‘ทัวร์ฮาวายแบบนรกแตกกับอีอูยอน’ ที่หัวหน้าทีมชาเรียกสงบสุขและง่ายดายกว่าที่คิด
อีอูยอนเข้าร่วมโดยบอกว่าตามมาเพราะอยากใช้ช่วงเวลาที่ดีกับเหล่าผู้อาวุโสพร้อมกับฉีกยิ้มคนดีให้ หลังจากเข้าไปซื้อของที่ระลึกในไร่สับปะรดและกินไอศกรีมแล้ว พวกเขาก็กินอาหารกลางวันกันที่รถขายกุ้ง จากนั้นก็ขับรถไปตามถนนเลียบชายหาด และจอดรถข้างๆ กับรถขายโดนัทกับกาแฟ
แววตาของหัวหน้าทีมชาที่มองอีอูยอนคุยกับนักแสดงรุ่นพี่เต็มไปด้วยความระแวง
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ เขาป่วยเป็นโรคร้ายแรงเหรอ”
หัวหน้าทีมชาเอ่ยถามอินซอบราวกับกระซิบ
“ปกติเขาก็มีมารยาทกับพวกรุ่นพี่อยู่แล้วนี่ครับ”
“ถึงที่กองถ่ายจะเป็นแบบนั้น แต่ทำไมเขาต้องมาจนถึงที่นี่เพื่อทำแบบนั้นด้วย…”
หัวหน้าทีมชายังคงทำสีหน้าไม่เชื่อ เขาคิดว่าอีอูยอนจะปล่อยตนไว้ที่นี่คนเดียวแล้วพาอินซอบกลับไปที่โรงแรม ทว่าอีกฝ่ายกลับทำพฤติกรรมที่เหนือความคาดหมาย
“แปลก เขาต้องมีแผนการในใจแน่ๆ”
หัวหน้าทีมชาที่รับโดนัทกับกาแฟที่สั่งมายังไม่เลิกทำแววตาสงสัย แม้อินซอบจะคิดว่าถึงอย่างนั้นก็ดีที่ได้มาที่นี่กับอีอูยอน แต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปได้
พอเอาอาหารมาที่โต๊ะ เสียงชื่นชมอินซอบก็ถูกส่งมาจากทั่วสารทิศ
“ทำไมคุณอินซอบถึงเก่งภาษาอังกฤษขนาดนั้นล่ะ ฉันนึกว่าเป็นคนอเมริกันเสียอีก”
อินซอบซึ่งเป็นคนอเมริกันยิ้มโดยไม่พูดอะไร และแยกกาแฟให้ทุกคน
“ดูเหมือนจะเป็นคนใจดีมากเลยนะ ฉันน่ะดูคนออกเพราะอยู่ในวงการนี้มานานแล้ว คุณอินซอบเป็นคนจริงใจดีนะ”
“ขอบคุณนะครับที่เอ็นดูผม”
อินซอบตอบกลับอย่างสุภาพก่อนจะนั่งลง เขาสบตากับอีอูยอนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่อีอูยอนที่คิดว่าจะยิ้มอย่างล้อเลียนให้กลับเอาแต่มองตนโดยไม่พูดอะไร อินซอบจึงลูบแก้วกาแฟพร้อมกับหลุบตามองต่ำ
“เห็นบอกว่าชื่อชเวอินซอบใช่ไหม เป็นตระกูลชเวจากที่ไหนล่ะ”
คำถามของชเวฮาซองทำให้อินซอบตกใจและเงยหน้าขึ้นมา
“ตระกูลชเวจากที่ไหนเหรอครับ”
แม้แต่ในนามสกุลก็มีภูมิภาคอยู่ด้วยเหรอ อินซอบไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร และได้แต่กะพริบดวงตาที่กลมโต
“ฉันคือตระกูลชเวจากจอนจู และเป็นสายของมุนยอลกง[1] น่ะ แล้วเธอล่ะอยู่สายไหน”
“สาย…”
เขาไม่มีชื่อที่เขียนด้วยตัวอักษรจีนด้วยซ้ำ มีเพียงชื่อ ‘ชเวอินซอบ’ เท่านั้นที่ถูกเขียนไว้ในกระดาษ อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นเป็นชื่อของตนหรือชื่อของพ่อกันแน่
“รุ่นพี่ยังเล่นมิวสิคัลอยู่ไหมครับ”
คำถามที่เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันของอีอูยอนทำความสนใจของชเวซองฮามุ่งไปที่ฝั่งนั้นแทน อินซอบแอบถอนหายใจอย่างโล่งใจ เขาไม่ได้อาย หรือตะขิดตะขวงใจกับการเปิดเผยความจริงว่าถูกรับเลี้ยง แต่แค่ไม่อยากทำลายบรรยากาศที่สงบสุขนี้ เนื่องจากมีหลายครั้งแล้วที่พอเขาบอกพื้นเพของตัวเองออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วบรรยากาศก็กร่อยลง
