สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มอย่างขมขื่น “เพราะเช่นนี้ข้าถึงได้ปวดหัว” จากนั้นก็ลงจากเตียงเตาแล้วเดินออกไปข้างนอก
สวีลิ่งอี๋กำลังแปลกใจ ก็เห็นนางโน้มตัวไปหยิบกระดาษ ในมือถือจานรองหมึก บนจานรองหมึกมีกล่องพู่กันไม้ไผ่สีเหลืองขนาดใหญ่เดินเข้ามา
“เจ้าจะทำอะไร” เขารีบเดินไปรับจานรองหมึกและกล่องพู่กันมา
มันหนักไม่เบา
สืออีเหนียงสะบัดข้อมือ จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณสวีลิ่งอี๋เบาๆ “เราต้องคิดให้ดีเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่เข้าใจ
สืออีเหนียงเดินไปนั่งบนเตียงเตา พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มฝนหมึก
ข้อมือและนิ้วที่เรียวยาว ฝนไปสองสามทีแต่น้ำก็ยังลอยอยู่บนจานรองหมึก
สวีลิ่งอี๋จึงจับหินฝนหมึกมา “ข้าทำเอง”
สืออีเหนียงไม่ได้ปฏิเสธเขา นำกระดาษวางไว้บนโต๊ะบนเตียงเตา มองดูน้ำใสๆ กลายเป็นสีดำ หยิบพู่กันขึ้นมาจิ้มหมึก เขียนคำว่า “จัว” ลงบนกระดาษ จากนั้นก็เขียนคำว่า “หวัง” “หลี่” และ“เจี่ยง”
คำว่าจัวหมายถึงสกุลใต้เท้าจัว คำว่าหวังหมายถึงสกุลเดิมของโจวฮูหยิน คำว่าหลี่หมายถึงสกุลผู้บัญชาการหลี่ ทั้งสามสกุลนี้ล้วนแต่มาสู่ขอเจินเจี่ยเอ๋อร์ ส่วนคำว่าเจี่ยงหมายถึงหลานสาวของเจี่ยงเฟยอวิ๋น สกุลนี้อยากแต่งงานกับอวี้เกอ
สวีลิ่งอี๋จึงเข้าใจเจตนาของนาง เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างแผ่วเบา
สืออีเหนียงทำอะไรก็เป็นระเบียบ
เขาชี้ไปที่คำว่าเจี่ยง “สกุลนี้ช่างมันเถิด”
บิดามารดาเสียชีวิตไปแล้ว คิดดูแล้ว น่าจะเป็นคนดวงไม่ดี ไม่แปลกที่สวีลิ่งอี๋จะเอาสกุลนี้ออกเป็นสกุลแรก
สืออีเหนียงพยักหน้า วาดวงกลมตรงคำว่าเจี่ยง
เหลือแค่คำว่าจัว หวังและหลี่
“เช่นนี้ก็ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ” นางพูด “จัดการเรื่องแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์เรียบร้อยแล้วค่อยจัดการเรื่องแต่งงานของอวี้เกอก็ไม่สาย”
แต่สวีลิ่งอี๋กลับพูดว่า “เกรงว่าสกุลเจี่ยงก็คิดว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงให้เจี่ยงฮูหยินมาฟังน้ำเสียงของเจ้า”
“หมายความว่าเช่นไรเจ้าคะ” สืออีเหนียงนึกถึงท่าทีของเจี่ยงฮูหยิน นางดูจริงใจ
“หากพวกเขาคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้เหมาะสม พวกเขาก็จะทำเหมือนเหล่าจัว” สวีลิ่งอี๋พูด “คนหนึ่งมาฟังน้ำเสียงของเจ้า อีกคนหนึ่งไปบอกข้า”
สืออีเหนียงครุ่นคิด คิดว่าที่สวีลิ่งอี๋พูดก็มีเหตุผล
เจี่ยงฮูหยินไม่เพียงแต่ชื่นชมว่าหลานสาวของตัวเองเย็บปักถักร้อยเก่งต่อหน้าสืออีเหนียง แม้แต่สินเดินของหลานสาวมีเท่าไรก็บอกนางอ้อมๆ
บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่าสวีซื่ออวี้เป็นบุตรอนุคนโต สืออีเหนียงคงจะไม่สนใจ แค่เห็นว่าสินเดิมของฝ่ายหญิงมีมากพอ สวีลิ่งอี๋พอใจ เรื่องแต่งงานก็คงจะสำเร็จ
