พอขับรถมาได้ประมาณสิบนาที พวกเขาก็มาถึงสวีทฮาร์ทร็อก[1] ในขณะที่เดินไปตามทางบนหน้าผา พระอาทิตย์ก็เริ่มตก
“เหมือนจะเป็นหินนั้นนะครับ”
อินซอบชี้ไปที่หินที่ตั้งอยู่ห่างจากหน้าผาริมทะเลออกไปเล็กน้อย
“ถ้ามองจากด้านข้างจะเป็นรูปหัวใจใช่ไหม”
อินซอบเอียงคอพลางสำรวจหิน อีอูยอนมองท่าทางนั้น และรอยยิ้มก็ปรากฏในสายตา
“มันเป็นรูปหัวใจได้ยังไงเหรอครับ”
อินซอบหันกลับมาถามอีอูยอน อีอูยอนพูดว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกัน” พร้อมกับทำเป็นคิด วิวทิวทัศน์ไม่สำคัญสำหรับเขา เขาแค่ต้องการให้อินซอบรู้สึกดีเพราะได้มาในที่สวยๆ เท่านั้นเอง
อินซอบที่ครุ่นคิดอยู่สักพักเริ่มใช้โทรศัพท์มือถือค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับหิน
“เหมือนจะต้องเข้าไปดูใกล้ๆ นะครับ แล้วหินนั้น…”
อินซอบขมวดคิ้วเล็กน้อย และอ่านตำนานเกี่ยวกับหินอย่างจดจ่อ อีอูยอนรีบยื่นหน้าเข้าไปมองโทรศัพท์มือถือด้วย
มันคือตำนานความรักที่พบเห็นได้โดยทั่วไป นักรบจากลานาอิรักหญิงสาวจากเมาอิจึงซ่อนสาวเจ้าไว้ในถ้ำที่อยู่ใต้หน้าผา ในระหว่างที่ชายหนุ่มออกไปข้างนอก คลื่นก็โหมกระหน่ำใส่ถ้ำและทำให้หญิงสาวเสียชีวิต ชายหนุ่มจึงฝังร่างของเธอไว้ที่หิน และกระโดดฆ่าตัวตายตามคนรักของตนไป
“…เป็นเรื่องที่น่าเศร้านะครับ”
“เหมือนคนโง่ที่น่าสมเพชต่างหาก”
“…”
“ทำไมถึงปล่อยผู้หญิงไว้ในที่ที่โดนคลื่นซัดล่ะครับ ต้องเป็นเรื่องที่คนโง่ไร้สมองทำอยู่แล้วล่ะครับ”
อีอูยอนทำลายความซาบซึ้งที่อินซอบรู้สึกชั่ววูบอย่างไร้ความปรานีด้วยน้ำเสียงที่หวานจนทำให้หน้ามืด
อีอูยอนจัดผมของอินซอบที่ยุ่งเพราะลมทะเลให้เรียบร้อย อินซอบปล่อยให้เขาทำ และยิ้มให้แทนคำขอบคุณ
“…แต่ก็เข้าใจได้นะ”
“อะไรเหรอครับ”
“ก็เรื่องที่อยากซ่อนไว้น่ะ”
อีอูยอนจูบหน้าผากของอินซอบก่อนจะพูด
“เพราะบางครั้งผมก็อยากซ่อนคุณไว้เหมือนกัน ในที่ที่จะไม่มีใครเห็นอย่างพวกห้องใต้ดิน”
“…อย่าซ่อนเลยครับ”
อินซอบขอร้องด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อย อีอูยอนตอบว่า “ได้ครับ” ด้วยน้ำเสียงที่ขอให้การอภัยอย่างถึงที่สุด อินซอบจึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับโล่งอก
ความจริงแล้วพวกเขาเข้าใจกันคนละอย่าง
