เมื่อแสงยามเช้าปกคลุมพระราชวัง ภายในตำหนักขององค์ชายสามเงียบสงบลงในช่วงครึ่งหลังของกลางคืน ขันที นางในเดินไปมาอย่างแผ่วเบา ทำลายความเงียบในระยะเวลาสั้นๆ
นอกม่านมีเสียงสนทนาดังขึ้นแว่วๆ “องค์ชายสาม ท่านพักผ่อนก่อนเถิด”
“องค์ชายสาม ท่านเสวยก่อน…”
“องค์ชายสาม ควรเสวยยาแล้วหรือไม่”
หนิงหนิงลืมตาขึ้นทันที พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง มีแสงยามเช้าอยู่นอกม่านสีฟ้า นางรีบลุกขึ้น ก่อนจะล้มลงพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด…
ม่านถูกเปิดออก เงาของชายหนุ่มปกคลุมลงมา เขาโน้มตัวพยุงนางเอาไว้ “หนิงหนิง เจ้าตื่นแล้วหรือ รีบนอนลงก่อน”
หนิงหนิงมองใบหน้าขององค์ชายสาม นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นางรีบคว้าแขนองค์ชายสาม ถามอย่างรีบร้อน “องค์ชาย ฝ่าบาทไม่ทรงตำหนิหม่อมฉันใช่หรือไม่ หม่อมฉันใช้วิธีนี้…”
การใช้เนื้อมนุษย์เป็นยาเป็นวิธีการที่ผู้คนต่างไม่ยอมรับ
องค์ชายสามประคองนางให้นอนลง “ไม่ แต่ฝ่าบาทรับสั่ง ต่อไปไม่อาจใช้อีก”
หนิงหนิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ล้มตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง
องค์ชายสามหันหลังไปสั่งการ “ให้หมอหลวงมาดู”
ขันทีที่ยืนอยู่นอกม่านได้ยินจึงรีบเดินขึ้นหน้าทันที เสี่ยวชวีถือชามยาเข้ามา
“หนิงหนิง” เขาพูดเสียงเบา “กินยาเร็วเข้า”
หนิงหนิงปฏิบัติตัวอย่างว่านอนสอนง่าย หลังจากที่เขาป้อนยาเสร็จ หมอหลวงตรวจดูบาดแผลที่ต้นขาของนาง ก่อนจะลงยาให้อีกครั้ง
“จะมีผลกับการเดินหรือไม่” องค์ชายสามถาม
หมอหลวงก้มหน้าทูล “เกรงว่าจะกระทบ แผลใหญ่เกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
หญิงสาวคนนี้โหดเหี้ยมเสียจริง ตัดเนื้อชิ้นใหญ่เพียงนั้นลงมาได้
หนิงหนิงส่ายหัวอยู่บนเตียง “องค์ชาย อย่ากังวลเรื่องนี้ หม่อมฉันไม่กลัวเพคะ”
มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดสิ่งเหล่านี้ในเวลานี้ องค์ชายสามยิ้มให้นาง เอื้อมมือไปลูบหน้าผากของนาง “ได้ เราไม่กลัวเรื่องนี้”
เขาบอกว่าเรา…หน้าซีดเผือดของหนิงหนิงแดงระเรื่อขึ้นมา ทันใดนั้นนางก็พยายามลุกขึ้นอีกครั้ง
“องค์ชาย” นางกล่าว “หนิงหนิงรักษาองค์ชายสามให้หายแล้ว เดิมทีไม่มีสิ่งใดจะขอ เพราะมันคือหน้าที่ของหม่อมฉัน”
องค์ชายสามมองนาง ยิ้มอย่างอบอุ่น “ไม่ ไม่มีเรื่องร้องขอไม่ใช่หน้าที่ของคน ทุกคนทำงานเพราะมีเรื่องที่ต้องการถึงจะเป็นคน เจ้าบอกมา เจ้าต้องการสิ่งใด”
หนิงหนิงลุกพรวดจากเตียง คุกเข่าลงบนพื้น ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากบาดแผลทำให้นางสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“แม่หญิงหนิงหนิง” เสี่ยวชวีเกลี้ยกล่อม “ท่านนอนพูดเถิด”
องค์ชายสามไม่ได้ห้ามนาง ก้มหน้ามองนาง “เจ้าพูดเถิด”
หนิงหนิงร่ำไห้ “องค์ชาย โปรดช่วย ท่านอ๋องฉีด้วยเพคะ” นางพูดพลางก้มลงหมอบกราบ
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจ สาวใช้คนนี้กล้าพูดได้อย่างไร! ฝ่าบาทต้องการใช้กองกำลังกับท่านอ๋องฉี แต่สาวใช้คนนี้…สมกับเป็นคนที่ท่านอ๋องฉีส่งมา นางมีแผนการ
“หนิงหนิง!” เสี่ยวชวีพูดอย่างร้อนใจ “เจ้าบังอาจ เจ้าใช้บุญคุณบีบบังคับ!”