อินซอบฟังคนอื่นคุยกันพลางดื่มกาแฟไปด้วย
“แล้วคุณอีอูยอนมีละครเรื่องต่อไปที่จะรับเล่นหรือยัง ถ้ามีบทดีๆ เข้ามาก็แอบมากระซิบด้วยนะ จะได้เล่นด้วยกันอีกไง”
ละครที่อีอูยอนแสดงถูกรับประกันการได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง จึงเป็นธรรมดาที่นักแสดงหญิงระดับนางเอก และนักแสดงตัวประกอบล้วนต้องการที่จะเล่นละครเรื่องเดียวกันกับเขา
“ยังไม่ได้รับเล่นเรื่องไหนเลยครับ ถ้ามีละครดีๆ เข้ามา ผมจะบอกรุ่นพี่นะครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางเอ่ยตอบ รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มเพื่อเข้าสังคม
“ว่าแต่หลังจากนี้คงจะมีตารางงานเรียงกันเป็นแถวเลยใช่ไหม เพราะว่าละครได้รับกระแสตอบรับดีมาก แค่ถ่ายโฆษณาที่เข้ามาอย่างเดียวก็คงจะซื้อตึกได้ตึกหนึ่งแล้วล่ะ”
“ผมต้องกลับพรุ่งนี้แล้วล่ะครับ เพราะว่ามีสัมภาษณ์”
“พรุ่งนี้เหรอ”
“พรุ่งนี้เหรอครับ”
หัวหน้าทีมชากับอินซอบถามขึ้นพร้อมกัน อีอูยอนพยักหน้า
“กำหนดการเปลี่ยนเหรอ เมื่อไร? กรรมการผู้จัดการไม่เห็นบอกอะไรฉันเลย”
หัวหน้าทีมชาเอียงคอ
“เดี๋ยวก็บอกครับ”
หัวหน้าทีมชาที่รับรู้สถานการณ์ได้ไวจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ และอินซอบก็รู้สึกเสียดายกับความคิดที่ว่าต้องจากที่นี่ไปในวันพรุ่งนี้
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“ผมขอตัวไปรับโทรศัพท์สักครู่นะครับ”
พออีอูยอนเอ่ยขออนุญาตและลุกขึ้น ชเวฮาซองก็ถามคำถามเดิมกับอินซอบราวกับรออยู่
“แล้วเธอเป็นตระกูลชเวจากจอนจูหรือเปล่า”
“…ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ”
“ไม่รู้เหรอ กลับไปเกาหลีแล้วลองถามพ่อแม่ดูสิ ถามด้วยว่าเป็นสายไหน”
“คุณชเวคะ ทำไมจู่ๆ ถึงถามคุณอินซอบเรื่องสายตระกูลล่ะคะ จะเป็นพ่อสื่อเหรอคะ”
อียุนจองที่นั่งอยู่ข้างๆ ชเวฮาซองปัดน้ำตาลที่เคลือบโดนัทออกพลางเอ่ยถาม
“เพราะว่าฉันมีหลานที่พอจะใช้ได้อยู่ ถ้ากลับไปเกาหลีแล้วฉันจะลองแนะนำให้”
“คุณครับ ก่อนหน้านั้นต้องถามอินซอบก่อนนะครับว่ามีคนรักหรือยัง”
หัวหน้าทีมชาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้
“มีหรือยังล่ะ”
ชเวฮาซองเอ่ยถาม
“ครับ มีแล้วครับ”
อินซอบตอบทันที
“ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องเลิกกันอยู่แล้ว คงไม่ได้จะแต่งงานตอนอายุเท่านั้นหรอก”
อินซอบลำบากใจเป็นอย่างมาก เขากำลังคบหาอยู่กับคนที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ แต่ก็ไม่สามารถเลิกกันได้ด้วยเช่นกัน
“ลองเจอกันสักครั้งสิ ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่ต้องเจอกันอีกก็ได้”