อีอูยอนมองคลื่นที่กระทบกับหินจนเกิดเป็นฟองน้ำสีขาวเล็กๆ ส่วนอินซอบก็มองหินสลับกับมองตน เจ้าตัวกำลังหวังให้เขาชอบที่นี่
อินซอบเป็นแบบนั้นเสมอ แม้จะรู้ว่าตนไม่ใช่คนปกติที่มีความรู้สึกที่คนทั่วไปมี แต่ก็ยังปฏิบัติกับตนเหมือนคนปกติ ถ้าเจอแมวขณะที่เดินอยู่ หรือได้กินอาหารอร่อยๆ หรือเห็นท้องฟ้าสวยๆ ในวันที่อากาศดี เขาจะถ่ายรูปส่งมาให้เสมอ และบางครั้งก็ส่งรูปตลกๆ ที่ถูกโพสต์อยู่บนอินเทอร์เน็ตให้ดูด้วย
ตอนแรกตนคิดว่าทำไมถึงส่งของที่เหมือนกับขยะแบบนี้มาให้ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอินซอบอยากจะแบ่งปันเรื่องดีๆ ที่ตัวเองเจอกับคนรักของตนแม้จะแค่เล็กน้อย…แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่สลักสำคัญอะไรเลยก็ตาม
“สวยนะครับ ที่นี่น่ะ”
พออีอูยอนพูดแบบนั้น อินซอบก็ขยับริมฝีปากราวกับดีใจและมองลงไปด้านล่าง
บางทีถ้าคุณหายไป ผมต้อง…
สายตาของอีอูยอนมองลงไปยังใต้หน้าผาที่อยู่ห่างไกลมาก
“คุณอูยอน”
เสียงเรียกของอินซอบดึงอีอูยอนกลับสู่ความเป็นจริง
“ทำไมถึงเรียกชื่อผมอย่างจริงจังแบบนั้นล่ะครับ มันทำให้คนใจสั่นนะ”
อีอูยอนล้วงมือเข้ากระเป๋าและเอ่ยตอบอย่างแกล้งเล่น
“…ในอนาคตคุณก็ยังจะอยู่กับผมใช่ไหมครับ”
“อื้อ”
อีอูยอนตอบโดยไม่คิด
“ทำไม? คุณจะใช้ชีวิตกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผมเหรอ”
“เปล่าครับ พูดอะไรน่ะ ผมไม่ทำหรอกครับ”
อินซอบทำหน้าตาจริงจังและส่ายหน้า การต้องพูดประโยคปฏิเสธออกมาอีกครั้งในตอนที่ตื่นตระหนกเป็นนิสัยในการพูดของอินซอบ อีอูยอนจึงแกล้งเขาแบบนี้เป็นบางครั้ง เพราะอยากได้ยินการพูดแบบนั้นของอินซอบ
“แล้วทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ”
“เพราะผมมีเรื่องจะขอร้องครับ”
“ขอร้องอะไรเหรอ”
“ในอนาคตคุณก็จะทะเลาะกับผมใช่ไหมครับ”
“…”
ในเวลานี้แม้กระทั่งอีอูยอนที่หน้าหนาก็ยังไม่กล้าโกหกว่าไม่ พวกเขาสองคนต่างกันทั้งสภาพแวดล้อมที่จากมา นิสัย และวิธีการคิด ไม่ว่าจะรักชอบกันขนาดไหน แต่ก็ต้องมีเรื่องให้ทะเลาะกันอยู่แล้ว
“ผมรู้ครับว่าบางครั้งคุณจะพูดจาร้ายๆ อีกในตอนที่ทะเลาะกันในอนาคต”
“กำลังทำให้ผมรู้สึกผิดจนตายเหรอครับ”
อีอูยอนยกมุมปากขึ้นยิ้มก่อนจะเอ่ยถาม อินซอบส่ายหน้า
“ผมสนิทกับพวกน้องๆ มากเลยครับ”
“ผมรู้ครับ”
เพราะอย่างนั้นอีอูยอนจึงเกลียดน้องๆ ของอินซอบมาก ความโกรธถาโถมเข้ามาทุกครั้งที่เห็นไอ้พวกผู้ชายที่เกี่ยวข้องกันทางกฎหมายแสดงความรักกับอีกฝ่าย