หนิงหนิงร้องไห้อยู่บนพื้น “หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันสมควรตาย หม่อมฉันสมควรตายเพคะ” แต่นางไม่ยอมคืนคำขอแม้แต่น้อย
องค์ชายสามถอนหายใจแผ่วเบา “ข้ารับปากเจ้า”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกตะลึงอีกครั้ง เสี่ยวชวีคุกเข่าลงจับแขนเสื้อขององค์ชายสามเอาไว้ “องค์ชายสาม ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
องค์ชายสามผละออกพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อเบาๆ “มีอันใดไม่ได้ นางช่วยชีวิตข้าไว้ แม้ว่าข้าต้องคืนชีวิตนี้ให้นาง ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงหนิงก้มกราบลงกับพื้น ร้องเสียงดัง “หม่อมฉันสมควรตาย หม่อมฉันสมควรตาย”
องค์ชายสามโน้มตัวลงพยุงหนิงหนิงลุกขึ้น ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้นาง “มันคือสิ่งที่เจ้าสมควรทำ ไม่ใช่เจ้าสมควรตาย เจ้าไม่อาจเลือกชาติกำเนิดได้ อย่าร้องไห้เลย ไปนอนพักเถิด”
หนิงหนิงมองเขา ชายผู้อ่อนโยนนี้ นางร้องไห้โผเข้ากอดเขาอีกครั้ง
…
คนในพระตำหนักอื่นต่างตื่นขึ้นแล้วในตอนเช้า แต่ผู้คนที่เดินไปมานั้นเหนื่อยล้า พวกเขาปิดปากหาวเป็นครั้งคราว
ฮองเฮาแม้จะนอนหลับแล้ว แต่สีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก
“เมื่อคืนดึกมากแล้ว ฝ่าบาทและพระสนมสวีถึงได้เสด็จออกจากพระตำหนักขององค์ชายสาม จากนั้น…” ขันทีพูดอย่างระมัดระวัง เงยหน้าขึ้นมองฮองเฮา “ฝ่าบาทเสด็จไปพักผ่อนที่ตำหนักของพระสนมสวีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เสด็จไปพักในตำหนักของนางสนมน้อยครั้งมาก หากต้องการรับบารมีก็มีแต่พระสนมไปยังห้องบรรทมของพระองค์ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถค้างคืนได้
แน่นอน ยกเว้นฮองเฮา เพียงแต่ฮองเต้ไม่ได้เสด็จไปพักในพระตำหนักของฮองเฮามาหลายปีแล้ว มีเพียงแค่เสวยพระกายาหารร่วมกันในงานเทศกาล
ฮองเฮาเย้ยหยัน “บุตรชายของนางกำลังจะตาย พระองค์จะทรงปลอบนางก็ไม่แปลก”
สีหน้าของขันทีกระวนกระวายใจยิ่งนัก เอ่ย “เหนียงเหนียง องค์ชายสามเพิ่งเสด็จไปราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาตกตะลึง “ไปราชสำนัก?” กำลังจะตายไม่ใช่หรือ
“ไม่เพียงไม่ตาย” ขันทีกล่าว “ยังเดินได้ ไม่แม้แต่จะนั่งเกี้ยวพ่ะย่ะค่ะ”
…
ใบหน้าขององค์ชายสามยังคงเหมือนหยกขาว แต่แตกต่างจากเมื่อก่อน หยกขาวที่เคยไร้ชีวิตชีวา ดูเปล่งปลั่งในเวลานี้