“คุณชเวดูจะชอบคุณอินซอบมากเลยนะครับ ทำไมคนที่เรื่องมากอย่างคุณถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”
คนที่อยู่ข้างๆ เพียงแค่ยิ้ม และไม่มีใครห้าม เพราะทุกคนรู้จักนิสัยของชเวฮาซองที่หัวแข็งจนพูดไม่รู้เรื่องดี
“ขอโทษครับ ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไมล่ะ”
“ผมรู้สึกผิดกับคนที่คบด้วย แล้วก็ไม่อยากทำแบบนั้นด้วยครับ”
พออินซอบที่ไม่ค่อยพูดและค่อนข้างเก็บตัวขีดเส้นอย่างหนักแน่น คนรอบข้างก็ตกใจเล็กน้อย
“หนุ่มโสด สาวโสดก็คบกันหลังจากที่เลิกกับแฟนทั้งนั้นแหละ มันไม่ใช่เรื่องผิดบาปนี่ แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ อีกอย่างงานนี้น่ะทำเป็นงานพาร์ทไทม์อย่างพอประมาณแล้วก็ออกเถอะ เพราะมันไม่ใช่งานง่ายๆ”
“ใช่แล้ว คุณอินซอบ ได้ยินที่คุณเขาพูดไหม”
หัวหน้าทีมชาที่กำลังทำงานที่ไม่ใช่งานง่ายๆ มาสิบปียิ้มกว้างพร้อมกับตบบ่าอินซอบ
“ยังไงฉันก็จะแนะนำให้ เอาเบอร์มาสิ”
ชเวฮาซองยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้อินซอบ อินซอบยิ้มอย่างลำบากใจ เขาอยากจะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แต่เพราะกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้อีอูยอนเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้
“คุณชเวครับ ความจริงเขาคบกับหลานของผมอยู่น่ะครับ ทั้งสองคนบอกว่าจะแต่งงานกันช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแล้วก็พาเข้าบ้านไปทักทายพ่อแม่เรียบร้อยแล้วครับ แต่เนื่องจากเขาทำงานที่เดียวกันกับผม การประกาศเรื่องแบบนี้จึงเป็นเรื่องยากน่ะครับ”
อินซอบตกใจกับการประกาศอย่างกะทันหันของหัวหน้าทีมชาและหันไปมองเขา หัวหน้าทีมชาทำมือสั่งให้เขาอยู่เฉยๆ จากใต้โต๊ะก่อนจะพูดต่อ
“ถึงทั้งคู่จะยังเด็ก แต่เพราะพวกเขาคบกันอย่างจริงจัง พ่อแม่ก็เลยอนุญาตแล้วครับ”
“งั้นเหรอ จะแต่งงานจริงๆ เหรอ”
ชเวฮาซองหันไปมองอินซอบด้วยแววตาที่บอกว่าไม่เชื่อ
“…ครับ จริงครับ”
อินซอบเอ่ยตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบา แม้จะไม่อยากโกหก แต่เขาเกลียดการถูกแนะนำคนอื่นให้ยิ่งกว่า
“อายุไม่เท่าไรเอง ทำไมถึงจะแต่งงานแล้วล่ะ”
ชเวฮาซองยังพร่ำบ่นต่อ เพราะชอบอินซอบมาก
“ตายจริง คุณคะ เด็กๆ เดี๋ยวนี้ยิ่งตั้งใจที่จะไม่แต่งงานกันอยู่ด้วย ต้องพูดว่าน่าชื่นชมมากสิคะ”
“ลูกชายของฉันน่ะจะอายุสี่สิบพรุ่งนี้มะรืนนี้อยู่แล้ว ยังบอกว่าจะไม่แต่งงานและจะอยู่คนเดียวอยู่เลย แต่ฉันน่ะอยากให้เขาแต่ง ต่อให้แต่งออกไปแล้วกลับเข้ามาใหม่ก็ไม่เป็นไร”
“ไม่ออกไปจะดีกว่านะ เพราะจะมีแต่เรื่องปวดหัว”
“คนที่แต่งออกไปถึงสองครั้งพูดเองแบบนี้ ฉันควรจะเชื่อดูสักครั้งไหม”