“แต่ตอนเด็กๆ พวกเราก็เคยทะเลาะกันอยู่บ้างครับ และทุกครั้งที่พวกเราทะเลาะกัน แม่ก็จะดุพวกเราใหญ่เลยครับ”
เรื่องที่อินซอบที่เรียบร้อยและใจดีทะเลาะกับน้องๆ อยู่นอกเหนือจินตนาการของเขา
ตอนนั้นคุณโกรธ ร้องไห้ และหัวเราะด้วยหน้าตาแบบไหนกันนะ
อีอูยอนลองจินตนาการถึงอินซอบตอบเด็กเงียบๆ หากดูจากการที่ไอ้นั่นของเขาคงจะปั่นป่วนอย่างแน่นอนแล้ว การที่ไม่ได้เกิดมาในบ้านหลังเดียวกันคงเป็นโชคดีของอินซอบ
“แต่พอทะเลาะกันแล้วผมก็ไม่ได้กังวลมากนักหรอกครับ ต่อให้ทะเลาะกันก็ไม่เป็นไร…เพราะเป็นพี่น้องกัน”
“…ผมก็คิดอย่างนั้นครับ”
ดังนั้นอีอูยอนจึงเกลียดพี่น้องของอินซอบมาก เพราะคนพวกนั้นสามารถรักษาความสัมพันธ์กับอินซอบไว้ได้ตลอดไปโดยไม่ต้องทำอะไรเลยเพียงเพราะเป็นพี่น้องกัน
“ผมก็อยากรู้สึกแบบนั้นตอนที่ทะเลาะกับคุณอีอูยอนเหมือนกันครับ”
“อยากเป็นพี่น้องกับผมเหรอครับ”
“ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น…ผมหมายถึงต่อให้ทะเลาะกันก็ไม่เป็นไรน่ะครับ”
อินซอบเงยหน้า จากนั้นก็พูดต่อด้วยแววตาจริงจัง
“ผมรู้ครับว่าคุณจงใจเว้นระยะห่างกับผมทุกครั้งที่โกรธ ผมรู้ว่าคุณตั้งใจทำแบบนั้น เพราะจะรู้สึกผิดทีหลังหากพูดจาร้ายๆ ออกมาแล้ว และกลัวว่าจะทำให้ผมเจ็บปวด ถึงแม้จะรู้…แต่บางครั้งผมก็กลัวครับ ผมกลัวว่าพอรู้ตัวอีกทีระยะห่างนั้นจะไม่สามารถลดลงมาได้แล้ว”
“…คุณอินซอบ”
“คุณจะพูดจาร้ายๆ ก็ได้นะครับ ปกติผมก็ร้องไห้ง่ายอยู่แล้ว แค่ร้องไห้นิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็แค่…”
อีอูยอนดึงอินซอบเข้ามากอดอย่างแนบชิด อินซอบพูดต่อพร้อมกับตบหลังอีอูยอนเบาๆ ไปด้วย
…แค่อยากให้มันไม่เป็นไร
“ขอโทษ”
อีอูยอนเอ่ย อินซอบรับฟังคำพูดของอีกฝ่ายเเงียบๆ
“ขอโทษนะครับที่ทำให้เจ็บปวด ผมพูดจาเลวร้ายมากเลยครับ”
เขาหน้ามืดตอนที่เห็นอินซอบพูดว่าจะพยายามไม่ป่วย แม้จะรู้ว่าตัวเองมีปฏิกิริยาเหมือนคนบ้ากับปัญหาด้านสุขภาพของอินซอบ แต่เขาไม่สามารถแก้ไขมันได้ง่ายๆ ความกังวลใจที่ว่าตัวเองอาจไม่สามารถรักษาคนสำคัญเอาไว้ได้ทำให้เขาเกิดความอ่อนล้าอย่างถึงที่สุด
“ขอโทษครับ”
อีอูยอนจูบเปลือกตาของอินซอบและขอให้ยกโทษให้อย่างต่อเนื่อง อินซอบยิ้มอย่างเขินอายก่อนจะจับมืออีอูยอน
ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่กำลังจมลงไปในทะเล แก้มกลมของอินซอบถูกแสงอาทิตย์ยามอัสดงแต่งแต้มและขึ้นสีสวย
“พอลองคิดดูแล้วมันก็ไม่แย่นะ”
จู่ๆ อีอูยอนที่ยืนมองผลงานชิ้นเยี่ยมอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้น
“อะไรเหรอครับ”
“การเป็นน้องชายของคุณน่ะ”
“…คุณอีอูยอนอายุมากกว่า แต่ทำไมผมถึงเป็นพี่ชายล่ะครับ”
อินซอบว่าพลางนึกถึงคำพูดคล้ายๆ กันที่อีอูยอนเคยพูดไว้
“เพราะถ้าเป็นน้องชาย คุณอินซอบก็จะอยู่ตรงหน้าทันทีที่ผมเกิดไงครับ”
คำตอบที่คาดไม่ถึงทำให้อินซอบจั๊กจี้ในอก ถ้าอีอูยอนเกิดเป็นน้องชายของตน เขาคงจะรักและเป็นห่วงมากกว่าใครจริงๆ…
“แล้วผมก็คิดว่าการมีอะไรกับพี่ชายก็สุดยอดมากด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า”
…ควรจะต้องเป็นห่วงเลยล่ะ
อีอูยอนที่หัวเราะอย่างก้องวังวานเอียงคอถามว่า “ทำไมครับ?” พร้อมกับสบตา
“เกลียดน้องชายแบบผมเหรอ”
“…ผมชอบครับ…แต่คงจะลำบากใจ”
มันจะกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในหลายๆ ความหมาย พวกเขาจะคบกันและรักกันได้อย่างไร
“ถ้าไม่อยากให้เป็นน้อง เราก็สามารถเป็นครอบครัวเดียวกันได้ด้วยวิธีอื่นนะครับ”
“คุณอูยอนจะเป็นพี่ผมเหรอครับ”
“เปล่าครับ แต่งงานต่างหาก”
“…!”
ใบหน้าของอินซอบแดงซ่าน กะพริบตาที่กลมโตอยู่ปริบๆ แล้วพูดอย่างตะกุกตะกัก
“…ปะ ประเทศของเรายังไม่มีกฎหมายเรื่องการแต่งงานของเพศเดียวกัน…”
อีอูยอนมองอินซอบด้วยสีหน้าที่บอกว่าพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่และกลั้นขำ
“ผมว่าบางครั้งคุณก็ลืมไปนะ ว่าคุณกับผมไม่ใช่คนเกาหลี มันไม่มีปัญหาทางกฎหมายเลยสักนิด”
เมื่อได้ยินภาษาอังกฤษอย่างกะทันหัน อินซอบจึงพึมพำว่า “อ้อ จริงด้วย” ด้วยใบหน้ามึนงง จากนั้นก็กัดปากซ้ำๆ ด้วยความสับสนวุ่นวายใจ
“ผมไม่ได้จะขอแต่งงานตอนนี้นะครับ ไม่จำเป็นต้องกลัวขนาดนั้นหรอก”
“ผมไม่ได้กลัวครับ…”
อีอูยอนยิ้มร่าโดยไม่พูดอะไร
“ผมรู้ครับว่าคุณหมายถึงอะไร ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันนะครับ ไว้ค่อยตอบอย่างจริงๆ จังๆ ตอนนั้นก็ได้”
“…เข้าใจแล้วครับ”
ดวงอาทิตย์ที่แบ่งแสงสว่างของตัวเองให้กับสิ่งรอบข้างจมหายไปในทะเลโดยไม่รู้ตัว
“กลับกันไหมครับ ลมเริ่มจะเย็นแล้ว”