องค์ชายห้าอดไม่ได้ที่จะสัมผัสผิวของตัวเอง องค์ชายสามผู้เป็นคนป่วยมีสีหน้าดีกว่าเขาเสียอีก
ดูไม่เหมือนว่าเขากำลังจะตาย…
ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ รวมถึงเหล่าองค์ชายภายในตำหนักต่างหันมามององค์ชายสามที่เดินเข้ามา พวกเขาไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจได้ เมื่อวานองค์ชายสามเป็นลม ฮ่องเต้และพระสนมสวีเฝ้าอยู่ใน ตำหนักขององค์ชายสามทั้งคืน อีกทั้งยังมีเสียงร้องไห้ ข่าวนี้แพร่สะพัด เดิมทีคิดว่าองค์ชายสามจะไม่ไหวแล้ว…เช้านี้คงไม่ต้องไปประชุม
ไม่คิดว่าฮ่องเต้เสด็จมาราชสำนักด้วยความกระปรี้กระเปร่า องค์ชายสามก็เช่นกัน
เมื่อเห็นองค์ชายสามเข้ามา ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เขาส่งเสียงหัวเราะออกมา “มาแล้วหรือ คราวหน้าอย่ามาสายอีก”
องค์ชายสามก้มหน้าตอบรับ ก่อนจะเดินผ่านขุนนางทั้งหลายไปด้านหน้า
“พี่สาม ท่านไม่เป็นอันใดหรือ” องค์ชายห้าถามด้วยความสงสัย
องค์รัชทายาทสีหน้าเป็นห่วง
องค์ชายสามยิ้มให้พวกเขา “ไม่เป็นไร ไม่เป็นอันใด พิษที่คั่งค้างในร่างกายข้าถูกขับออกแล้ว”
แม้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนคิดว่าดี แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนตกใจ
“จริงหรือ” องค์ชายห้าโพล่งขึ้น “เป็นไปได้อย่างไร”
ฮ่องเต้ตวาด “เจ้าพูดอันใดกัน เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้ เจ้าแช่งให้พี่สามของเจ้าไม่มีวันดีขึ้นหรือ”
องค์ชายห้ารีบกล่าว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ กระหม่อมไม่ได้สาปแช่งพี่สาม กระหม่อมหมายความว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก…”
ฮ่องเต้ยิ้ม “อย่าสงสัยเลย เมื่อวานเหล่าหมอหลวงตรวจดูเป็นเวลานาน หมอหลวงจางยืนยันด้วยตนเอง พิษที่คั่งค้างในร่างกายขององค์ชายสามถูกกำจัดแล้ว ต่อจากนี้พักฟื้น เขาย่อมสามารถหายขาดได้”
ที่แท้เสียงร้องไห้ของพระสนมสวีเมื่อวานนี้มิใช่ความเศร้า แต่เป็นความสุข
ในเมื่อฮ่องเต้ยืนยันแล้ว องค์รัชทายาทโน้มตัวก่อน “ยินดีกับเสด็จพ่อ ยินดีกับน้องสาม”
เหล่าขุนนางต่างรีบแสดงความยินดีตาม ฮ่องเต้หัวเราะร่าบรรยากาศในตำหนักเต็มไปด้วยความยินดี
องค์รัชทายาทจับแขนขององค์ชายสามส่ายไปมา ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา “ดีเสียจริง ดีเสียจริง น้องสาม” ราวกับมีคำนับหมื่นแต่ไม่อาจพูดออกมาได้ สุดท้ายได้แค่พูด “พี่ยินดีกับเจ้า”
