ตอนที่ 314 หนิวลี่ลี่สัมภาษณ์หลินม่าย
ชายคนนั้นพูดอย่างจริงจัง “ผมเป็นผู้ชายนะ จะปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบคุณมาทำงานให้ผมฟรี ๆ ได้ยังไง ไม่ว่ายังไงก็ต้องจ่ายค่าเสียเวลา ถ้าคุณไม่อยากได้ ผมคงต้องจ้างคนอื่นแทนแล้ว”
หวังหรงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตกลง
ชายคนนั้นลูบท้อง “ผมหิวมากเลย ไปหาอะไรกินตอนเที่ยงคืนด้วยกันเถอะ”
หวังหรงแทบอดใจรอไม่ไหว หล่อนเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยสักคำ
ชายหนุ่มพาหล่อนไปที่โรงแรมเจียงเฉิง สั่งสเต็กกับไวน์แดง
ทั้งสองพูดคุยกันระหว่างมื้ออาหาร
หวังหรงรู้ข้อมูลจากการพูดคุยว่าผู้ชายคนนี้ชื่อกวนหย่งหัว อายุสามสิบสองปี ยังโสด
เขาเป็นเจ้าของโรงงานตัดเสื้อในฮ่องกง มาเจียงเฉิงในครั้งนี้จุดประสงค์หลักก็เพื่อสำรวจตลาด เพื่อพิจารณาว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนแค่ไหน
หลังมื้ออาหาร ทั้งสองยังคงพูดคุยกันอย่างมีความสุข ราวกับเสียดายที่เจอกันช้าไป…
…
ตอนเช้า ฟางจั๋วหรานไปที่บ้านของหลินม่ายเพื่อรับประทานอาหารมื้อเช้าตามปกติ คำแรกที่เขาพูดก็คือ “สำนักงานพาณิชย์ยึดเสื้อผ้าของคุณไปเหรอ?”
หลินม่ายไม่เคยบอกฟางจั๋วหรานเรื่องที่เสื้อผ้าของเธอถูกสำนักงานพาณิชย์ยึดไปตรวจสอบ
เธอถามด้วยความประหลาดใจ “คุณรู้ได้ยังไงคะ?”
ฟางจั๋วหรานโกรธเธอนิดหน่อย “ไม่ต้องถามหรอกว่าผมรู้ได้ยังไง แต่ทำไมคุณถึงไม่ยอมบอกผมว่าตัวเองเจอปัญหา?”
หลินม่ายประชด “คุณโกรธฉันเพราะเรื่องแค่นี้หรอกเหรอ? ฉันโดนใครบางคนร้องเรียน เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพาณิชย์ก็เลยมาตรวจสอบ หลังการตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วไม่เจอปัญหาอะไร เสื้อผ้าทั้งหมดก็ถูกส่งคืนอย่างครบถ้วน ฉันจัดการปัญหาเล็กน้อยนี้เองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ถึงมือคุณหรอก ถ้าฉันเอาแต่รบกวนคุณบ่อย ๆ เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าอย่างนั้นคุณควรเปลี่ยนอาชีพ ไม่ต้องเป็นหมอศัลย์ฯ กันแล้ว”
พอได้ยินว่าสิ่งที่เธอพูดมีเหตุผล ฟางจั๋วหรานก็ถึงกับพูดไม่ออก แต่เขาก็ยังขอร้องเธอ “ถ้ามีปัญหาไหนที่คุณจัดการเองไม่ได้ คุณต้องบอกผมนะ”
หลินม่ายตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง ๆ ต่อให้คุณไม่อยู่ ฉันก็จะพยายามตามหาคุณให้ได้”
หลังมื้ออาหาร ฟางจั๋วหรานก็ขอตัวไปทำงาน
ก่อนที่หลินม่ายจะเดินลงไปชั้นล่าง พนักงานที่ประจำอยู่ชั้นล่างก็ตะโกนขึ้นมาว่ามีคนตามหาเธอ
หลินม่ายลงไปที่ร้านของว่างเปาห่าวซือ ถามว่า “ใครถามหาฉันเหรอ?”