อีอูยอนว่าพลางใช้หลังมือลูบแก้มของอินซอบที่ขี้หนาว แม้จะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่อินซอบก็พยักหน้า
***
แล้ววันสุดท้ายของการหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ที่เหมือนฝันก็มาถึง เนื่องจากต้องขึ้นเครื่องบินในวันพรุ่งนี้เช้า อินซอบจึงเก็บของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ถ้ากลับเกาหลีไปแล้วคงจะยุ่งสักระยะเลยนะครับ”
เนื่องจากอินซอบเหมือนจะชอบรีสอร์ตแห่งนี้ อีอูยอนจึงขยายช่วงเวลาหยุดพักออกไป แน่นอนว่ากรรมการผู้จัดการคิมบ่นไม่หยุด ปกติแล้วหลังละครจบ นักแสดงจะยุ่งที่สุดทันที เพราะต้องโฟกัสกับการให้สัมภาษณ์ การถ่ายนิตยสาร และการถ่ายโฆษณาก่อนที่กระแสของละครจะหายไป
กรรมการผู้จัดการคิมโวยวายว่าถ้าจะเป็นแบบนั้นจะมาเป็นดาราทำไม และสั่งให้ลาออก ได้ฟังดังนั้น อีอูยอนก็ยิ้มและทำให้ความขุ่นเคืองของอีกฝ่ายปะทุออกมาด้วยการบอกว่า “ทำไมน่ะเหรอครับ ผมก็ทำเป็นงานอดิเรกเพื่อที่จะดูดีในสายตาของคุณอินซอบยังไงล่ะครับ” แม้สุดท้ายจะจบลงด้วยการถ่ายโฆษณาเพิ่มอีกหนึ่งชิ้น แต่แน่นอนว่าเขาจะมีวันที่ยุ่งไปอีกระยะหนึ่ง
“โล่งอกไปทีนะครับที่จบลงด้วยดี”
“ทำได้ดีสมกับที่เป็นคนสุดโต่งไหมครับ”
“…คุณอูยอน”
อีอูยอนหัวเราะ ช่วงนี้อีอูยอนมักจะสนุกกับการแกล้งอินซอบแบบนั้นอยู่บ่อยๆ
“ว่าแต่นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะครับที่จะได้กินอาหารที่นี่ ผมเริ่มจะเบื่อแล้วล่ะ”
การที่ต้องจัดการทุกอย่างให้อยู่ภายในนั้นเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของรีสอร์ตแบบรวมบริการทุกอย่าง ถ้าได้ลองใช้ชีวิตไปนานๆ ก็เป็นธรรมดาที่จะเบื่ออาหารของร้านอาหารแค่ร้านเดียว
“มีของที่อยากกินตอนที่กลับถึงเกาหลีไหมครับ”
“…”
“คุณอินซอบ”
อีอูยอนโบกมือหน้าอินซอบพร้อมกับเอ่ยเรียก อินซอบตกใจและเงยหน้าขึ้นมา
“ผมบอกว่าถ้ากลับเกาหลีแล้วเราไปกันปลาหมึกผัดเผ็ดกันเถอะครับ”
“…ครับ?”
ไม่ได้ตั้งใจฟังอยู่จริงๆ ด้วยสินะ
อีอูยอนหั่นสเต๊กและยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ล้อเล่นครับ” อินซอบเป็นแบบนั้นอยู่ตลอดมื้อเย็น เขากระวนกระวายและยุ่งอยู่กับการล้วงมือเข้าออกกระเป๋า แม้แต่ตอนที่คุยกันอยู่ เขาก็มัวแต่เหม่อลอยคิดถึงเรื่องอื่น
[1] Sweetheart Rock หรือรู้จักกันในชื่อว่า Pu’u Pehe