม่มีทางวางแผนให้บุตรชายที่ไม่มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งบรรดาศักดิ์ และเมื่อได้ลิ้มรสของการดูแลจวนแล้ว จะมีสักกี่คนที่ยอมปล่อยวาง อย่างมากก็ยี่สิบปี อย่างน้อยก็สิบปี ถึงแม้ว่านางจะไม่เปลี่ยนผู้ดูแลทั้งลานนอกและลานในก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธนางอยู่ดี ตราบใดที่นางมีเงินจากกิจการของสกุลสวีอยู่ในมือ แค่ไม่กี่ปี สินเดิมของนางก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า แล้วท่านโหวก็ยังอายุเยอะกว่านางตั้งสิบกว่าปี เมื่อท่านโหวแก่แล้ว แต่นางยังคงเด็ก…ถึงตอนนั้ นแม้ว่าจะแบ่งเท่ากัน แต่เกรงว่าคงจะตกมาถึงมือสวีซื่ออวี้แค่ไม่กี่ตำลึง เราแย่งกันไปแย่งกันมา เกรงว่าคงจะทำให้คนสกุลสวีไม่พอใจ เช่นนั้นมันคงจะได้ไม่คุ้มเสีย!”
นายหญิงเซี่ยงยังคิดตามไม่ทัน นางพูดด้วยความลังเล “เช่นนั้น หากหย่งผิงโหวฮูหยินไม่มีบุตรชายล่ะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็จะดีมาก!” นายหญิงเกาได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “หากนางไม่มีลูก นางยิ่งต้องมีอำนาจและเงิน ไม่เช่นนั้น แก่แล้วนางจะพึ่งพาใคร? เจ้าลองคิดดู มีแม่สามีที่อายุเยอะกว่าตัวเองไม่เท่าไร ดูแลจวนไม่ยอมปล่อย ในบรรดาลูกสะใภ้ในอนาคต ใครจะมีชีวิตที่ลำบากมากที่สุด?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นภรรยาของทายาทผู้สืบทอด!” นายหญิงเซี่ยงพูดออกมา
นายหญิงเกายิ้มแล้วพยักหน้า “ไม่เลว ไม่เลว เจ้ารู้จักใช้สมองแล้ว!” พูดจบ นายหญิงเซี่ยงก็หน้าแดง
“ถึงตอนนั้น เกรงว่าหย่งผิงโหวฮูหยินคงจะปั้นลูกสะใภ้ของทายาทคนนั้นให้เป็นน้ำ” นายหญิงเกาพูดเบาๆ “ต้องรู้ว่า ที่ท่านโหวแต่งงานกับสกุลเรา เจตนาเดิมก็คืออยากจะไล่บุตรชายอนุคนโตคนนี้ออกไปเพื่อตำแหน่งของบุตรชายภรรยาเอกคนที่สอง เขาจะต้องมีแผนการอีกแน่นอน ด้วยนิสัยของท่านโหว ในเมื่อเขาเป็นคนออกหน้า เช่นนั้นก็หมายความว่าสวีซื่ออวี้ไม่มีทางได้สืบทอดตำแหน่งแน่นอน พวกเราและหย่งผิงโหวฮูหยินก็ไม่มีอะไรต้องขัดแย้งกัน เช่นนี้ โหรวเน่อของเราก็จะมีชีวิตที่ดีที่สุด บางที อาจจะเข้าตาแม่สามี จากนั้นก็สนิทสนมกับนาง”
ลูกสะใภ้เยอะก็เป็นเช่นนี้ แม่สามีต้องจับคนใดคนหนึ่ง ปล่อยคนใดคนหนึ่ง แล้วก็เหยียบคนใดคนหนึ่ง!