พนักงานชี้ไปทางสาวสวยคนหนึ่ง “คุณคนนั้นค่ะ”
หลินม่ายเดินเข้าไปถามด้วยรอยยิ้ม “คุณเป็นใครเหรอคะ มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?”
ตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอปรากฏตัว หญิงสาวคนนี้ก็จ้องมองเธออย่างพิจารณา
จนกระทั่งหลินม่ายเดินเข้ามาถาม เธอถึงยื่นมือออกไปราวกับกลับมามีชีวิตอีกครั้ง “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหนิวลี่ลี่ นักข่าวจากสำนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น อยากขอสัมภาษณ์คุณสั้น ๆ ค่ะ”
หลินม่ายยื่นมือไปจับอย่างเป็นมิตร เชิญอีกฝ่ายนั่งลงที่โต๊ะ ถามด้วยรอยยิ้ม “คุณอยากสัมภาษณ์เรื่องอะไรบ้างคะ?”
หนิวลี่ลี่หยิบเครื่องบันทึกเทปขนาดเล็กออกมาแล้วเริ่มกดบันทึก มองไปรอบ ๆ ร้านเปาห่าวซือ “นี่เป็นร้านของคุณเหรอคะ?”
ตอนที่หล่อนไปขอที่อยู่ของหลินม่ายจากสำนักงานพาณิชย์ หล่อนคิดว่าหลินม่ายเป็นแค่พนักงานในร้านเสียอีก เพราะรู้ข้อมูลคร่าว ๆ ว่าเธอออกไปตั้งแผงขายเสื้อผ้าที่ถนนเจียงฮั่นในตอนกลางคืน
แต่พนักงานในร้านกลับบอกหล่อนว่า “คุณอยากพบเถ้าแก่เนี้ยของเราใช่ไหมคะ รอสักครู่ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปเรียกเธอให้ค่ะ”
หนิวลี่ลี่คิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอนเสียอีก
ร้านค้าที่ทั้งสะอาดสะอ้านและได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดีแห่งนี้เป็นร้านของหลินม่ายจริงหรือ?
ผู้หญิงที่ให้ข้อมูลกับหล่อนโดยไม่ระบุตัวตนบอกว่าเธอเป็นแค่แม่ค้าแผงลอยทั่วไปไม่ใช่หรือไง?
ตอนแรกคำถามที่หล่อนเตรียมไว้สำหรับสัมภาษณ์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการตรวจสอบว่าหลินม่ายลักลอบขายเสื้อผ้ามือสองนำเข้าจริงหรือเปล่า
แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หล่อนเลยเปลี่ยนเนื้อหาของการสัมภาษณ์อย่างกะทันหัน
หลินม่ายพยักหน้า “ใช่ค่ะ ทำไมหรือคะ?”
“เอ่อ… ฉันอยากให้คุณช่วยเล่าที่มาที่ไปก่อนที่จะมาเปิดร้านนี้หน่อยได้ไหมคะ?”
หลินม่ายเริ่มเล่าขั้นตอนทั้งหมดตามความจริง ตั้งแต่การตั้งร้านแผงลอยริมถนน สู่การพัฒนาเป็นร้านใหญ่อย่างที่เห็นในตอนนี้
เส้นเรื่องช่างเรียบง่ายไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ความพยายามของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ทำไมพอฟังแล้วถึงน่าอัศจรรย์ใจแบบนี้นะ?
จะว่าเป็นเพราะรู้สึกเห็นอกเห็นใจก็ไม่เชิง หล่อนมีชีวิตที่สุขสบายเหนือกว่าอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจความยากลำบากที่หลินม่ายเคยประสบ
แล้วเป็นเพราะอะไรกัน?