หัวข้อของบทสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องการแต่งงานกับการหย่าอย่างโชคดี อินซอบฟังบทสนทนาที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองพลางดื่มกาแฟไปด้วย
“เหมือนจะต้องไปแล้วล่ะครับ”
อีอูยอนที่กลับมาหลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จยิ้มและเอ่ยขึ้น
“ดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ก่อนแล้วค่อยไปเถอะ มันน่าเสียดายจนฉันไม่อยากลุกเลย”
“ครับ ได้ครับ”
อีอูยอนดื่มกาแฟและยิ้มอย่างอ่อนโยน
หัวหน้าทีมชาพึมพำด้วยเสียงที่เล็กจนเหมือนจะได้ยินแต่ก็ไม่ได้ยินว่า “ไอ้คนโรคจิตที่เข้ากับสังคมได้ดีจนน่าขยะแขยง” อินซอบไม่สามารถปฏิเสธคำพูดนั้นได้ เพราะอีอูยอนในวันนี้คืออีอูยอนมีมารยาทและอ่อนโยนที่เคยเห็นในหน้าจอ
***
“ลาก่อนครับ”
“โอเค ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักนะคุณอินซอบ ขอบคุณนะคะหัวหน้าทีมชา”
“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักครับ”
คนอื่นๆ เอ่ยลาก่อนจะจากไป แต่ชเวฮาซองกลับลงจากรถ และเดินหายไปโดยไม่พูดคำว่า “ขอบคุณสำหรับการทำงานหนัก” ด้วยซ้ำ หัวหน้าทีมชาตบไหล่อินซอบแทนก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่เขาก็ชอบนายจนพูดว่าจะแนะนำหลานให้เลยนะ”
“…ขอบคุณนะครับสำหรับเรื่องเมื่อสักครู่นี้”
อินซอบมองอีอูยอนที่กำลังคุยกับพวกรุ่นพี่อยู่ห่างออกไปและพูดต่อ
“ผมตามมาในฐานะผู้จัดการส่วนตัว แต่กลับได้รับการแนะนำแบบนั้น ไม่รู้ว่าจะทำให้คุณอีอูยอนลำบากใจหรือเปล่านะครับ”
“…”
เด็กนี่ยังเชื่อว่าพวกเราไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้อย่างเหนียวแน่นขนาดนั้นได้ยังไงนะ ทั้งหมดนี่มันคือเรื่องเหี้ยอะไรกันวะเนี่ย…
หัวหน้าทีมชาพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง แต่ก็รีบตั้งสติและเอ่ยตอบ
“อ้อ ใช่ ดังนั้นฉันก็เลยจงใจกุเรื่องออกไปน่ะ”
“ขอบคุณจริงๆ ครับ”
“ขอบคุณเรื่องอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนที่ร่ำลาคนอื่นเสร็จพอดีเอ่ยถามจากด้านหลัง
“ขะ ขอบคุณที่วันนี้มาด้วยกันน่ะครับ”
เนื่องจากหัวหน้าทีมชาไปเป็นเพื่อน ภาระของอินซอบในกำหนดการที่เหลือจึงลดลงอย่างมาก แม้จะชอบคนแก่ แต่การเผชิญหน้าคนแก่ทั้งสี่คนพร้อมกันในคราวเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย
“ผมก็ไปด้วยหรือเปล่าครับ”
อีอูยอนแกล้งชี้ตัวเอง
“ขอบคุณคุณอีอูยอนมากๆ เหมือนกันครับ”
รอยยิ้มที่อ่อนโยนปรากฏขึ้นในดวงตาของอีอูยอนที่มองอินซอบที่ก้มหัวขอบคุณอย่างนอบน้อม หัวหน้าทีมชาที่จ้องมองเหตุการณ์นั้นอยู่ด้านข้างลูบแขนที่ขนลุกซู่พร้อมกับเดาะลิ้น
“เตรียมตัวไว้ด้วยนะครับ เพราะพรุ่งนี้เครื่องจะออกตอนสิบโมงเช้า”
“อ้อ จริงด้วย กำหนดการกลายเป็นแบบนั้นได้ยังไงเหรอครับ กรรมการผู้จัดการไม่น่าจะจัดตารางงานแบบนั้นนะ”
