“กินอะไรเป็นของหวานดีครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม อินซอบส่ายหน้า
“ผมไม่ค่อยอยากกินเท่าไรครับ”
“โอเคครับ”
อีอูยอนเรียกพนักงานและบอกว่าไม่ต้องเอาของหวานมาเสิร์ฟ คนทั้งคู่ลุกขึ้นหลังจากที่กินอาหารเสร็จ
“คุณอูยอน”
อีอูยอนหันกลับมามอง
“ไปเดินเล่นกันหน่อยไหมครับ”
อินซอบเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหม่าอย่างถึงที่สุด อีอูยอนพยักหน้า มือข้างขวาของอินซอบยังคงอยู่ในกระเป๋า
มีอะไรอยู่ในนั้นกันนะ ตอนนี้เขากำลังตั้งสมาธิเพื่อจะใช้ปืนยิงและหนีไปหรือเปล่า
อีอูยอนยิ้มและแกล้งทำเป็นไม่รู้ก่อนจะดึงมือของอินซอบที่อยู่ในกระเป๋าออกมา แม้อินซอบจะตกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่สะบัดมือออก
คนที่เจอในที่แห่งนี้ตลอดหนึ่งสัปดาห์มีแค่ครอบครัวชาวนอร์เวย์ที่เที่ยวเล่นกันสามอายุคนกับคู่รักชาวแคนาดาเท่านั้น และไม่มีใครสนใจคนสองคนที่มาเดินเล่นตอนกลางคืนเลย
พวกเขาเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปตามทะเลสาบเล็กๆ และอีอูยอนก็รอว่าอินซอบจะปริปากตอนไหน
“คุณอูยอน”
“หืม”
“คือผมลองคิดดูแล้วนะครับ แน่นอนว่าความคิดของผมคงไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่…ยังไงผมก็ลองคิดดูแล้วครับ”
อินซอบมักจะเกริ่นคำพูดที่ไม่จำเป็นก่อนเสมอในตอนที่จะพูดเรื่องที่พูดออกมาได้ยาก และอีอูยอนก็มักจะพยักหน้าให้โดยแกล้งทำเป็นไม่รู้เสมอ เพราะขนาดการกระทำนั้นยังน่ารักมากสำหรับเขา
“ผมเคยบอกว่าอยากจะให้มันไม่เป็นไรกับคุณอูยอนไปเรื่อยๆ ใช่ไหมครับ
“ครับ ใช่ครับ”
“…แต่เหมือนมันจะไม่ง่ายเลยครับ”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ”
จะง่ายได้ยังไงในเมื่อเราเป็นคนสารเลวขนาดนี้
อีอูยอนยิ้มอย่างขมขื่นและเห็นด้วยกับคำพูดของอินซอบ ต่อให้อินซอบพูดแบบนั้น เขาก็ยังชอบ
ทั้งคำพูดที่บอกว่าแค่อยากให้มันไม่เป็นไร ทั้งตัวคุณที่พูดแบบนั้น ทั้งท้องฟ้าในช่วงเวลานั้น และกลิ่นของอากาศ…แค่คิดถึงเรื่องพวกนั้นเขาก็รู้สึกดีแล้ว
“แม้ว่าผมจะโอเคหลังจากที่ทะเลาะกับพวกน้องๆ เพราะพวกเขาเป็นน้อง แต่แน่นอนว่าหลังจากทะเลาะกับคุณอูยอนแล้ว ทั้งผมทั้งคุณอีอูยอน…เพราะฉะนั้นที่ผมจะพูดก็คือ…”
อินซอบหยิบกล่องเล็กๆ ออกจากกระเป๋าและยื่นให้
“มันคืออะไรเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม อินซอบรีบเปิดฝากล่อง ภายในมีแหวนสีเงินที่ซื้อจากร้านขายของที่ระลึกวางอยู่
“ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน หรือต่อให้พวกเราทะเลาะกัน หากจะเป็นความสัมพันธ์ที่สามารถคงอยู่ได้…ผมคิดว่ามันจะไม่เป็นไร…”
อีอูยอนจ้องอินซอบโดยไม่พูดอะไร ไม่มีแม้กระทั่งการเปลี่ยนสีหน้าด้วยซ้ำ อินซอบหน้าซีดเพราะคิดว่าตัวเองแยกเรื่องล้อเล่นกับเรื่องจริงไม่ออก และเผลอทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ลงไปหรือเปล่า
“ขอแต่งงานเหรอครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามทำลายความเงียบ เขาทำหน้าเหมือนโกรธ
“ขะ ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าคุณล้อเล่น…ขอโทษครับ”
อินซอบกำลังจะเก็บกล่องใส่กระเป๋าตามเดิม แต่อีอูยอนกลับฉวยของมือของอินซอบไว้
“จะไม่เป็นไรเหรอครับ”
“ครับ?”
