“เราจะกลับไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ” หยวนหมิงกระตุกยิ้มชั่วร้าย พลางหันหน้ากลับไปมองร่างสูงที่ยืนหลังเหยียดตรงอยู่ข้างหน้าต่าง ”อืม กลับกันเถอะ แม่นาง เจ้ารีบกลับจะดีกว่า มิฉะนั้นอาจจะมีใครบางคนจับตอนเจ้ากำลังปีนกำแพงได้อีกก็ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าวันนี้หยวนหมิงดูพูดมากกว่าปกติ แต่แล้วนางก็รวบรวมสติก่อนที่จะตัดสินใจเร่งฝีเท้าของตนเอง แล้วกระโดดข้ามกำแพงสูงตระหง่านนั้นไปด้วยการกระโดดเพียงแค่สองหรือสามครั้งเท่านั้น
เพล้ง!
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยหายลับไป เชิงเทียนที่อยู่หน้าบานหน้าต่างก็ดับพรึ่บ แม้กระทั่งถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะก็ร่วงลงไปแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่ที่พื้น
เหตุการณ์นี้ถึงกับทำให้หนังศีรษะของเงาทมิฬชาวาบ
คนที่ทำให้ถ้วยน้ำชาเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย นิ้วของเขาปลดกระดุมเสื้อที่สวมอยู่อย่างไม่เร่งรีบระหว่างที่ก้าวไปข้างหน้าทีละน้อย
เงาทมิฬเผลอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาค่อยๆ ถอยหลังออกไป แล้วปิดประตูอย่างระมัดระวัง เขาเช็ดหน้าผากที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อของตัวเองออก
การได้เห็นฝ่าบาททำตัวเช่นนี้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติยิ่งนัก
วันต่อมา ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ปีนหน้าผาขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุดของสำนักไท่ไป๋ และเฝ้าสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของบรรดาลูกศิษย์ภายในสำนัก
“แม่นาง วิธีการที่เจ้าใช้หาตัวเขาช่างเหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรยิ่งนัก” นี่เป็นครั้งแรกที่หยวนหมิงตื่นเช้าขนาดนี้ และเขายังดูตื่นเต้นมากอีกด้วย ”ทำไมไม่ไปหาอาจารย์สักคน แล้วลองข่มขู่เขาแทนล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาว ”ข้ายังไม่อยากถูกไล่ออกจากสำนัก”
“พวกเราจะเอาแต่ยืนอยู่ที่นี่หรือ” หยวนหมิงมองไปยังพื้นที่รกร้างว่างเปล่ารอบตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยปรายตามองเขา ”ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเสียหน่อย อย่างไรเสียชิงจ้านก็จะนำอาหารมาส่งให้พวกเราอยู่แล้ว”
“เจ้าไม่ต้องไปเข้าเรียนหรือ” หยวนหมิงเลิกคิ้วขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย ”ข้าลาเรียบร้อยแล้ว”
“นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์จะอนุญาตให้เจ้าลา” ตาแก่ตัวจิ๋วที่แทบจะบีบคอนางให้ตายทุกครั้งที่เห็นนั่นกลายเป็นคนพูดจารู้เรื่องขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้มือลูบท้องเล็กๆ ของตนไปมา ”ในฐานะที่เป็นผู้หญิง ทุกๆ เดือนย่อมมีสักวันหรือสองวันที่พวกเรารู้สึกไม่ค่อยสบาย นี่เป็นสิ่งที่ข้าบอกเขา”
หยวนหมิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองอย่างเงียบๆ ”ตาแก่ตัวจิ๋วนั่นคงโกรธจนแทบบ้าแน่ตอนที่เขาได้ยินเจ้าพูดอย่างนั้น”
“เปล่าเลย เขาแค่ทำหน้าแดงอย่างกับข้าไปลวนลามเขาเข้าแน่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยอ้าปากหาวอีกครั้งอย่างเหนื่อยล้า ”ข้าไม่พิศวาสชายแก่อย่างเขาหรอก”
หยวนหมิง : …
ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก
แต่หลังจากนั้นเขาก็พบว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยดูอาการไม่ดีจริงๆ เขาขมวดคิ้วของตนเข้าหากัน แล้วหยิบเอาสตรอว์เบอร์รีออกมาเสริมพลังชีวิตให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกดีขึ้นหลังจากได้กินสตรอว์เบอร์รี นางวางมือไว้บนหน้าท้อง ขณะพักต่ออีกครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางขาวซีด นางรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อยจากความร้อนนี้
