“เจ้าสำนักไท่ไป๋ ตู๋ซูเฟิง” เฮ่อเหลียนเวยเวยลดเสียงลงราวกับว่านางได้ข้อสรุปแล้ว
หยวนหมิงลูบคางตัวเอง แล้วจึงเอ่ยว่า ”แม่นาง เจ้าอย่าได้นำเรื่องนี้ไปพูดให้ใครฟังเชียว หากพวกเขาล่วงรู้ความคิดของเจ้าเข้าล่ะก็ ระวังจะมีคนหาว่าเจ้าเป็นตัวประหลาด และพยายามกำจัดเจ้าได้”
“ถึงเจ้าไม่บอก ข้าก็รู้อยู่แล้วน่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยดีดหญ้าที่อยู่ในมือ แล้วพูดต่อ ”ตอนนี้เราก็ไปกันได้แล้ว แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาที่เราควรจะเข้าหาท่านเจ้าสำนัก กุญแจสำคัญของแผนการนี้คือการคิดหาวิธีทำให้เขายอมรับเรื่องนั้นออกมาด้วยตัวเอง”
หยวนหมิงเลิกคิ้วขึ้น ”แม่นาง ข้าเพิ่งสังเกตว่าเจ้าไม่ได้ดูเป็นกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าจะไม่เสียใจหรือหากองค์ชายสามเป็นอย่างที่มู่หรงฉางเฟิงว่าจริงๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดฝีเท้าลง นางยืนอยู่ใต้แสงไฟ เส้นผมของนางปลิวอยู่ในอากาศ ”ตอนที่ข้ายังเด็ก มีคนบอกข้าว่าเราไม่ควรพึ่งพาคนอื่น เพราะมันจะทำให้ตัวเราเองกลายเป็นคนอ่อนแอ”
“โอ้” หยวนหมิงยิ้ม ”ข้าชอบคนที่สามารถพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้แฮะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วตอกกลับด้วยคำพูดก่อนหน้านี้ของเขา ”ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ อย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับปีศาจก็ไปด้วยกันไม่รอด อีกอย่าง เขาชอบผู้หญิง ดังนั้นเขาคงไม่สนใจเจ้าหรอก”
หยวนหมิงจ้องหน้านาง ”แม่นาง อย่าบอกนะว่าเจ้ายังมีคนรักเก่าอยู่ลับหลังองค์ชายสามอีก ฟังดูแล้วเหมือนเจ้ายังตัดใจจากเขาไม่ลงเสียด้วยสิ”
“แย่แล้ว ทำอย่างไรดีล่ะ โดนเจ้าจับได้ซะแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดติดตลก แล้วมุ่งหน้าไปยังหอสามัญ จริงทีเดียวที่นางไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ นางเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวไร้ซึ่งความหวาดกลัวเช่นนี้เสมอมา
บนโลกใบนี้ ไม่มีใครสามารถเข้าใจถึงความเจ็บปวดของคนอื่นได้อย่างแท้จริง
ต่อให้เราเจ็บปวดจนรู้สึกว่ายอมตายเสียยังดีกว่า แต่เราก็ยังต้องอยู่ตัวคนเดียว
คนอื่นอาจรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจ แต่พวกเขาไม่มีทางรู้ว่าบาดแผลของเราเน่าเปื่อยไปถึงไหนแล้ว
บางที บนโลกนี้อาจจะมีใครสักคนที่อยากจะแบ่งเบาความเจ็บปวดในช่วงรอบเดือนแทนเราอยู่ก็ได้
แต่น่าเสียดายที่นางไม่เคยพบคนคนนั้นมาก่อน
ดังนั้น ไม่ว่านางจะเสียใจหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด
มีเพียงแค่การทำเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้นางสามารถมุ่งหน้าสู่สนามรบอันเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านได้อย่างไร้กังวล…
แต่นางไม่ควรทำตัวไร้กังวลมากนักในระหว่างที่กำลังมีรอบเดือนอยู่เช่นนี้ ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไปถึงหอสามัญ นางก็รีบปีนขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วคว้าผ้าห่มหนาๆ มาคลุมตัวเองไว้
นี่คือภาพที่ชิงจ้านเห็นตอนที่นางกลับมาถึง นางรีบถามเฮ่อเหลียนเวยเวยทันทีว่านางเป็นอะไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยยันตัวลุกขึ้นนั่งขณะที่ยังกอดผ้าห่มเอาไว้ นางโบกมือไปมา ”ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วหรือ”
