ความหมายของวาจาที่กล่าวมีกลิ่นอายเย้ยหยันเข้มข้น ทั้งยังไม่อำพรางความลำพองใจตรงหว่างคิ้วตนเองแม้แต่น้อย
หนิงเซ่าชิงกำลังยิ้ม กระทั่งหางคิ้วและก้นบึ้งนัยน์ตาล้วนเต็มไปด้วยความขบขัน แต่ทั้งร่างกลับแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือก เฉกเช่นบุปผางามที่วางอยู่บนสถานที่ซึ่งมีหิมะโปรยปรายปกคลุมไปทั่วผืนดิน แม้ว่าจะงดงามแต่กลับทำให้คนรู้สึกเหน็บหนาวจนไม่กล้าเข้าใกล้
คนที่บงการอยู่เบื้องหลังนั้นกล้าเกินไปแล้ว เขาจะไม่ปล่อยคนกลุ่มนั้นไปเด็ดขาด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ใครกล้าวางอุบายกับมั่วเชียนเสวี่ย มีเพียงคำเดียวเท่านั้น…ตาย
ยิ้มไปยิ้มมา มั่วเชียนเสวี่ยก็นึกถึงนางกำนัลแสนอัปลักษณ์สองนางนั้นขึ้น…นึกถึงฮูหยินเซี่ยและฮูหยินอัน ทั้งสองคนคิดจะบังคับถอดเสื้อผ้านางด้วยการกระทำอันต่ำทรามแล้ว นางก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
“เซ่าชิง ข้าไม่อยากปล่อยคนที่บงการเรื่องในครั้งนี้ไป ท่านจะบอกว่าข้าใจร้ายก็ช่าง จะออกห่างจากข้าก็ช่าง…” มั่วเชียนเสวี่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย มองฝุ่นผงที่ปลิวอยู่นับไม่ถ้วน มันดิ้นรนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างอย่างไร้ซึ่งคุณค่าที่จะหยิบยกมากล่าวถึง ท่ามกลางแสงที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างซึ่งส่องผ่านม่านรถม้าที่เดี๋ยวเลิกขึ้นเดี๋ยวทิ้งตัวลงจากด้านนอก
นางดูเหมือนส่วนหนึ่งที่ดิ้นรนอย่างไร้ซึ่งคุณค่าที่จะหยิบยกมากล่าวถึงเช่นกัน
แต่นางไม่ยินยอมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ไร้คุณค่าที่จะหยิบยกมากล่าวถึง
หนิงเซ่าชิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ความขบขันในนั้นค่อยๆ เลือนหายไป เชียนเสวี่ยของเขาปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีเมตตาและโอบอ้อมอารีเสมอมา คราวนี้กลับเกิดโมโหขึ้นมา ดูท่าจะมีเบื้องหลังที่เขาไม่รู้ และเรื่องสกปรกที่เขาไม่รู้ เดิมเขาก็ฉลาดเฉลียวและความรู้สึกไว ไม่ต้องถาม เพียงแค่นำมาคิดเชื่อมโยงกัน ก็สามารถเดาออกมาได้อย่างไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
ในเวลานี้ หัวใจปวดร้าว มือกำแน่น นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นทอประกายวาววับออกมา ราวกับแสงในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังเบ่งบานอยู่กลางหว่างคิ้ว หลังจากหัวเราะเสียงเย็น แสงในฤดูใบไม้ผลิก็เลือนหายไป ประกายเย็นเยียบปรากฏขึ้นมาแทน ถามเสียงเย็นว่า “คือใครกัน”
เขาไม่ใช่คุณชายผู้สุภาพอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อนผู้นั้นอีกแล้ว บนร่างเขาแบกตระกูลหนิง แบกมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ สำหรับคนเหล่านั้น เขาจะไม่ใจอ่อนให้อีกแม้แต่น้อย
ในเมื่อเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน ก็คือการเลือกที่จะไว้วางใจ ในเมื่อหนิงเซ่าชิงสนับสนุนนาง มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง “ฮองเฮา องค์หญิงอวี้เหอ ผู้นำตระกูลเซี่ย และยังมีท่านอัครเสนาบดีอัน มหาองครักษ์ ไม่แน่ว่ายังมีฮ่องเต้…”
