บทที่ 303 ชีวิตอาภัพนัก ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็ยังคงต้องรอคอยพี่ชายกลับมาหรือไม่?
เสี่ยวหยา… คนที่ใกล้ชิดกับฟ่านหยาเหยียนต่างเรียกนางเช่นนั้น
หลิงอินไม่สามารถลืมนางลงได้
ยามที่นางสิ้นสติไปตลอดหนึ่งเดือนเต็ม เสี่ยวหยาก็ช่วยดูแลนางด้วยความเอาใจใส่ เช็ดร่าง ป้อนข้าวให้กับนางทุกวัน
ถึงแม้นางจะไม่จำเป็นต้องทานอาหารก็ตาม
หลังจากที่นางได้สติกลับคืนมา ก็ประทับใจกับจิตใจอันดีงามของเสี่ยวหยา
พ่อแม่เสียของเสี่ยวหยาชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ทิ้งไว้เพียงนางและพี่ชายที่หลงเหลือไว้ในครอบครัว
พี่ชายของเสี่ยวหยาแก่กว่านางสามปี ตอนที่พ่อแม่ของพวกเขาตาย เสี่ยวหยาอายุเพียงสี่ขวบ ส่วนพี่ชายก็เพิ่งเจ็ดขวบ
เด็กอายุสี่และเจ็ดขวบ จะมีชีวิตอย่างราบรื่นได้อย่างไรโดยไร้ซึ่งบิดามารดา?
พวกเขาใช้ชีวิตผ่านไปอย่างยากลำบาก หากไม่ใช้เพราะเพื่อนบ้านคอยช่วยเหลือดูแลพวกเขาเป็นครั้งคราว พวกเขาก็อาจจะอดตายไปนานแล้ว
ต่อมา เมื่อพวกเขาโตขึ้นก็สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าเดิมมาก อย่างน้อยก็สามารถหาอาหารและเสื้อผ้าด้วยตัวเองได้
ในปีหนึ่งที่เสี่ยวหยาอายุสิบเอ็ด ส่วนพี่ชายนางอายุสิบสี่ปี
ตอนนั้น พี่ชายกล่าวกับเสี่ยวหยาด้วยความตื่นเต้นว่าเขาสามารถหางานได้แล้ว หลังจากนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าตนเองจะต้องหิวโหยอีกต่อไป!
ทว่าหลังจากวันนั้นเอง พี่ชายของเสี่ยวหยาก็ไม่หวนกลับมาอีกเลย ซ้ำยังไร้ซึ่งข่าวคราวใดอีก
เสี่ยวหยาไปเทียวถามหลายครั้งหลายครา แต่ผ่านไปหนึ่งปีกลับไร้ซึ่งวี่แวว
หลังจากสูญเสียพี่ชายไป เสี่ยวหยาก็ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ทำให้ชีวิตผ่านไปอย่างยากลำบากยิ่งกว่าเดิม…
แต่ถึงแม้นางจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพียงใด ทว่าเสี่ยวหยาก็ยังคงสามารถดูแลเอาใจใส่นางในฐานะคนแปลกหน้าได้อย่างยาวนาน หลังจากผ่านคืนวันของการฝึกตนมานับไม่ถ้วน นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกประทับใจเช่นนี้
สิ่งที่เสี่ยวหยาชอบทำที่สุดคือ การวาดภาพพระจันทร์เต็มดวงทุกรูปแบบ แล้วย้อมพวกมันเป็นสีต่าง ๆ แต่ไม่ว่าภาพใดก็จะวาดรอยฟันสองซี่เอาไว้อยู่เสมอ
หรือนางคิดว่าพระจันทร์เต็มดวงไม่สวยกัน?
ไม่ใช่สิ หากเป็นเช่นนั้นจริง วาดจันทร์เสี้ยวไม่ดีกว่าหรือ ทำไมต้องวาดร้อยเว้าแหว่งเหมือนฟันสองซี่ด้วย
นางรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก จึงเคยเอ่ยถามเสี่ยวหยาออกไปว่าเหตุใดถึงต้องวาดเช่นนี้
เสี่ยวหยาจึงเล่าให้นางฟังว่า เพราะเมื่อก่อนยามที่หิวโหยอย่างถึงที่สุด เสี่ยวหยากับพี่ชายจะนอนชมพระจันทร์ยามราตรีด้วยกัน หลังจากนั้นพี่ชายก็จะกล่าวว่า ‘เสี่ยวหยาไม่ต้องกลัวนะ หลังจากที่พี่ชายหาเงินได้ในอนาคต จะซื้อขนมชิ้นโตเท่าดวงจันทร์ให้เจ้ากิน!’