“พี่สะใภ้สาม” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยที่ในเวลานี้ไม่ได้ถือซาลาเปาไว้ในมือดูสง่างามในชุดอันหรูหราของตน ที่ข้างกายของเขามีเด็กหัวโล้นตัวเล็กสองคนยืนอยู่ ภาพนี้ทำให้เขาดูเหมือนกับฮ่องเต้องค์น้อยที่กำลังออกลาดตระเวน ”ท่านรู้สึกไม่สบายหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างจริงใจว่า ”นิดหน่อย”
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยจริงจังกับเรื่องนี้จนหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาหันไปหาเด็กชายหัวโล้นทั้งสองที่อยู่ข้างกาย แล้วสั่งว่า ”ไปหาพี่สาม แล้วบอกเขาว่าพี่สะใภ้สามไม่สบาย”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เด็กชายหัวโล้นทั้งสองทำท่าจะพุ่งตัวออกไป
แต่ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยื่นมือของตนออกไปคว้าพวกเขาเอาไว้แล้วดึงกลับมา ”อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ไปเลย หลังจากได้พักสักครู่ข้าก็คงจะดีขึ้นเอง พวกเจ้าสองคนกลับไปได้แล้ว”
เด็กชายหัวโล้นทั้งสองมองไปทางองค์ชายเจ็ด
องค์ชายเจ็ดโบกมือ สีหน้าและท่าทางทรงอำนาจนั้นคล้ายคลึงกับองค์ชายสามมากทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยถามอย่างสงสัยว่า ”ข้าไม่เคยเห็นเด็กหัวโล้นสองคนนี้มาก่อนเลย”
“พวกเขาเป็นองครักษ์เงาที่พี่สามบอกให้ข้าเลือกมาด้วยตัวเองขอรับ” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยตอบอย่างกระตือรือร้น ”เด็กสองคนนั้นเป็นคนคู่เดียวที่ข้ารู้สึกว่าเห็นแล้วสบายตา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ตามหลักการแล้ว คนที่จะสามารถมีองครักษ์เงาอยู่ในครอบครองได้นั้นจะต้องเป็นคนที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุดว่าจะได้สืบบัลลังก์ ไม่ใช่แค่นั้น ผู้ที่เป็นคนแต่งตั้งองครักษ์เงาให้กับองค์ชายสามนั้นก็คืออดีตฮ่องเต้
แต่ชายคนนั้นกลับสั่งให้องค์ชายเจ็ดเลือกองครักษ์เงาด้วยตัวเอง… จุดประสงค์ของเขานั้นชัดเจนมาก เขาจะเป็นคนที่คอยใช้อำนาจตัดสินใจ วางแผนสิ่งต่างๆ อยู่หลังม่าน และสุดท้ายคนที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็คือองค์ชายเจ็ดคนนี้นี่เอง
แต่…
“มีคนอื่นรู้เรื่องนี้อีกหรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องนี้ หากมีใครล่วงรู้แผนการของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้า เจ้าหนูนี่คงได้ตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
เป็นอย่างที่คิดไว้ องค์ชายเจ็ดส่ายศีรษะ เขาเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยเหมือนกับลูกเสือตัวน้อย ”เมื่อปีที่แล้ว พี่สามบอกข้าว่าเรื่องนี้ห้ามบอกใครขอรับ”
“แต่เจ้าก็ยังบอกข้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดกับตัวเอง สรุปว่าเรื่องมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วหรือ เขาวางแผนการเรื่องนี้เอาไว้นานเพียงใดแล้วกันแน่
เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้น เขาดูมีสีหน้าดุดัน ”ท่านเป็นพี่สะใภ้สามของข้า ไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากจะจับเด็กคนนี้มากอดอีกสักครั้ง เขาจะน่าหมั่นเขี้ยวเกินไปแล้ว ”ถ้าเนื้อแดดเดียวของเจ้าหมดเมื่อไหร่ มาเอาจากข้าได้นะ ข้าจะให้คนไปซื้อมาให้เจ้า”
“ขอรับ!”
เป็นอย่างที่นางคาดเอาไว้ มีแค่เนื้อเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถนำความสุขมาให้เขาได้ ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับเชียว!