คนเหล่านี้ล้วนมีตำแหน่งฐานะสูงส่ง แต่เมื่อออกจากปากของมั่วเชียนเสวี่ย กลับฟังไม่ออกถึงความเคารพแม้แต่น้อย
“เชียนเสวี่ยวางใจได้ คนเหล่านี้สามีล้วนจดจำเอาไว้ในใจแล้ว จะต้องทวงคืนความยุติธรรมมาให้เชียนเสวี่ยแน่นอน” น้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนราวกับเสียงเครื่องสายของหนิงเซ่าชิงเจือไปด้วยความเย็นยะเยือกบางๆ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์เขาไม่ค่อยจะดี แววตาที่มองไปยังมั่วเชียนเสวี่ยค่อยๆ จริงจังหนักแน่น ทั้งยังแฝงไปด้วยความสงสาร
เขาไม่ได้ถามว่านางเป็นอะไรหรือไม่ และยิ่งไม่ได้ถามว่านางรอดพ้นจากอันตรายมาได้อย่างไร เพียงแต่มือที่กอดนางเอาไว้นั้นรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม
มั่วเชียนเสวี่ยมองไปยังแววตาอันคุ้นเคยคู่นั้น จู่ๆ ก็นึกถึงวาจาที่เขาเคยพูดเอาไว้
“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ เซ่าชิงไม่เคยคิดจะรับอนุภรรยา…ข้า หนิงเซ่าชิง ชั่วชีวิตนี้จะมีเพียงแค่มั่วเชียนเสวี่ยคนเดียว…” น้ำเสียงที่จริงจัง ทว่าเจือไปด้วยแววสัพยอกเล็กน้อย
ในยามนั้น แม้ว่าสุขภาพเขาจะไม่ดี แต่ความรู้สึกระหว่างพวกเขากลับมั่นคงเป็นอย่างมาก ในใจเขามีเพียงแค่นาง…
และเมื่อมองเขาในยามนี้ แม้ว่าแววตาจะเปล่งประกาย แต่กลับอำพรางความกังวลใจและความกลุ้มใจที่อยู่ในนั้นเอาไว้ไม่ได้ เขาในยามนี้ไม่ได้มีเพียงแค่นาง แต่บนไหล่เขายังมีบิดาและตระกูลหนิงด้วย…
นางเม้มปาก
การที่พวกเขาเดินทางเข้าเมืองหลวง ก็คือความผิดพลาดใช่หรือไม่…
ภายใต้การต่อสู้ที่โหดร้ายเช่นนี้ ภายใต้กฎระเบียบที่ทั่วทุกหนทุกแห่งนิยมรับอนุภรรยา ความรู้สึกของพวกเขาจะยังมั่นคงและไว้วางใจซึ่งกันและกันเฉกเช่นตอนที่อยู่ที่หมู่บ้านหวังจยาได้หรือไม่
มองแววตาที่ประเดี๋ยวทอประกาย ประเดี๋ยวอับแสงของมั่วเชียนเสวี่ย ภายใต้ดวงหน้าราวกับหยกขาวนวลซ่อนความกังวลเอาไว้ หนิงเซ่าชิงก็ถอนหายใจเสียงเบา รู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะต้องคิดมากแน่นอน
เขาเก็บซ่อนความเย็นชาบนใบหน้าเอาไว้ในใจ เอ่ยปลอบว่า “เชียนเสวี่ย ทั้งหมดจะต้องเดินไปในทางที่ถูกต้อง! พวกเราจะแต่งงานกัน ให้กำเนิดลูกชายลูกสาวมากมาย…”
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยต่อว่า “ใครจะให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยกับท่านหลายคนกัน” เอ่ยจบแล้ว ถึงได้นึกเนื้อหาในคำพูดออก จึงรู้สึกอายเล็กน้อย
ทั้งสองคนแอบอิงกัน ไร้ซึ่งคำพูดไปชั่วขณะ ล้วนคิดจะดื่มด่ำกับความสงบและความอบอุ่นที่ได้มาอย่างไม่ง่ายนี้
หลังจากนิ่งไปชั่วพริบตาหนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยก็เอ่ยเสียงเบาว่า “เซ่าชิง ท่านรู้ไหมว่าเมื่อคืนข้าคิดถึงท่านมาก ท่านไม่ได้มาเยี่ยมข้าที่เรือนจำสวรรค์ ข้าเป็นห่วงท่านมาก…” เสียงของนางเบาราวกับลมที่พัดในยามค่ำคืนเงียบๆ ผ่านใจกลางหุบเขาที่ว่างเปล่า หากไม่ระวัง ก็จะหายไปได้
แต่หนิงเซ่าชิงกลับประคองสายลมยามค่ำคืนนี้เอาไว้กลางฝ่ามือ ยื่นมือออกไปลูบเรือนผมนาง นึกถึงนางที่ต้องอยู่ในเรือนจำสวรรค์หนึ่งคืน หัวใจก็เจ็บจนหยุดชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าวางใจเถอะ มีข้าอยู่ จะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก”