“…ผมถามว่าต่อให้เป็นผมก็ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอครับ”
ปลายนิ้วของอีอูยอนที่กำข้อมือของอินซอบไว้สั่นเล็กน้อย ในตอนนั้นเองอินซอบถึงตระหนักได้ว่าอีอูยอนไม่ได้โกรธ แต่กำลังประหม่ามากต่างหาก
“คุณอูยอน…เป็นอะไรเหรอเปล่าครับ”
อินซอบเอ่ยถาม
ไม่ใช่ว่าเขาสงสัยในความรู้สึกของอีอูยอน แต่เขายังไม่สามารถลบความคิดที่ว่าตัวเองยังดีไม่พอสำหรับอีกฝ่ายออกไปได้ต่างหาก เขาไม่รู้ว่ามันจะดีหรือเปล่าที่ตัวเขาที่มีร่างกายอ่อนแอทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย และเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรจะอยู่ข้างอีกฝ่ายไปทั้งชีวิต…
“ผม…”
อีอูยอนนิ่วหน้าราวกับการพูดต่อเป็นเรื่องน่าเจ็บปวด
“ผมไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าคุณยังชอบผมอยู่ เป็นแบบนั้นได้ยังไง…”
น้ำเสียงของอีอูยอนที่มักจะเนิบช้าและผ่อนคลายอยู่เสมอแหบแห้ง เขาเป็นผู้ชายที่ไม่กลัวอะไร ทั้งยังมีพร้อมทุกอย่าง ทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายซึ่งเป็นแบบนั้นทำตัวไม่ถูกเหมือนเด็กหนุ่มที่ไม่ประสา อินซอบจะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในลำคอ
อินซอบอยากถาม
ผมจะไม่รักคุณที่เป็นแบบนั้นได้ยังไง
“คุณอูยอน”
อินซอบเอ่ยเรียกชื่อของคนรักเบาๆ จากนั้นก็คุกเข่าข้างหนึ่ง และยื่นกล่องใส่แหวนให้
“…แต่งงานกับผมได้ไหมครับ”
แหวนเป็นแหวนคุณภาพต่ำที่ซื้อมาจากร้านขายของที่ระลึก และนี่ก็เป็นการของแต่งงานที่เรียบง่ายโดยไม่มีเพลงเพราะๆ ดอกไม้ ลูกโป่ง หรือเรื่องเซอร์ไพรส์ที่มักจะมีให้เห็นดาษดื่นเลย
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สนใจ ถ้าอีอูยอนบอกว่าดี เขาก็คิดว่ามันไม่เป็นไร…
อีอูยอนมองอินซอบที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่ตรงหน้า และพยักหน้า
“ช่วยสวมให้หน่อยได้ไหมครับ”
อีอูยอนว่าพลางยื่นมือซ้ายของตัวเองออกไป อินซอบรีบลุกขึ้น และสวมแหวนลงบนนิ้วนางของอีอูยอน แต่แหวนที่ซื้อมาโดยไม่รู้ไซซ์กลับติดอยู่ตรงข้อนิ้วและไม่สามารถใส่เข้าไปได้จนสุด อินซอบโอดครวญพร้อมกับดันแหวนเข้าไป แต่ถึงอย่างนั้นแหวนก็ไม่ขยับ สุดท้ายอีอูยอนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“ขอโทษครับ ถ้ากลับถึงเกาหลีแล้วผมจะวัดไซซ์และซื้อแหวนที่ดีกว่านี้ให้…”
“ฮ่าๆๆๆ ไม่ต้องครับ เพราะผมชอบแหวนวงนี้มาก”
อีอูยอนขยับแหวนที่ติดอยู่กลางนิ้วของตนดูพลางยิ้ม ใบหน้าของอินซอบแดงขึ้นเรื่อยๆ
“จูบสาบานล่ะ?”