นายหญิงเซี่ยงได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
“ดังนั้นข้าจึงต้องตำหนิเจ้า” นายหญิงเกาพูด “ท่านเขยทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่ว่าการแต่งงานครั้งนี้สามารถพึ่งพาได้”
นายหญิงเซี่ยงทำหน้าบึ้งตึง แต่ก็ไม่ได้คัดค้านเหมือนก่อนหน้านี้
นายหญิงเกาเห็นแล้วก็รู้สึกขบขัน จับนางเข้ามากอดในอ้อมแขน เกลี้ยกล่อมนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนราวกับเกลี้ยกล่อมเด็กน้อย “ประเดี๋ยวก็เขียนจดหมายไปให้ท่านเขย เล่าเรื่องที่ข้าเล่าให้เจ้าให้ท่านเขยฟัง สุดท้ายก็บอกว่าเจ้ากังวลว่าต่อไปโหรวเน่อจะไม่ได้ส่วนแบ่งของสกุลสวี จึงอยากให้สินเดิมโหรวเน่อเยอะหน่อย…”
นายหญิงเซี่ยงมองพี่สะใภ้ของตัวเองด้วยความตกใจ พูดขึ้นกระอึกกระอัก “อี้จยายังไม่ได้แต่งงาน แล้วก็ยังมีโหรวจิ่นและโหรวเชียน…”
นายหญิงเกาอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วมือจิ้มที่หน้าผากของนายหญิงเซี่ยงอย่างแรง “เจ้านะเจ้า ใครบอกให้เจ้านำข้าวของไปให้โหรวเน่อจริงๆ ข้าบอกให้เจ้าเขียนจดหมายให้ท่านเขยไม่ใช่หรือ เจ้าลองคิดดู หากท่านเขยรู้ว่าถึงแม้ว่าเจ้ากำลังโกรธเขาอยู่ แต่กลับจัดการเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้อย่างเหมาะสม ในใจของเขาก็คงจะหวานราวกับทานน้ำผึ้ง ต่อไปหากเขามีเรื่องอันใดเขายังจะกล้าไม่ปรึกษาเจ้าเช่นนั้นหรือ เจ้าก็รู้ว่าอี้จยายังไม่ได้แต่งงาน โหรวจิ่นและโหรวเชียนก็ยังไม่ได้ออกเรือน แล้วท่านเขยจะไม่รู้เช่นนั้นหรือ”
นายหญิงเซี่ยงจึงดึงเสื้อนายหญิงเกา ท่าทางออดอ้อน “พี่สะใภ้ของข้า”
แต่นายหญิงเกากลับไม่เล่นกับนาง พูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าเห็นข้าเป็นคนในครอบครัว ข้าก็ไม่เคยเห็นเจ้าเป็นคนนอก เรื่องบางเรื่อง เมื่อก่อนข้าเคยบอกเจ้า เจ้าก็บอกว่าข้าน่ารำคาญ แต่วันนี้ข้ายังต้องบอกเจ้าอีกครั้ง”
นายหญิงเซี่ยงเห็นว่าพี่สะใภ้ใหญ่พูดจาจริงจัง ก็นั่งตัวตรงแล้วพูดด้วยความเคารพ “พี่สะใภ้พูดมาเถิดเจ้าค่ะ”
นายหญิงเกาพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “เงินเป็นของตาย แต่คนเป็นของเป็น มีคนอยู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเงิน เจ้าต้องเรียงลำดับความสำคัญ เมื่อไม่มีคนต้องรีบคว้าเงินมาไว้ในมือ แต่เมื่อมีคน ต้องรีบคว้าคนเอาไว้”
กำลังเตือนนางว่าต่อไปไม่ควรทำอะไรดื้อรั้นใช่หรือไม่
นายหญิงเซี่ยงพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”