แม้แต่หนิวลี่ลี่ยังไม่เข้าใจตัวเอง
หลังจากการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง หนิวลี่ลี่ก็ลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือไปจับกับหลินม่ายอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณมากนะคะที่ตอบรับการสัมภาษณ์”
หลินม่ายยิ้มรับ “ด้วยความยินดีค่ะ”
หลังส่งหนิวลี่ลี่ออกจากร้านแล้ว หลินม่ายก็จ้องมองตามแผ่นหลังของหล่อนอยู่เป็นเวลานาน
ตอนที่เธอเห็นสีหน้าของหนิวลี่ลี่เป็นครั้งแรก เธอมั่นใจว่าตัวเองมองไม่ผิด อีกฝ่ายมาหาเธอด้วยแรงจูงใจบางอย่างที่ไม่สู้ดีนัก
แต่หลังจากให้สัมภาษณ์ไปสักระยะหนึ่ง ทำไมความเป็นปรปักษ์ในแววตาของหนิวลี่ลี่ถึงค่อย ๆ จางหายไป อะไรกันที่เป็นสาเหตุให้หล่อนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อตัวเอง?
หนิวลี่ลี่ตั้งใจมาเจอหน้าหลินม่ายในวันนี้ การสัมภาษณ์เป็นแค่ฉากบังหน้า จุดประสงค์หลักคือเพื่อเกลี้ยกล่อมให้หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานเลิกกันซะ
ศาสตราจารย์ฟางทั้งหล่อเหลา ทั้งมีดีกรีเป็นคุณหมอหัวกะทิ แม่ค้าแผงลอยริมถนนตัวเล็ก ๆ ไม่คู่ควรกับเขาเลยสักนิด
แม้แต่ตัวหล่อนเองยังแอบรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับเขาด้วยซ้ำ
เมื่อเทียบกับแม่ค้ารายย่อยแล้ว หล่อนยังพอจะคู่ควรกับฟางจั๋วหรานมากกว่าหลินม่ายเสียอีก
หล่อนหวังให้หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานเลิกรากัน เพื่อที่หล่อนจะได้สารภาพรักกับเขาอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
หล่อนรังเกียจการเป็นมือที่สามนัก
ตราบใดที่หลินม่ายไม่เลิกกับฟางจั๋วหราน หล่อนก็ไม่มีวันกล้าสารภาพรักกับเขา
แต่ทุกอย่างกลับผิดคาด ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหลินม่าย ทัศนคติที่มีต่ออีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปแทบจะในทันที
หล่อนคิดว่าอีกฝ่ายต้องเป็นแค่แม่ค้าแผงลอยที่ไร้รสนิยมทั่วไปแหง ๆ
ไม่คาดคิดว่าเธอไม่ได้เป็นแค่แม่ค้าแผงลอย แต่ยังมีร้านของว่างเป็นของตัวเอง
นอกจากจะไม่หยาบกระด้างไร้รสนิยม ยังสง่างามเหมือนดอกกล้วยไม้ เฉลียวฉลาดมีไหวพริบ จิตใจกว้างขวาง และเป็นคนสวยมีเสน่ห์
ปัจจัยพวกนี้ลบเลือนความทรงจำที่หล่อนมีต่อแม่ค้ารายย่อยไปอย่างสิ้นเชิง
พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยคนอื่น ๆ ต่างมีใบหน้าโทรม เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่สะอาดชวนมอง แถมสีหน้าและแววตายังบ่งบอกถึงความหน้าเลือดอย่างชัดเจน
หลินม่ายแตกต่างจากคนเหล่านั้น
ทุกครั้งที่หนิวลี่ลี่มองหลินม่าย คำสี่คำ ‘จากดินสู่ดาว’ มักจะผุดขึ้นมาจากความคิดของหล่อนเสมอ
หล่อนอดรู้สึกไม่ได้ว่าโลกนี้คงไม่มีใครที่คู่ควรกับฟางจั๋วหรานมากไปกว่าหลินม่ายอีกแล้ว ความคิดที่ต้องการจะทำลายพวกเขาทั้งสองสูญสลายไปอย่างสมบูรณ์