“ใช่เพคะ” ชิงจ้านมองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยขึ้นว่า ”หม่อมฉันจะไปตามองค์ชาย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระชับผ้าห่มเข้าหาตัวเล็กน้อย แล้วพูดว่า ”องค์ชายจะทำอะไรได้ เขาไม่ใช่หมอเสียหน่อย อีกอย่าง มันก็ไม่ใช่อาการที่เหมาะสมจะให้หมอมารักษาเหมือนกัน ป่านนี้อาหารที่โรงอาหารคงใกล้จะหมดแล้ว พวกเราไปหาน้ำแกงร้อนๆ สักถ้วยดื่มที่ย่านการค้ากันดีกว่า”
ชิงจ้านหดขากลับมา แล้วมองสีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางดูมีอาการเหม่อลอยระหว่างที่คิดถึงเรื่องของอวิ๋นปี้ลั่ว
นางจมอยู่ในภวังค์ของตัวเองลึกเสียจนแม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเรียกนางถึงสามครั้งติดต่อกัน แต่นางก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมีสีหน้าจนปัญญา นางชูมือขึ้น แล้วโบกไปมาหน้าดวงตาของอีกฝ่าย
ชิงจ้านงุนงง ”พระชายา”
“ในที่สุดเจ้าก็ตั้งสติได้เสียที” เฮ่อเหลียนเวยเวยชี้นิ้วไปที่กรอบประตูที่อยู่ตรงหน้า แล้วกล่าวว่า ”ตอนเดินก็ระมัดระวังด้วยล่ะ จะได้เลี่ยงอันตรายจากการทำให้ตัวเองต้องเสียโฉมเข้า”
ชิงจ้านชะงัก ก่อนจะตอบว่า ”เพคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหาว แล้วดวงตาของนางก็ค่อยๆ เคลื่อนมาหยุดลงที่อีกฝ่าย ”ถ้าเจ้ากำลังทำตัวแปลกๆ เพราะแม่นางอวิ๋นคนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันวันนี้ล่ะก็ เจ้าสบายใจได้เลย”
ชิงจ้านคาดไม่ถึงว่านางจะได้ยินคำว่า ‘แม่นางอวิ๋น’ สามคำนี้ออกมาจากปากของเฮ่อเหลียนเวยเวย!
นางเงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ
พระชายารู้แล้วหรือ
นางรู้อะไร รู้ถึงขนาดไหน
ชิงจ้านต้องยอมรับว่าในเวลานี้นางลนลานมากทีเดียว
ดังนั้น…
“พระชายาเพคะ ท่านอย่าได้เอาเรื่องท่านพี่ของข้ามาใส่ใจมากนักเลย นางเป็นอดีตไปแล้ว ในเมื่อฝ่าบาทเลือกท่าน ดังนั้นเขาจะต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเองแน่เพคะ” น้ำเสียงของชิงจ้านราบเรียบ นางกำลังพยายามพูดเรื่องนี้ให้ฟังดูใจเย็นที่สุด แต่น้ำเสียงในตอนท้ายนั้นฟังออกได้ชัดว่าไม่มั่นใจเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ทันใดนั้นนางก็ยิ้มออกมา ”ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับนางจะดีทีเดียว”
ชิงจ้านไม่เห็นว่ารอยยิ้มนั้นลึกล้ำเพียงใด ในหัวของนางมีเพียงความคิดเดียว และนั่นคือความคิดที่ว่านางควรจะเรียบเรียงประโยคออกไปอย่างไรจึงจะลดทอนความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้มากที่สุดได้ ”พวกหม่อมฉันล้วนแต่เป็นองครักษ์ของวังปีศาจที่ติดตามรับใช้ฝ่าบาทด้วยกันทั้งสิ้นเพคะ ในปีที่หม่อมฉันเข้าวัง ท่านพี่ก็อยู่ที่นั่นแล้ว นางเป็นองครักษ์ของวังปีศาจที่ทำหน้าที่ปกป้องฝ่าบาทมานานที่สุด และในฐานะสาวใช้ที่ดูแลฝ่าบาทมาตั้งแต่ยังเล็ก นางจึงรู้จักนิสัยใจคอของฝ่าบาทดียิ่งกว่าใครทุกคน ฝ่าบาทเองก็…” ชิงจ้านเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า ”ฝ่าบาทเองก็ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีเช่นกันเพคะ แต่เหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้นได้ทำลายทุกอย่างไปจนหมดสิ้น ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาตื่นขึ้นมา ท่านพี่หายตัวไป และฝ่าบาทก็สูญเสียพลังปราณ ทุกคนต่างก็รู้สึกสะเทือนใจและโศกเศร้ายิ่งนัก