แต่นายหญิงเกายังไม่ค่อยวางใจพูดอีกว่า “เหมือนกับเงินที่แม่สามีของเจ้าแอบให้บรรดาคุณหนู ทำไมข้าถึงบอกให้เจ้าเก็บไว้ในใจไม่ต้องพูดออกมา ก็เพราะว่าท่านเขยคิดว่าเมื่อแม่สามีของเจ้าล้มป่วย เจ้าก็คอยดูแลแม่สามีเป็นอย่างดี แต่เมื่อแม่สามีเสียชีวิตนางกลับไม่ทิ้งเงินไว้ให้เจ้าแม้แต่สลึงเดียว ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าไม่ดี แต่เพราะว่าแม่สามีของเจ้าไม่ชอบท่านเขย เขาทำให้เจ้าลำบากไปด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกผิดต่อเจ้า ยอมเจ้าทุกเรื่อง เรื่องเงิน เราไม่ต้องไปคิดเล็กคิดน้อย แต่หากท่านเขยคิดว่าการที่แม่สามีไม่ทิ้งอะไรไว้ให้เจ้าเลยเพราะว่าเจ้าดูแลนางไม่ดี ไม่ทำหน้าที่ของลูกสะใภ้ที่ดี เช่นนั้นเราก็ไม่ต้องอดทนเขา ไม่ต้องยอมเขา ควรทำอะไรก็ทำเช่นนั้น รีบคว้าทุกสลึงทุกตำลึงมาไว้ในมือของตัวเอง…”
“ข้าเข้าใจที่พี่สะใภ้พูดดี” นายหญิงเซี่ยงรีบพูด “ดังนั้นสองสามปีนี้ข้าจึงไม่พูดอะไรเลย”
นายหญิงเกาพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็พูดเรื่องงานเลี้ยง “…ส่งเทียบเชิญไป เชิญฮูหยินห้า คุณหนูใหญ่ คุณหนูสองที่พึ่งจะครบเดือนแล้วก็คุณชายน้อยทั้งหมดมา เพื่อขอบคุณงานเลี้ยงของสกุลสวี คนอื่นเห็นแล้วคงจะไม่คิดอะไรแปลกประหลาด เพราะว่าเรายังโน้มน้าวใจหย่งผิงโหวฮูหยินคนนั้นไม่ได้ และหากว่าแม้เจอหน้ากันแล้วแต่ยังทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยเราก็ยังพอมีทางออก” พูดจบ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าเขียนเรื่องนี้ในจดหมายด้วย… ถึงแม้ว่าเรื่องที่วัดฉือหยวนจะเป็นความผิดของเรา แต่เราเชิญนางมาที่จวน ก็ถือว่าชดใช้ความผิดพลาดนั้นแล้ว ท่านเขยรู้ว่าเจ้ารู้ความ เป็นหน้าเป็นตาให้เขาจะต้องพอใจอย่างแน่นอน”
นายหญิงเซี่ยงตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความเขินอาย
นายหญิงเกาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ช่างเถิด ประเดี๋ยวเจ้านำจดหมายที่เขียนให้ท่านเขยมาให้ข้าดูก่อน ข้าคิดว่าดีแล้วค่อยส่งให้ท่านเขย”
นายหญิงเซี่ยงรีบตอบรับ เห็นว่านายหญิงเกาเก็บทุกรายละเอียดเช่นนี้ นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงตอนนั้นข้าทำอะไรพลาด พี่สะใภ้ต้องเตือนข้าด้วยนะเจ้าคะ”
“ถึงตอนนั้นข้าคงจะไม่ไปด้วย” นายหญิงเกายิ้ม
“ไม่ได้นะ” นายหญิงเซี่ยงรีบคัดค้าน “ที่ข้ามีทุกวันนี้ได้ ก็เพราะว่าพี่สะใภ้…”
นายหญิงเกาส่ายหน้า สีหน้าเคร่งขรึม “การที่เราสามารถจัดการคุณหนูของเจ้าครั้งนี้ได้ ก็เพราะว่านางไม่ควรเข้ามายุ่งเรื่องครอบครัวของเจ้า หากข้าไป ข้าจะกลายเป็นอะไร กลายเป็นตัวตลกเช่นนั้นหรือ”
ถึงแม้ว่านายหญิงเซี่ยงจะรู้ว่านายหญิงเกาพูดมีเหตุผล แต่เมื่อคิดว่าพี่สะใภ้ใหญ่ทำเพื่อตัวเองมากขนาดนี้ จวนของตัวเองมีงานเลี้ยง แต่พี่สะใภ้ที่ตัวเองเคารพและชื่นชอบมากที่สุดกลับไม่ไป แล้วยังต้องต้อนรับคุณหนูที่ตัวเองไม่ชอบหน้าเหล่านั้น นางยังคงรู้สึกไม่พอใจ ลังเลที่จะพูด