อีอูยอนเคาะแก้มของตัวเองพลางเอ่ยถาม ตอนที่อินซอบยื่นริมฝีปากเข้าไปเพื่อจะหอมแก้ม อีอูยอนก็หันหน้ามาและประกบริมฝีปากแทน นี่เป็นจูบที่นุ่มนวลชวนให้จั๊กจี้เท้า อีอูยอนใช้ฝ่ามือหนาของตนกุมแก้มของอินซอบไว้และขยับริมฝีปากอย่างต่อเนื่อง
“อินซอบ”
สิ้นเสียงเอ่ยเรียก อินซอบก็ลืมตาขึ้นช้าๆ เขาเห็นอีอูยอน อีกฝ่ายกำลังมองตนด้วยรอยยิ้ม หากได้รักและถูกรัก ไม่ว่าอะไรก็ดีทั้งนั้น เพราะเขาคิดว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร…อีอูยอนกระซิบที่ข้างหูของอินซอบอีกสองสามคำ อินซอบร้องไห้พร้อมกับพยักหน้าเบาๆ อีอูยอนจึงพูดว่า “ทำไมถึงร้องไห้ในวันที่ดีแบบนี้ล่ะครับ” และตบหลังอินซอบเบาๆ
บนท้องฟ้าที่สลัวเล็กน้อยมีดาวอยู่ไม่กี่ดวง และแมลงก็ร้องระงมพร้อมกับลมยามค่ำคืนที่หอบเอากลิ่นหญ้ามาด้วย
ค่ำคืนนี้แม้จะธรรมดาจนไม่เหลืออยู่ในความทรงจำ แต่ก็เป็นค่ำคืนที่สมบูรณ์แบบ
***
หัวหน้าทีมชาตั้งใจจะเปิดวิทยุ พอนึกถึงอีอูยอนที่นั่งอยู่ข้างหลัง เขาก็เก็บมือลงด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
“เปิดได้ครับ”
“…”
หมอนี่เป็นอะไร
หัวหน้าทีมชาเหลือบมองอีอูยอนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยก่อนจะเปิดวิทยุ อีอูยอนพลิกหน้ากระดาษและฮัมเพลงที่ดังออกมาจากวิทยุ
“…อีอูยอน ฉันไม่ได้ห่วงนายหรอกนะ แต่ถ้าจะให้พูดอะไรสักอย่างก็ล่ะก็ ไปบำบัดสาร…”
“กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ครับ คิดว่าผมใช้ยางั้นเหรอครับ”
อีอูยอนหงุดหงิดและทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ถ้าดูจากลักษณะท่าทางแบบนั้นแล้ว เขาคือไอ้คนเฮงซวยอีอูยอนไม่ผิดแน่
หัวหน้าทีมชาเหลือบมองด้านหลังผ่านกระจกมองหลังอยู่ตลอดเวลา
หลังจากกลับจากฮาวาย อีอูยอนก็ไม่ต่อล้อต่อเถียงกรรมการผู้จัดการคิมสักคำ ทั้งยังทำตัวว่านอนสอนง่าย เขาถ่ายโฆษณาถึงสองชิ้น และบอกว่าจะถ่ายเพิ่มอีกชิ้นด้วย แม้กระทั่งวันนี้ก็ให้สัมภาษณ์เสร็จไปถึงสามที่แล้วเหมือนกัน ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะที่ขึ้นมาบนรถวันนี้ อีอูยอนยังทักทายหัวหน้าทีมชาว่า “อรุณสวัสดิ์” ด้วย
อรุณสวัสดิ์งั้นเหรอ ไอ้บ้าเอ๊ย ฉันขับรถรับส่งแกมาตั้งกี่ปีแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นวันแย่ๆ ทั้งหมดหรือไง จะต้องไปกินอะไรผิดสำแดงมาแน่ๆ แต่ไม่ใช่ยา …หรือว่าดื่มเหล้ามาเหรอ?
“หัวหน้าทีม”
“มีอะไร”
หัวหน้าทีมชาที่สูดจมูกดังฟืดฟาดเอ่ยตอบอย่างตื่นตกใจ
“ฮาอึนสบายดีไหมครับ”
“ฮาอึน?”