พวกหม่อมฉันต่างก็คิดว่าท่านพี่ตายไปแล้ว แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่านางจะยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ สาเหตุที่นางไม่กลับมานั้นเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้ทรงไม่ยอมรับในความสัมพันธ์ระหว่างนางกับองค์ชายเพคะ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ต้องการให้นางกลับมา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยประหลาดใจ ”สรุปว่านางเคยเป็นองครักษ์ของวังปีศาจ มิหนำซ้ำยังเคยมีความสัมพันธ์กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยนี่เอง”
ชิงจ้านมีสีหน้าสับสน ”พระชายาไม่ได้ทราบเรื่องนี้อยู่แล้วหรอกหรือเพคะ”
“ตอนนี้ข้าก็รู้แล้วอย่างไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนางด้วยรอยยิ้ม ”ขอบใจเจ้ามากชิงจ้าน อธิบายได้ชัดเจนและรวบรัดดียิ่งนัก”
“แต่ แต่เมื่อครู่นี้พระชายา…” ชิงจ้านพูดจาตะกุกตะกัก นางรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเพิ่งจะถูกอีกฝ่ายหลอกให้พูดเรื่องนั้นออกมา นางคิดว่าพระชายารู้ทุกอย่างอยู่แล้วเสียอีก ไม่อย่างนั้นทำไมจู่ๆ นางถึงได้พูดถึงชื่อแม่นางอวิ๋นขึ้นมาอย่างนั้นล่ะ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างบริสุทธิ์ใจว่า ”ข้าแค่เดาเฉยๆ ว่าเจ้าน่าจะรู้จักกับแม่นางอวิ๋น เพราะสายตาที่เจ้ามองนางนั้นดูมีอะไรแปลกๆ อยู่ ส่วนที่เหลือนั้น ข้าจะคิดเสียว่ามันเป็นเพียงข่าวลือก็แล้วกัน”
ข่าวลือ… แค่นั้นน่ะหรือ
ชิงจ้านเงยหน้าขึ้นแล้วลอบมองใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นครั้งคราว นางสังเกตเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายนั้นไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง
จู่ๆ ชิงจ้านก็รู้สึกสับสน อย่าบอกนะว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยหลงรักองค์ชายมากเสียจนนางไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น
ชิงจ้านคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ นางยิ่งควรพูดออกมาให้ชัดเจน ”พระชายาเพคะ ท่านพี่แตกต่างจากคนอื่น นาง…”
“นางเป็นคนที่องค์ชายรักและใส่ใจที่สุด” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดบทขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ”แล้วสรุปว่า ในเวลานี้เจ้าต้องการที่จะติดตามใครหรือ เจ้าอยากไปหานาง หรือว่าจะอยู่ต่อ”
ชิงจ้านตกตะลึงอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับนิ้วของตน ขนนกสีดำสนิทปลิวหล่นลงมา มองออกไปเป็นภาพท้องฟ้ากว้างปรากฏอยู่
นางถือร่มเอาไว้ในมือ มีสายฝนที่ตกลงมากระทบกับพื้นดินข้างเท้ากระเด็นมาโดนเป็นครั้งคราว นางดูเหมือนกับดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่อย่างเงียบงัน
แล้วนางก็เอ่ยขึ้นว่า ”ถ้านี่เป็นการต่อสู้ เช่นนั้นก็ไปหานางเถอะ เจ้าจะได้มีที่ยืนอย่างสง่างาม มีลาภยศเงินทอง และมือเจ้าจะได้ไม่ต้องเปื้อนเลือดไปอีกตลอดชีวิต แต่เจ้าจะไม่ได้สิ่งนั้นหากยังติดตามข้า เพราะทุกวินาทีที่เจ้ายืนอยู่ที่นี่ในเวลานี้ จะมีใครบางคนพยายามหวนกลับมาทำร้ายเจ้าเสมอ ข้าไม่ได้มีสามเศียรหกกร ความสามารถของข้ามีจำกัด ดังนั้นโชคชะตาจึงกำหนดให้มือข้าต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ชิงจ้าน เจ้าเชื่อข้าหรือเปล่า ข้าสามารถแสดงโลกที่เจ้าไม่เคยเห็นให้เจ้าดูได้”