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงสกุลจัว “…จัวฮูหยินแค่บอกว่าคุณชายจัวได้รับความโปรดปรานจากท่านพ่อของเขามาก แต่ไม่ได้บอกเรื่องอื่น ใต้เท้าจัวพูดอะไรกับท่านบ้างเจ้าคะ”
“พูดเหมือนกัน” สวีลิ่งอี๋พูด “เหล่าจัวบอกว่าหากได้แต่งงานกัน เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็จะเข้าไปเป็นคุณนายดูแลจวน แล้วเขายังมีธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ในนามของตัวเอง ถึงตอนนั้นก็จะมอบให้บุตรชายคนโต ตอนแต่งงานก็จะเขียนไว้ในรายการของขวัญอย่างชัดเจน ไม่มีทางให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เสียเปรียบแน่นอน”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
“เหล่าจัวเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา พูดจาตรงไปตรงมา ข้าไม่สงสัยเขา” สวีลิ่งอี๋พูด “แล้วเขายังมีตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการ ขุนนางระดับสี่ ตอนนั้นข้าไม่ได้ตอบตกลงก็เพราะว่าอยากจะเจอบุตรชายของเขาก่อน ตอนนี้โลกเราสงบสุข ไม่มีสงครามให้สู้รบ หากอยากเลื่อนตำแหน่ง คงจะต้องดูที่สังคม ลูกสะใภ้คนหนึ่งเท่ากับบุตรชายครึ่งหนึ่ง ข้าไม่มีทางยืนมองอยู่นิ่งๆ แน่นอน และยิ่งไม่มีทางทำให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ลำบากใจ”
สืออีเหนียงหัวเราะ
ไม่เหมือนกับรอยยิ้มอันแผ่วเบาที่งดงามของวันธรรมดา สายตาของนางเต็มไปด้วยความพอใจ สายตาเป็นประกายยิ่งทำให้นางดูซุกซน
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็แปลกใจ อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก “ทำไมหรือ”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงโบกมือ นางหัวเราะหนักกว่าเดิม
นางนึกถึงหลี่ฮูหยินขึ้นมา…
หากสกุลสวีและสกุลจัวแต่งงานกัน สิ่งที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ต้องเจอคงจะเหมือนกับหลี่ฮูหยิน
สืออีเหนียงสามารถจินตนาการความเก่งกาจของหลี่ฮูหยินออก แต่กลับจินตนาการท่าทีที่ดุร้ายของเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ออก
สวีลิ่งอี๋มองดูนางด้วยใบหน้าที่สับสน
สืออีเหนียงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่าตลก
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด ก้มหน้าลงมองเสื้อผ้าของตัวเอง เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ นึกถึงเมื่อครู่ที่ตัวเองฝนหมึก เขาจึงตะโกนบอกให้สาวใช้นำกระจกเข้ามา
สืออีเหนียงตกใจ จากนั้นนางถึงได้รู้ว่าสวีลิ่งอี๋เข้าใจผิดแล้ว
นางรีบโบกมือ “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่ ข้าแค่นึกถึงหลี่ฮูหยินขึ้นมาเจ้าค่ะ”
“หลี่ฮูหยิน” สวีลิ่งอี๋ตกใจ “หลี่ฮูหยินเป็นอะไรหรือ”
พูดจบ เขาก็เข้าใจทันที
มองดูดวงตาที่เป็นประกายภายใต้แสงไฟของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วส่ายหน้า “เจ้ากล้าหยอกล้อข้า”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่” สืออีเหนียงปฏิเสธ