รอหลังจากกลับไป เขาจะต้องลงโทษกุ่ยซาและองครักษ์หลายคนนั้นให้หนัก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดที่ไหน หากใครกล้าขวางข่าวคราวของเชียนเสวี่ย เขาจะไม่ปล่อยเอาไว้แน่นอน
ก้นบึ้งนัยน์ตาลึกล้ำของหนิงเซ่าชิงมีประกายอบอุ่นเลือนราง น้ำเสียงก็ยิ่งแหบพร่า คล้ายกับเสียงเอี๊ยดๆ ของปลายปากกาที่จรดลงบนกระดาษสีขาว เขาพลั้งปากเอ่ยตามเสียงในใจ มั่วเชียนเสวี่ยกลับตื่นตะลึง ความรู้สึกบางอย่างในใจระเบิดออก เอ่อล้นท่วมตัวนาง ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะในการกล่าววาจา
นางตรงเข้าไปคล้องคอหนิงเซ่าชิงเอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายจุมพิตริมฝีปากเขาอย่างร้อนแรงเช่นนี้
รถม้าหรูหราของผู้นำตระกูลหนิงเคลื่อนตัวอยู่บนถนนด้วยความเร็วที่ช้าราวกับเต่า
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยใกล้จะหายใจไม่ทัน ริมฝีปากอุ่นร้อนของหนิงเซ่าชิงก็ผละออกจากกลีบปากบาง เคลื่อนไปจุมพิตหน้าผากมั่วเชียนเสวี่ย “เสวี่ยเสวี่ย ความจริงแล้วข้าก็กลัวมากเช่นกัน”
“ท่านกลัวอะไร”
“กลัวว่าเจ้าจะถือโอกาสที่ข้าไม่อยู่หวั่นไหวต่อซูชี กลัวว่าในใจเจ้ามักจะคิดถึงถงจื่อจิ้ง กลัวว่าจู่ๆ เจ้าจะนึกถึงเรื่องในอดีตแล้วโผเข้าไปในอ้อมกอดของเฟิงอวี้เฉิน กลัวว่าอีกประเดี๋ยวเจ้าจะไม่ให้ข้าเข้าใกล้…”
เสียงของหนิงเซ่าชิงดังอยู่ข้างหู เชื่องช้าราวกับเสียงเพลงที่ทำให้คนหวั่นไหว ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดใบหูของมั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยคลอเคลียใบหน้ากับร่างเขา วาดแขนโอบเอวผอมบางของเขา และรู้สึกถึงความร้อนบนผิวหนังของเขาผ่านชุดยาวสีน้ำเงินเข้มที่กั้นอยู่
ที่แท้ เขายังคงเป็นท่านอาจารย์หนิงแห่งหมู่บ้านหวังจยาคนนั้น ยังคงขี้หึง
เพียงแต่ บุรุษเช่นเขา ถึงกับกลัวว่าตนเองจะไม่ใส่ใจเขา ไร้ซึ่งความรู้สึกมั่นคงขนาดนั้น
ความรู้สึกในนัยน์ตาของมั่วเชียนเสวี่ยทั้งหมดล้วนคือความหวานชื่นและอบอุ่น เสียงหัวเราะดังขึ้นในลำคอ เอ่ยอย่างแง่งอนว่า “คนโง่”
“อืม ข้าเป็นคนโง่ ชั่วชีวิตนี้จะเป็นคนโง่ของเจ้าเพียงคนเดียวดีหรือไม่” หนิงเซ่าชิงใช้มือเกี่ยวปอยผมที่หลุดลงมาของนางไปด้านหลัง สองมือประคองใบหน้านางเอาไว้ ประกายแววตาราวกับจินตนาการถึงความฝัน
“เสวี่ย เจ้ารู้ไหมว่า หลายวันมานี้ที่เจ้าไม่ได้อยู่ข้างกายข้า ข้านอนน้อยมาก มีคราหนึ่ง ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะหลับไป พอฝันก็ยังฝันถึงเจ้า ฝันเห็นข้ากอดเจ้า ฝันเห็นพวกเราแต่งงานกัน ฝันเห็นพวกเราให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยหลายคน ลูกคนโตพิงเจ้าอยู่ ลูกคนรองป้อนขนมข้า ลูกคนเล็ก…”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ความรู้สึกบางอย่างพลุ่งพล่านในก้นบึ้งนัยน์ตาจนเกือบจะเอ่ยล้นออกมา แต่สุดท้ายก็ถูกยับยั้งเอาไว้ได้
“เสวี่ย เจ้ารู้ไหมว่า ยามที่ตื่นจากฝันข้ากลับไม่กล้าแม้กระทั่งขยับสักนิด กลัวว่าหากขยับแล้ว ความฝันนั้นจะไม่ดำเนินต่อไปอีก”