แต่นายหญิงเกากลับรู้นิสัยของแม่นางน้อยคนนี้ดี นางจึงสรุปเรื่องนี้อีกครั้ง “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ในงานวันเลี้ยงก็อย่าทำตัวไม่พอใจ ต้องต้อนรับไท่ฮูหยินสกุลสวีและหย่งผิงโหวฮูหยินให้ดี คนพวกนั้นเป็นคนมีความรู้ เจ้าก็เป็นคนตรงไปตรงมา เจ้าเป็นคนเช่นไรพวกเขาดูออก เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องเชิญมาเสียจะดีกว่า เห็นแล้วทำให้คนไม่สบายใจ”
นายหญิงเซี่ยงตอบรับด้วยความเคารพ ถึงวันงานเลี้ยง นางก็ต้อนรับแขกอย่างเป็นกันเอง ฮูหยินห้าบอกว่าบุตรสาวไม่ค่อยสบาย จึงไม่มาด้วย สวีซื่ออวี้และสวีซื่อจุนต้องไปสำนักศึกษา นายหญิงเซี่ยงไล่เซี่ยงอี้จยากลับไปจวนสกุลเดิม ไท่ฮูหยินพาสืออีเหนียง ฮูหยินสอง เจินเจี่ยเอ๋อร์และสวีซื่อเจี้ยมา เจินเจี่ยเอ๋อร์และคุณหนูสกุลเซี่ยงสามคนรู้จักกันอยู่แล้ว สวีซื่อเจี้ยก็ไร้เดียงสา แล้วยังไม่กลัวคนแปลกหน้า พวกเด็กๆ พูดคุยหัวเราะ เล่นด้วยกันอย่างมีความสุข นายหญิงเซี่ยงคอยดูแลไท่ฮูหยินเป็นอย่างดี ฮูหยินสองเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้ายิ้มแย้มกว่าปกติ
แต่สืออีเหนียงกลับเห็นว่าสกุลเซี่ยงไม่มีเรือนหลัง แต่มีสวนดอกไม้เล็กๆ ก็รู้สึกแปลกใจ แล้วยังเห็นว่ามุมกำแพงสวนดอกไม้ปลูกดอกฝิ่นหลากสี คนที่ไม่รู้จักมันอาจจะคิดว่ามันคือสาวงาม แต่สืออีเหนียงกลับอดไม่ได้ที่จะเดินไปดู
“นั่นคือดอกไม้ที่มีชื่อว่าดอกฝิ่น” เสียงของฮูหยินสองดังขึ้นมาจากข้างหลัง
สืออีเหนียงหันหน้ากลับมา ก็เห็นฮูหยินสองยืนอยู่บนบันไดใต้ชายคา
แสงอาทิตย์ของปลายฤดูใบไม้ผลิสาดส่องลงมาบนกระโปรงสีขาวที่ราวกับหิมะของนาง ทำให้นางดูสะอาดสะอ้าน เช่นเดียวกับใบหน้าที่ขาวสะอาดหมดจดของนาง
นางค่อยๆ เดินเข้าไป ใช้นิ้วที่เรียวยาวและขาวราวกับหิมะแตะที่ดอกฝิ่นสีแดงที่กำลังเบ่งบานเบาๆ “พี่สองของเจ้านำมาจากซีอวี้อันไกลโพ้น ข้าโรยมันไว้ในลาน คิดไม่ถึงว่ามันจะออกดอก” ฮูหยินสองมองดูดอกไม้พวกนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู
สืออีเหนียงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าสวนดอกไม้จวนเราไม่มีดอกเช่นนี้ เหตุใดพี่สะใภ้สองไม่ย้ายไปปลูกที่นั่นสักต้นสองต้นเล่า”
“ของบางอย่าง เปลี่ยนสถานที่ ก็จะสูญเสียความหมายเดิมไป” ฮูหยินสองหรี่ตามองไปที่ดอกฝิ่นสีม่วงที่อยู่ไกลๆ ด้วยทาทีที่เงียบสงบราวกับสายลม
มีเสียงหัวเราะของนายหญิงเซี่ยงดังมาจากไกลๆ ทำให้สวนดอกไม้ดูเงียบสงบ
สืออีเหนียงเห็นว่านางไม่พูดอะไรกับตัวเองอีก จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไปดูท่านแม่ก่อนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองยิ้มแล้วพยักหน้า
สืออีเหนียงพาสาวใช้เดินไปที่ศาลาที่นายหญิงเซี่ยงและไท่ฮูหยินนั่งอยู่
เมื่อใกล้จะถึงศาลานางก็หันหลังกลับไปมอง แต่กลับไม่เห็นเงาของฮูหยินสองแล้ว