‘พระจันทร์ใหญ่ถึงขนาดนั้น พวกเราสองคนจะสามารถกินมันจนหมดได้หรือ?’
‘กินไม่หมดก็ดี พวกเราจะได้ไม่ต้องหิวโหยไปตลอดกาล!’
‘ดีเลย ในอนาคตพี่ชายจะต้องซื้อขนมชิ้นใหญ่เท่าพระจันทร์ให้เสี่ยวหยากิน!’
‘พี่ชายขอสัญญากับเจ้าว่าจะต้องซื้อมันมาให้เจ้าแน่นอน!’
ดวงตาของหลิงอินถึงกับร้อนผ่าวยามได้ยินเช่นนั้น นางเอ่ยสัญญาว่าจะช่วยเสี่ยวหยาตามหาพี่ชายกลับมา
ทว่า…นางกลับทำไม่สำเร็จ
นางใช้พลังทั้งหมดที่สามารถรวบรวมมาได้เพื่อตามหา ทว่าพี่ชายของเสี่ยวหยาราวกับหายไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย
นางใช้พลังมหาศาลในการพยากรณ์
ตามสถานการณ์ปกติแล้ว ตัวนางในฐานะจ้าวสูงสุด การพยากรณ์ตามหามนุษย์ผู้หนึ่งควรเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่ง สามารถพบตัวอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว
แต่นางกลับทำไม่สำเร็จ
มีพลังบางอย่างขัดขวางการทำนาย นางไม่รู้ว่ามันคืออะไร ดูเหมือนว่าพี่ชายของเสี่ยวหยาจะไปพัวพันกับเหตุต้นผลกรรมอันยิ่งใหญ่บางอย่างทำให้ไม่อาจพยากรณ์ถึงได้
เหตุต้นผลกรรมครั้งใหญ่จะดีหรือร้าย นางเองก็ไม่อาจรับรู้
ไม่รู้แม้กระทั่งพี่ชายของเสี่ยวหยายังคงมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
เหตุต้นผลกรรมขนาดใหญ่นั้นทำให้ทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวพี่ชายเสี่ยวหยานั้นมืดบอด นางจึงไม่อาจพยากรณ์ได้ด้วยเหตุต้นผลกรรมของอีกฝ่าย
นางเอ่ยเล่าทุกอย่างข้างต้นให้เสี่ยวหยาได้รับรู้
ในตอนนั้น นางก็ได้ค้นพบว่าเสี่ยวหยานั้นมีคุณสมบัติในการเป็นผู้ฝึกตน อีกทั้งคุณสมบัตินั้นยังยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
นางจึงสอนวิธีฝึกตนให้กับเสี่ยวหยา
จนในท้ายที่สุดแล้ว อายุขัยของนางกำลังจะสิ้นสุดลง ในเมื่อนางแทบจะไม่มีเวลาหลงเหลืออยู่แล้วจึงคิดจะไปลองแสวงโชคในเส้นทางสังสารวัฏ
นางบอกให้เสี่ยวหยาออกไปจากหมู่บ้าน ไปฝึกตนที่สำนักของสหายนาง
แต่เสี่ยวหยาไม่ยอมจากไป
เสี่ยวหยากล่าวว่า “หากข้าไป พี่ชายกลับมาแล้วหาข้าไม่เจอจะทำเช่นไร? ข้าอยากอยู่ต่อที่นี่ รอคอยพี่ชายกลับมา หากพี่ชายกลับมาแล้วจะได้เจอข้าอย่างแน่นอน!”
หลิงอินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเห็นด้วย โลกของผู้ฝึกตนนั้นไม่ได้มีดีอะไรขนาดนั้น กฎส่วนใหญ่ล้วนวัดกันจากความแข็งแกร่ง ให้เสี่ยวหยาอยู่ฝึกตนในหมู่บ้านไปก็คงจะดีกว่า
นางทิ้งทรัพย์สมบัติที่สะสมมาทั้งชีวิตให้กับเสี่ยวหยา หลังจากนั้นก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสังสารวัฏ
‘เสี่ยวหยา…’
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ หลิงอินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักอึ้งภายในใจ
นางต้องการจะพบเสี่ยวหยาอีกสักครั้ง
ทว่ายุคสมัยโบราณกาลนั้นห่างไกลจากยุคปัจจุบันมากเกินไป กระทั่งขอบเขตมหาจักรพรรดิก็ยังไม่อาจมีชีวิตยืนยาวได้ขนาดนั้น
เสี่ยวหยาคงจะตายไปนานแล้ว…
‘เหตุใดฉินของเสี่ยวหยาถึงมาปรากฏอยู่ในมือของศิษย์หุบเขาคงหลิง?’