“อึนซอกับมินจุน แล้วก็เด็กที่เข้าเรียน ม.ปลายรอบนี้คือจียุลใช่ไหมครับ”
“พูดเรื่องอะไร…ทำไมนายถึงรู้จักชื่อหลานของฉันทุกคนเลยล่ะ”
อีอูยอนยิ้มอย่างสดใสก่อนโต้ตอบ
“เพราะผมสงสัยว่าใครที่กำลังคบหากับคุณอินซอบอย่างจริงจังจนถึงขั้นจะแต่งงานน่ะครับ”
ดูเหมือนเขาจะได้ยินบทสนทนาในวันนั้น
“นี่! ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ! ว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้นมา! ไอ้คนไม่รู้จักบุญคุณ!”
“ช่างหัวบุญคุณอะไรนั่นเถอะ ต่อไปก็ช่วยห้ามไม่ให้เด็กพวกนั้นมาโผล่แถวๆ บริษัทของเราด้วยนะครับ”
“เด็กที่อายุมากที่สุดในบรรดาหลานของฉันคือจียุลที่เพิ่งขึ้น ม.ปลายนะ นี่เป็นคำพูดที่ไม่มีเหตุผลเลย ต่อให้เขามีโอกาสมาเที่ยวเล่นที่บริษัท…”
อีอูยอนเชิดหน้าและรอคำพูดที่จะตามมา เขามีรูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามเกินไปสำหรับคนบ้าที่โหดร้าย เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าหลานๆ ที่เป็นเด็กจะต้องถูกใครสักคนขโมยหัวใจไปหากมาเล่นที่บริษัท เพราะยิ่งเด็กเท่าไรก็ยิ่งถูกสิ่งที่เป็นประกายล่อลวงมากเท่านั้น
“…ไม่มาหรอก พวกเขาจะไม่มาเด็ดขาด เพราะฉะนั้นเลิกสนใจได้แล้ว”
“ฮ่าๆๆ ได้ครับ งั้นผมจะเชื่อหัวหน้าทีม และจะไม่กังวลอีกครับ”
หัวหน้าทีมชาถอนหายใจ และตำหนิอีอูยอนว่า “นายกำลังบอกว่าตัวเองเป็นห่วงเรื่องนั้นเหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้วสิครับ”
อีอูยอนพลิกหน้ากระดาษไปหน้าหนึ่งก่อนจะย้อนตอบ
“คนอย่างผมยังร่วงลงไปเลย ก็ไม่แปลกหรอกครับที่ใครจะตกหลุมรักเขาได้เหมือนกัน”
“…”
โอ๊ย หวานมากซะจนหูฉันเน่าหมดแล้ว
หัวหน้าทีมชาเพิ่มเสียงวิทยุด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่อีอูยอนที่คิดว่าจะพูดว่าหนวกหูกลับอ่านหนังสือโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หัวหน้าทีมชาเหลือบมองอีอูยอนอีกครั้ง อีกฝ่ายไม่ได้ต่างไปจากปกติมากนัก หากตัดเรื่องใบหน้าที่เกรียมแดดเล็กน้อยจากแดดที่ฮาวายซึ่งทำให้ดูสมเป็นชายชาตรีขึ้นออกไป
อีอูยอนอ่านหนังสือพร้อมกับลูบแหวนที่สวมไว้ที่นิ้วนางของตัวเองอย่างเคยชิน
“นั่นมันอะไรน่ะ ที่นายใส่ไว้ที่นิ้ว”
หัวหน้าทีมชาเอ่ยถาม
“แหวนแต่งงานครับ”
อีอูยอนตอบโดยไม่เงยหน้า
พูดจาไร้สาระไม่หยุดเลย…เฮ้อ ให้ตายเถอะ อย่าพูดดีกว่า
หัวหน้าทีมชาถอนหายใจก่อนจะหันหน้ากลับไปมองตรงๆ ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็โผล่เข้ามาในหัว เขาจึงเอ่ยเรียกอีกฝ่าย
“มีอะไรครับ”
“บอกว่ามีธุระแล้วทำไมไม่ลงจากรถไปล่ะ”
หลังจากสัมภาษณ์เสร็จ อีอูยอนก็ยื่นที่อยู่มาให้และขอให้พาไปตามที่อยู่นั้นเพราะมีธุระ และยื่นที่อยู่ให้ เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออีกประมาณสองชั่วโมงกว่าจะถึงการสัมภาษณ์อีกอันหนึ่ง หัวหน้าทีมชาจึงขับรถมาโดยไม่พูดอะไร