นางอดไม่ได้ที่จะเม้มปาก
ริมฝีปากของนางแดงขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย ความรู้สึกที่ถูกมองข้ามค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาในร่างกายของเขา
รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไป สายตาเป็นประกายขึ้นมา
สืออีเหนียงก้มหน้าลงแล้วพูดติดๆ ขัดๆ “…เช่นนั้น เราจะไปเจอคุณชายใหญ่สกุลจัวหรือไม่เจ้าคะ…” จากนั้นก็วาดวงกลมลงบนกระดาษ
สวีลิ่งอี๋ดึงพู่กันในมือนางออกมาเบาๆ ทิ้งมันลงบนโต๊ะ จากนั้นก็อุ้มนางมานั่งในอ้อมแขนของตัวเอง “ประเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
สืออีเหนียงจับเสื้อของเขาไว้แน่น
“ไฟเจ้าค่ะ…”
ทันใดนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิดทันที
ผ่านไปครู่หนึ่งสืออีเหนียงถึงได้ปรับสายตาของตัวเองได้
สืออีเหนียงสับสน นางดิ้นไปมาอย่างไม่สบายตัว
“ไม่สบายตัวหรือ” สวีลิ่งอี๋ถามนางเบาๆ จากนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหว
นางตกใจ จู่ๆ ก็ใจสั่น
“เปล่าเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างอ่อนโยน มีความเขินอาย
สวีลิ่งอี๋ชอบใจ
สืออีเหนียงหลับตาลง
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าความรู้สึกของตัวเองได้รับความเคารพ ร่างกายของตัวเองได้รับความชื่นชอบ อารมณ์ของตัวเองได้รับความดูแล…ส่วนตัวเองได้รับความหวงแหน
เสียงนาฬิกาไขลานแกว่งไปมาเบาๆ จากระยะไกล พู่กันที่เปื้อนหมึกก็ตกลงบนกระดาษเบาๆ ทั้งหมดล้วนแต่ดูเงียบสงัด
******
“ท่านดูสิเจ้าคะ นี่คือสถานการณ์ของสกุลจัว!” สืออีเหนียงยื่นกระดาษให้สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋มือหนึ่งถือแว่นขยาย อีกมือหนึ่งถือกระดาษ หันหน้าไปข้างหน้าต่างแล้วอ่านอย่างระมัดระวัง
การสนทนากับสวีลิ่งอี๋สิ้นสุดลงแล้ว เช้าวันต่อมาก็ได้รับเทียบเชิญของใต้เท้าจัว
“เมื่อวานพูดถึงเรื่องแต่งงานของพวกเด็กๆ วันนี้เชิญท่านไปงานเลี้ยง คงอยากให้ท่านไปเจอเด็กๆ สกุลเขาเจ้าค่ะ”
ทันทีที่ตื่นนอน สืออีเหนียงถือถ้วยนมแพะและเมล็ดถั่วเอนตัวลงบนเตียงเตาข้างหน้าต่างด้วยความเกียจคร้าน
“ไปเจอก็ไปเจอ!” สวีลิ่งอี๋ไปฝึกฝนการต่อสู้ตั้งแต่เช้า เขาเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อสีฟ้าคราม ทำให้ดูสง่างามขึ้นไม่น้อย
“หากไม่ถูกใจเล่า” สืออีเหนียงถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านกับใต้เท้าจัวสนิทสนมกันขนาดนี้…”
นางกลัวว่าเขาจะเห็นแก่ความสัมพันธ์แล้วตอบตกลง
“เรื่องอันใดก็ไม่ควรตัดสินใจโดยพลการ” สวีลิ่งอี๋มองดูสืออีเหนียงที่สีหน้าเป็นมิตร สายตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
คนสามารถไม่เห็นแก่ตัว แต่กลับไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ลำเอียง!