นางมองไปยังฉินของสตรีชุดเขียวที่นั่งอยู่ตรงกลางลาน พลางกล่าวขึ้นมาภายในใจ ‘หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวหยา?’
ฉินที่สตรีขุดเขียวบรรเลงอยู่มีตราพระจันทร์สีน้ำเงินอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉินนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเสี่ยวหยาอย่างแน่นอน
ความทรงจำเกี่ยวกับเสี่ยวหยาเด่นชัดขึ้นมา ในยามนี้นางต้องการจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวหยา
‘เดี๋ยวก่อน…เหตุใดข้าจึงเห็นฉินนั่นที่นี่!’
นางกล่าวขึ้นมาในใจ แล้วหันไปมองท่านเซียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
นางตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นท่านเซียนที่เชิญนางมาร่วมงานชุมนุมครั้งใหญ่นี้ ยามนั้นนางคิดว่าท่านเซียนจะไม่เอ่ยเชิญนางมางานชุมนุมใหญ่อย่างไร้เหตุผล สิ่งที่ท่านเซียนต้องการจะทำย่อมต้องมีความหมายลึกซึ้ง
…ในตอนนี้ นางได้เห็นฉินของเสี่ยวหยา
‘ท่านเซียน…’
ภายในใจของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง ยามเข้าใจถึงเรื่องราวต่าง ๆ
เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันท่านเซียนย่อมรู้แจ้ง นั่นเป็นเหตุให้พานางมายังที่แห่งนี้ เพื่อให้นางได้เห็นฉินของเสี่ยวหยา ให้นางได้รับรู้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเสี่ยวหยา
นี่ทำให้นางรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
ภายในใจของนางมีไม่กี่คนที่นางใส่ใจ เสี่ยวหยาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นางต้องการจะทราบว่าเสี่ยวหยาที่เฝ้ารอคอยพี่ชาย จะได้กลับมาอยู่กับพี่ชายอีกครั้งหรือไม่
หลังจากเพลงและการร่ายรำจบแล้ว เจียงอวี่สือก็กลับที่นั่งแล้วว่างฉินลงด้วยท่าทางสง่างาม
ผู้ฝึกตนหญิงของหุบเขาคงหลิงพากันถอนตัวออกไปทีละคน
“ก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณสหายจากหุบเขาคงหลิงที่นำบทเพลงและการร่ายรำอันยอดเยี่ยมมาให้พวกเราได้ชม”
ผู้อาวุโสเก้าแห่งเผ่าซางยกแก้วขึ้น แล้วกล่าวกับเจียงอวี่สือ
ทุกคนจากทุกชั้นในภูเขาหยงหมิงยกถ้วยขึ้นแสดงความขอบคุณต่อผู้ฝึกตนของหุบเขาคงหลิง
“นอกจากนี้ข้ายังต้องการจะกล่าวขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติพวกเราเผ่าซางในการมาร่วมชุมนุมครั้งนี้”
ผู้อาวุโสเก้ารินอีกจอกกล่าวขอบคุณผู้ฝึกตนจากทุกชั้น
หลังจากดื่มไปสองจอกแล้ว เขาก็เริ่มคุยเรื่องธุระ
ธุระของงานชุมนุมครั้งใหญ่ย่อมไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย
“ฟ้าดินกำลังเสื่อมโทรม ทำให้การฝึกตนกลายเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง พวกเราล้วนประจักษ์ในเรื่องนี้ด้วยสายตาของตนเองดี พวกเราควรจะล้มล้างประเพณีดั้งเดิม หันมาจับมือพากันมุ่งสู่อนาคตและการพัฒนาที่มากยิ่งขึ้น!”
ผู้อาวุโสเก้ากล่าวออกมา “เหล่ากองกำลังโบราณในแดนหยิน แดนฮวง แดนฝอ ได้ร่วมมือกันเพื่อจัดตั้งสถานศึกษาขึ้นมา เพื่อแบ่งปันทรัพยากรในการบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ขึ้นมาอย่างเต็มกำลัง!”
“อะไรนะ!”
“สามแดนร่วมมือกันสร้างสถานศึกษา!!!”
หลังจากผู้อาวุโสเก้ากล่าวจบแล้ว ก็บังเกิดความวุ่นวายขึ้นมาบนเขาหยงหมิง พวกเขาไม่คาดคิดว่าหัวข้อในการชุมนุมใครใหญ่จะเป็นสิ่งนี้!
กองกำลังโบราณในสามดินแดนรวมมือกันเพื่อสร้างสถานศึกษา สวรรค์! สถานศึกษาที่กล่าวถึงจะมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด!?
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น!