เด็กชายจ้องหน้านาง ”พวกเราจะไม่บอกพี่สามจริงๆ หรือขอรับ”
“ไม่ต้องหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยโบกมือ
เด็กชายวางท่อนไม้ที่ตนถืออยู่ลง ”เช่นนั้นท่านจะพลาดโอกาสเรียกความสงสารนะขอรับ ท่านไม่ควรทำเช่นนั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกขำ ”เจ้ารู้จักกระทั่งความหมายของคำว่าเรียกความสงสารด้วยหรือ”
“สมัยที่ข้ายังเป็นเด็ก เมื่อใดที่ข้าอยากเจอพี่สามมาก ข้าก็จะร้องไห้จนล้มป่วย แล้วเขาก็จะมาหาข้า มาป้อนเนื้อให้ข้ากินขอรับ” แน่นอนว่าเด็กชายกำลังพยายามแบ่งปันประสบการณ์ของตนอยู่ สีหน้าเขาดูจริงจังเป็นอย่างมาก
แต่… การกินเนื้อตอนป่วยมันดีแล้วจริงๆ หรือ
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสามไม่รู้วิธีดูแลคนอื่น
องค์ชายเจ็ดเองก็คงไม่เก่งเรื่องนี้เหมือนกัน
พี่น้องสองคนนี้เติบโตมาอย่างไรกันนะ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจ แล้วเอ่ยทีเล่นทีจริงว่า ”เจ้าไม่ได้ยินที่คนอื่นพูดกันหรือ พี่สามของเจ้าแต่งงานกับข้าเพียงเพื่ออดีตฮ่องเต้ แล้วเจ้าก็ยังมาปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นคนที่เจ้าสามารถเชื่อใจได้ มิหนำซ้ำยังเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังอีก”
“อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของพวกเขาเลยขอรับ” เด็กชายกระโดดลงจากที่นั่ง แล้วจ้องหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยใบหน้าจริงจังอย่างที่สุด
เงาทมิฬที่ฟังอยู่ด้านหนึ่งรู้สึกปลาบปลื้มใจยิ่งนัก เขาไม่เคยคิดเลยว่าองค์ชายเจ็ดตัวน้อยจะรู้ความถึงเพียงนี้ เขาอาจจะสามารถอธิบายเรื่องนี้เพื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้เลยด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่เด็กชายพูดต่อมากลับทำให้เขาตกใจจนแทบกระอัก
เขากล่าวว่า ”เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพี่สามของข้าแต่งงานกับท่านก็เพราะท่านทำอาหารอร่อย!”
เงาทมิฬ : …
หยวนหมิง : …
เฮ่อเหลียนเวยเวย : องค์ชายสามตกหลุมรักข้าเพราะ… เพราะฝีมือการทำอาหารของข้าหรือ
“ทำอาหารอร่อยก็นับว่าดีเกินพอแล้ว” เด็กชายพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ”เจ้าพวกนั้นมันไม่รู้อะไร”
เงาทมิฬและคนอื่นๆ ไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว แค่มีฝีมือในการทำอาหารก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นพระชายาแล้วหรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน!
…..
“ฮ่าๆๆ เจ้าหนูนั่นสมกับเป็นองค์ชายเจ็ดจริงๆ” หนานกงเลี่ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หัวเราะจนปวดท้องไปหมด ”อาเจวี๋ย ข้าก็รู้จักเจ้ามาตั้งนาน แต่ก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละว่าเจ้าเลือกพระชายาเพราะฝีมือการทำอาหารของนาง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตวัดสายตาไปมองเขา
หนานกงเลี่ยสังเกตได้ถึงสีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาจึงรีบนั่งหลังตรงทันที
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นยืน แล้วหยิบผ้าเช็ดปากสีขาวจากเงาทมิฬขึ้นมาเช็ดมือตัวเอง
หนานกงเลี่ยกวาดสายตามองไปรอบตัว ”แต่ทุกวันนี้ที่สำนักดูไม่สงบสุขเอาเสียเลย เมื่อเร็วๆ นี้ จู่ๆ ก็มีศิษย์ใหม่ย้ายมาพร้อมกันถึงสองคนอีกด้วย อาเจวี๋ย เจ้ายังไม่เคยเห็นนางมาก่อนใช่ไหม นางค่อนข้างดูดีและดูคุ้นตายิ่งนัก”
หัวใจของเงาทมิฬเต้นผิดจังหวะเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูเหมือนจะมีท่าทีลังเลเล็กน้อย
หนานกงเลี่ยเลิกคิ้วขึ้น แล้วเอ่ยต่อ ”เจ้าอยากจะแวะไปที่สำนักพร้อมข้าเพื่อดูหน้าตาของนางหรือเปล่า”