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้
“เหล่าจัวไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ว่าจัวฮูหยินอาจจะลำบากหน่อย” เขาพึมพำ “หากเรื่องนี้สำเร็จทุกคนคงจะดีใจ แต่หากไม่สำเร็จ…เราต้องหาข้ออ้างดีๆ เพราะเช่นไรนางก็มาบอกเจ้าแล้ว”
ใช่แล้ว หากสกุลที่โจวฮูหยินแนะนำก็ไม่ถูกใจ จะปฏิเสธเช่นไร กลับเป็นปัญหาใหญ่อีกแล้ว
ความคิดวาบขึ้นมา สืออีเหนียงก็นึกถึงไท่ฮูหยิน
เหตุใดถึงลืมนางไปได้
“หรือว่า เราไปถามความคิดเห็นจากท่านแม่ดีหรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงสายตาเป็นประกาย “ท่านแม่มีประสบการณ์มากกว่าเรา ท่านมองคนออกเจ้าค่ะ”
“ก็ได้” สวีลิ่งอี๋พูด “ข้าจะไปงานเลี้ยงที่จวนสกุลจัว เจ้านำเรื่องเมื่อวานไปเล่าให้ท่านแม่ฟัง ดูว่าท่านแม่คิดเช่นไร ยามเย็นเราค่อยพูดคุยกันอีกที”
สืออีเหนียงพยักหน้า หลังจากส่งสวีลิ่งอี๋ออกไปแล้ว นางทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของแต่ละสกุลก่อน จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินรู้เจตนาของสองสามสกุลนี้อยู่แล้ว แต่ลูกสะใภ้ไม่พูดอะไร นางก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ตอนนี้สืออีเหนียงมาปรึกษานาง สืออีเหนียงคงไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร แน่นอนว่านางต้องพิจารณาให้รอบคอบ
“ท่านโหวไปงานเลี้ยงที่จวนสกุลจัวหรือ” ไท่ฮูหยินวางกระดาษในมือลง
“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเปลี่ยนถ้วยน้ำชาให้ไท่ฮูหยิน “ถึงตอนนั้นคงจะได้เจอกับคุณชายใหญ่สกุลจัวเจ้าค่ะ”
“แล้วพวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร” ไท่ฮูหยินวางแว่นขยายลง
สืออีเหนียงเก็บไว้ในกล่องสีทองที่อยู่ข้างๆ ให้ไท่ฮูหยิน “เราอยากเจอเขาก่อนแล้วค่อยว่ากันเจ้าค่ะ แต่ก็กลัวว่าหากไม่ถูกใจแล้วไม่รู้จะปฏิเสธเช่นไรดี”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้ว่าจะปฏิเสธสะใภ้สามสกุลโจวเช่นไรใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงยิ้ม “เรื่องอะไรก็ปิดบังท่านแม่ไม่ได้”
“ไม่ต้องกังวล” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วยกถ้วยชาขึ้นมา “สกุลที่มีหน้ามีตา ไม่มีทางรีบมาพูดเรื่องแต่งงานเช่นนี้ ในเมื่อรีบมาพูดเช่นนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาจับตามองมาตั้งนานแล้ว สกุลเราถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สกุลร่ำรวยอะไร แต่ก็เป็นสกุลที่มีรากเหง้า” ไท่ฮูหยินพูดอย่างคลุมเครือ “เราถูกใจเรื่องดีๆ ของพวกเขา พวกเขาก็ถูกใจเรื่องดีๆ ของพวกเรา สองสกุลแต่งงานกัน เดิมก็ต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ที่สำคัญคือเด็กๆ คิดเช่นไร สะใภ้สามสกุลโจวเป็นคนดี ในเมื่อนางแนะนำงานแต่งงานครั้งนี้ ข้าคิดว่า พวกเจ้าไม่สู้ไปสืบดูดีกว่า สำหรับสกุลจัว คุณชายสี่อยู่ที่ค่ายมาหลายปี คนที่มาพูดเรื่องแต่งงานกับเขาส่วนมากก็คิดเช่นนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว สกุลของพวกเขาค่อนข้างวุ่นวาย เราค่อยๆ เลือกจะดีกว่า” จากนั้นก็บอกสืออีเหนียง “ไม่ต้องตัดสินใจเร็วนัก หากข้าเดาไม่ผิด ในเมื่อคิดเช่นนี้ ผ่านไปสักสองสามวัน ก็คงจะมีคนมาสู่ขออีก”
สืออีเหนียงพยักหน้า นางคิดว่าไท่ฮูหยินคิดได้รอบคอบ “ถึงตอนนั้นท่านต้องช่วยพวกเราดูด้วยนะเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ข้าเลี้ยงเจินเจี่ยเอ๋อร์มาตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าไม่บอก ข้าก็จะดู”
สืออีเหนียงถึงได้โล่งใจ