เพื่อให้ร้านเสื้อผ้า Unique ที่กำลังจะเปิดในอีกไม่กี่วันนี้เริ่มต้นด้วยดี หลินม่ายต้องเตรียมงานเบื้องหลังก่อนวันเปิดตัว
อันดับแรก จะต้องมีพนักงานขายหน้าร้านร้านละสามคน ที่พูดจาไพเราะและมีอัธยาศัยดี
นอกจากนั้นยังต้องตัดชุดสูทและกระโปรงทำงานครบชุดสำหรับพนักงานขายอีกด้วย โดยปักเครื่องหมายการค้า Unique ไว้ตรงหน้าอกซ้าย
ส่วนตัวเธอเองก็จะเข้าสู่สังเวียน ถ่ายภาพที่สวมใส่ชุดแบรนด์ Unique แล้วขยายให้กลายเป็นภาพโปสเตอร์ขนาดใหญ่
เธอไปพูดคุยกับผู้จัดการฝ่ายขายของห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงและห้างสรรพสินค้าซือเหมินโข่ว เพื่อขอติดตั้งป้ายโปสเตอร์ไว้ตามเสาและบนผนังร้านที่พวกเขาจัดสรรไว้ให้
ระหว่างที่หลินม่ายกำลังวิ่งเรื่องจนหัวหมุน ในที่สุดตู้เย็นสามพันตู้ก็ถูกขนส่งมาถึงเจียงเฉิง
ชาติที่แล้วหลินม่ายเกิดในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลจนถึงระดับสูงสุด สำหรับเธอแล้วตู้เย็นจึงเป็นแค่เครื่องใช้ไฟฟ้าธรรมดา ไม่น่าตื่นเต้นอะไรมากนัก
ต่างจากเฉินเฟิงที่รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอเห็นสินค้า หัวใจก็เบ่งบานราวกับดอกไม้ สายตาเป็นประกายวิบวับ
ทันทีที่ตู้เย็นมาถึง เขาก็ปรี่เข้าไปเปิดตู้เย็นเพื่อสำรวจด้านใน สายตาแทบไม่ต่างอะไรกับตอนที่เขาได้มองผู้หญิงที่เขาชอบ
เฉินเฟิงเก็บตู้เย็นไว้แค่ห้าตู้ ส่วนตู้ที่เหลือเขาได้ติดต่อซื้อขายกับคนอื่น ๆ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พอของมาถึง เขาก็แค่โทรศัพท์ไปแจ้งบรรดาคนที่สั่งซื้อให้มารับสินค้าด้วยตัวเอง
บรรดาคนที่สั่งซื้อตู้เย็นกับเขารีบส่งคนไปขนตู้เย็นกลับทันที ด้วยกลัวว่าถ้าช้าเกินไป สินค้าที่ตัวเองสั่งจองไว้อาจถูกคนอื่นแย่งไปเสียก่อน
ตู้เย็น Toshiba ที่มีราคาขายอยู่ที่สองพันหยวน เมื่อนำไปขายในตลาดมืดกลับขายได้ในราคาสูงถึงสามพันหยวน
พวกเขาลงทุนซื้อตู้เย็นในราคาตู้ละสองพันหยวน ต่อให้จะซื้อมาแค่สิบตู้ ถ้าเอาไปขายต่อก็ได้กำไรคืนมาเกือบหนึ่งหมื่นหยวนแล้ว
ที่สำคัญตู้เย็นพวกนี้รับซื้อมาจากโกดังด่านศุลกากร ถึงจะมีหน่วยงานมาตรวจสอบ ก็ไม่ถือว่าเป็นการค้ากำไรเกินควร
หลินม่ายอยากได้ตู้เย็นห้าตู้ ตั้งใจว่าจะแบ่งให้ฟางจั๋วหรานสองตู้ อีกตู้หนึ่งมอบให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
เธอวางแผนว่าจะเก็บตู้เย็นอีกสองตู้ไว้ เพื่รออดูว่าในระหว่างนี้มีใครที่สำคัญพอจะมอบตู้เย็นให้เป็นของขวัญปีใหม่
ถ้าอยากขยายกิจการให้เติบโตขึ้นในแต่ละขั้น คงไม่พ้นต้องเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งการมอบของขวัญให้ถือเป็นสิ่งจำเป็น
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หนุ่มฮ่องกงนี่จะจริงใจหรือจะหวังฟันกันนะ รู้หน้าไม่รู้ใจเสียด้วย
ทีนี้รู้หรือยังล่ะว่าทำไมพี่หมอถึงคบกับม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)