“เพราะเขายังไม่ออกมาก็เลยไม่ลงไปน่ะสิครับ”
“ใคร…”
ในขณะที่กำลังจะถามว่าใครยังไม่ออกมา เขาก็เห็นอินซอบเดินออกมาจากตึกของสถานรับเลี้ยงเด็ก
“เขาไม่ยอมบอกผม แต่ผมรู้มาว่าเขามาทำกิจกรรมอาสาที่นี่เป็นบางครั้งครับ เป็นอาสาสอนภาษาอังกฤษ”
“เฮ้อ เป็นคนที่ยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งเป็นคนใจดีจริงๆ”
หัวหน้าทีมชามองอินซอบที่หัวเราะและพูดคุยกับคนที่สถานรับเลี้ยงเด็กพลางชื่นชม
“ว่าแต่อินซอบไม่บอกแล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเขามาที่นี่”
อีอูยอนเอาจุดสีแดงที่กะพริบอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้ดูแทนคำตอบ
“…นายรู้ไหมว่าการสะกดรอยตามเป็นเรื่องผิดกฎหมาย”
พอลองคิดดูแล้ว ที่ฮาวายเองอีอูยอนก็รู้ตำแหน่งที่อินซอบกำลังจะไปราวกับผีบอกเหมือนกัน
“สะกดรอยตามเหรอครับ นี่เป็นความใส่ใจที่แฝงไปด้วยความรักต่างหาก”
“ถ้าอินซอบรู้…”
หัวหน้าทีมชาที่กำลังจะต่อว่าว่า “เขาอาจจะไม่ชอบ เพราะมันน่ารังเกียจก็ได้” ปิดปากสนิท เขาเห็นอีอูยอนนั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง ทำตาเป็นประกายและกลั้นยิ้มไว้ราวกับเป็นเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความขี้เล่น
…ชอบขนาดนั้นเลยเหรอ
“ต่อให้เขารู้ผมก็ไม่สนใจหรอกครับ”
“ว่าไงนะ”
“เพราะผมจะไม่หย่าให้”
หัวหน้าทีมชาหันกายกลับไปยังตำแหน่งเดิม เขาคิดว่าอีกฝ่ายเอาแต่พูดเพ้อเจ้อมาตั้งแต่เมื่อกี้เหมือนกินอะไรผิดสำแดงมา อีอูยอนดึงดอกกุหลาบออกมาจากช่อดอกไม้หนึ่งดอก ช่อดอกไม้นี้เขาได้รับมาจากนักข่าวที่สัมภาษณ์เขาวันนี้และบอกว่าเป็นแฟนคลับของเขา
“อีกหนึ่งชั่วโมงค่อยมาที่นี่นะครับ”
“เฮ้ย นายสาย…”
อีอูยอนเปิดประตูรถและลงจากรถไปก่อนที่เขาจะทันได้พูดว่า “สายไม่ได้” จบ อีอูยอนที่ดึงหมวกลงมาปิดหน้าเดินเข้าไปและแกล้งใช้เข่าของตัวเองกระแทกข้อพับเข่าของอินซอบ พอตัวของอินซอบล้มลงไปด้านหน้า อีอูยอนก็รีบรับอีกฝ่ายไว้และหัวเราะอย่างมีความสุข พอเห็นภาพนั้น หัวหน้าทีมชาก็รีบหยิบแว่นกันแดดออกมาใส่
โอ๊ย แสบตา
พออีอูยอนใช้ดอกกุหลาบเคาะหัวอินซอบเบาๆ และพูดอะไรบางอย่าง อินซอบมองไปรอบๆ อย่างตื่นตกใจ ต่อให้ไม่ได้ยินก็รู้ว่าอีอูยอนจะต้องพูดคำพูดลามกที่ไม่สมควรพูดออกมาอีกแน่ๆ…โชคดีแล้วล่ะที่ไม่ได้ยิน
หัวหน้าทีมชาเดาะลิ้นพลางส่ายหน้า เขาไม่อยากกังวลเรื่องสองคนนั้นอีกต่อไปแล้ว และเขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจด้วย
ยังไงก็เป็นความรักของคนอื่นอยู่แล้ว
เพลงรักที่ไม่รู้จักชื่อดังออกมาจากวิทยุ หัวหน้าทีมชาฮัมเพลงพร้อมกับออกรถ
ก้อนเมฆของช่วงบ่ายที่แสนจะผ่อนคลายลอยผ่านหน้าต่างรถด้านข้างไป
< Side Story < Love Story > จบ >