“จัดตารางงานแบบนั้นได้ยังไงกันนะครับ”
การพูดอย่างหงุดหงิดของอีอูยอนทำให้หัวหน้าทีมชาคิดว่าอย่าพูดเลย และหันหน้าไปหาอินซอบ
“รีบไปเก็บกระเป๋าเถอะ ถ้าเครื่องออกตอนสิบโมงก็ต้องออกเดินทางแต่เช้า”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
“อะไรกันเนี่ย อุตส่าห์มาถึงฮาวายทั้งที แต่ได้แค่ถ่ายรูปเกาะแล้วก็กลับ”
หัวหน้าทีมชาทำเสียงไม่พอใจราวกับเสียดาย อินซอบเองก็เสียดายเหมือนกัน แม้จะรู้สึกเสียดายกับการมาจนถึงที่นี่แล้วต้องกลับไปโดยที่ไม่สามารถเที่ยวได้อย่างเต็มที่ แต่เขากลับรู้สึกผิดกับอีอูยอนมากกว่า ถ้ารู้ว่ากำหนดการจะกลายเป็นแบบนี้ เขาจะไม่สั่งให้อีกฝ่ายเข้าร่วมการเที่ยวพักผ่อนที่เป็นของรางวัลนี้เด็ดขาด แต่เนื่องจากพวกเขาทะเลาะกันด้วยปัญหานั้นไปแล้ว เขาจึงรู้สึกผิดขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“เป็นอะไรไปครับ”
พออินซอบทำคอตกอย่างเศร้าสร้อย อีอูยอนก็เอ่ยถาม
“ปะ เปล่าครับ”
อินซอบรีบส่ายหน้า
“แล้วตอนเย็นนายจะทำอะไร”
หัวหน้าทีมชาเหลือบมองอินซอบก่อนจะเอ่ยถามอีอูยอน
“ผมคงจะอยู่ที่ห้องเพราะเหลือเรื่องที่ต้องทำอยู่อีกนิดหน่อยน่ะครับ”
“นายจะทำอะไรที่ห้อง…”
เนื่องจากความที่โผล่มาในหัวว่าไม่ควรพูด หัวหน้าทีมชาจึงร้อง “อุ๊ย” และปิดปากเงียบ
“โอเค ไปทำงานเถอะ ฉันจะไปดื่มสักหน่อย ต้องขอให้ไอ้ซังพิลนั่นเลี้ยงเหล้าแพงๆ หน่อยแล้ว”
“เตรียมตัวไว้อย่างให้ไปขึ้นเครื่องบินสายในวันพรุ่งนี้ด้วยนะครับ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบตอบพร้อมกับรอว่าอีอูยอนจะพูดอะไรอีกหรือเปล่า
“มีอะไรเหรอครับ”
อีอูยอนที่รับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมายิ้มพลางเอ่ยถาม อินซอบตอบว่า “ไม่มีอะไรครับ” และส่ายหน้า
อินซอบอาบน้ำทันทีที่กลับเข้ามาในห้อง เขาอาบน้ำอย่างพิถีพิถันมากกว่าปกติและออกมาเช็ดผมให้แห้ง แต่ก็ยังไม่มีข้อความจากอีอูยอน
“…”
ยังไงก็ควรจะสั่งให้ไปหาสิ เพราะเขาบอกว่าเรื่องที่ต้องทำที่ห้องนี่
อินซอบหวีผมอย่างใส่ใจ และเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าที่สะอาด เขาเอาคีย์การ์ดที่อีอูยอนให้ใส่กระเป๋า และหยิบเบียร์สองกระป๋องออกจากตู้เย็นมาถือไว้ เนื่องจากเป็นคืนสุดท้ายที่ฮาวาย เขาจึงอยากจะดื่มเหล้าพร้อมกับคืนดีกับอีอูยอน
อินซอบที่ยืนอยู่หน้าห้องอีอูยอนหายใจเข้าลึกๆ และจัดทรงผมให้เข้าที่ จากนั้นก็เคาะประตู
“…”
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะจากด้านในเลย
อินซอบกำลังจะเคาะประตูอีกครั้ง แล้วเขาก็เอาหูแนบกับประตูเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ได้ยินผิด แต่เนื่องจากประตูถูกเปิดออกจากด้านในอย่างกะทันหัน ตัวของอินซอบจึงเอียงเข้าไปในห้อง
“ใครคะ”
[1] มุนยอลกง เป็นชื่อขุนนางในสมัยพระเจ้าจองจงแห่งราชวงศ์คโยรยอ