องค์ชายสามพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าขององค์ชายห้าเปลี่ยนไป เขาสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ฮ่องเต้ยกมือเป็นสัญญาณ “เอาเถิด เรื่องเฉลิมฉลองเอาไว้หารือวันหลัง เวลานี้คุยเรื่องสำคัญก่อน”
ใช่แล้ว ตอนนี้เรื่องคดีหมู่บ้านซ่างเหอ และการใช้กำลังทหารต่อท่านอ๋องฉีล้วนเป็นเรื่องสำคัญ ภายในตำหนักหยุดการพูดคุยหัวเราะ บรรยากาศกลับสู่ความสงบ
ขุนนางคนหนึ่งพูด “เวลานี้ไม่เหมือนเวลานั้น เวลานี้ท่านอ๋องฉีกระทำการผิดมหันต์ ราชสำนักออกปราบปราม เป็นสิ่งที่ราษฎรปรารถนา”
“ถูกต้อง เพียงแต่เกรงว่าทหารและราษฎรของเมืองฉีไม่แม้แต่จะต่อต้าน” ขุนนางอีกคนหนึ่งกล่าว “เหมือนดั่งเมืองโจวและเมืองอู๋ก่อนหน้านี้”
เวลานี้ไม่ใช่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ฮ่องเต้ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อยเกี่ยวกับการปะทะกับเหล่าท่านอ๋อง สิ่งที่กังวลมีเพียงเกียรติยศของราชวงศ์ แต่ตอนนี้ท่านอ๋องฉีกระทำการชั่วร้ายก่อน หลักฐานชัดเจน โทษว่าเขาโหดเหี้ยมไม่ได้
“เช่นนี้ เชิญแม่ทัพหน้ากากเหล็กเข้ามา เตรียมกำลังพล” ฮ่องเต้ตรัส
ทหารคนหนึ่งยิ้ม “แค่ท่านอ๋องฉี ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ไม่ต้องรบกวนแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เลือกแม่ทัพท่านอื่นนำทัพก็เพียงพอพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารอีกคนพูดตาม “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท โปรดให้ผู้อื่นฝึกฝนทักษะของพวกเขาบ้าง”
ฮ่องเต้ตรัส “การออกรบเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อาจทำเป็นเล่นได้” แต่สีหน้าไม่โกรธเคือง
เหล่าทหารต่างเสนอคนของตนเอง ภายในราชสำนักเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกคึกคัก
องค์ชายสามก้าวออกมา “เสด็จพ่อ กระหม่อมมีเรื่องจะทูลพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายห้าปรายตามองเขาด้วยสายตาคมดุจมีด ท่านมีสิ่งใดต้องทูล องค์รัชทายาทยังไม่ทูล!
ฮ่องเต้ยิ้มให้เขา “พูดเถิด”
องค์ชายสามคุกเข่าลง “เสด็จพ่อ โปรดเรียกคืนพระราชโองการ ยกโทษให้ท่านอ๋องฉีในความผิดครั้งนี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงในตำหนักเงียบลง
ฮ่องเต้หยุดหายใจชั่วขณะ
“ฉู่ซิวหยง” เสียงขององค์ชายห้าคำราม “ท่านเป็นบ้าอันใด!”
ใช่ องค์ชายสามกำลังจะเป็นบ้า ฮ่องเต้มององค์ชายสามที่คุกเข่าอยู่กับพื้น รู้สึกว่าภาพนี้คุ้นตายิ่งนัก…
ไม่มีทาง มาอีกแล้วหรือ