ความตกตะลึงปรากฏขึ้นในดวงตาของชิงจ้าน จากนั้นนางจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ลุกโชติช่วงราวกับคบเพลิง แล้วให้คำตอบว่า ”หม่อมฉันจะติดตามพระชายาเพคะ”
ไม่ว่าเราจะรักใคร เมื่อผ่านไปร้อยปี สุดท้ายแล้วสิ่งที่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ก็มีแต่เพียงกระดูกกองหนึ่งเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขึ้น นางก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ ”หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ข้าจะแนะนำน้องชายของข้าให้เจ้ารู้จัก สาเหตุเดียวที่ทำให้เจ้าตกหลุมรักคนอย่างหนานกงเลี่ยได้ก็เป็นเพราะเจ้าเจอผู้ชายมาน้อยเกินไป”
ชิงจ้านถึงกับพูดไม่ออกเมื่อนางได้ยินคำพูดนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยปฏิบัติต่อคนของตัวเองเป็นอย่างดีเสมอมา ก่อนหน้านี้นางก็ปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมโต๊ะของตนเป็นอย่างดีด้วยการพามาเลี้ยงอาหารอร่อยๆ ตอนนี้แม้จะเปลี่ยนเป็นชิงจ้าน นางก็ยังสั่งอาหารมากว่าสิบจานอย่างกับเศรษฐีไม่มีผิด ในจำนวนนั้นยังรวมไปถึงต้มกระดูกหมูอีกหนึ่งถ้วยด้วย
นางประคองถ้วยน้ำแกงของตัวเองเอาไว้ในมือ พลางจิบน้ำแกงนั้นโดยไม่แตะต้องอาหารจานอื่นเลย
ชิงจ้านรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยระหว่างมองจานอาหารของตนที่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิดสลับกับข้อมือผอมบางของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วจากนั้นนางก็ตักข้าวแบ่งให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยไปครึ่งถ้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมักจะเป็นคนที่กินทุกอย่างที่มีคนตักให้เสมอ เมื่อนางตักอาหารเข้าปาก แก้มของนางก็พองขึ้นราวกับหนูแฮมสเตอร์ ภาพนี้ดูเหมือนจะขัดกับภาพลักษณ์ปกติที่คนอื่นวาดภาพนางเอาไว้ยิ่งนัก
ยิ่งชิงจ้านมอง นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้านายของนางน่ารักเอามากๆ สุดท้ายนางก็อดไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งสายตาแปลกๆ มองนาง และตักข้าวเข้าปากต่อไป
ยังจะกินอีกหรือ ชิงจ้านหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมาบ้าง แล้วกินข้าวต่อพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนรักษาคำพูด ทันทีที่นางวางตะเกียบ นางก็ส่งคนไปตามตัวเฉินอีเฟิงและคนอื่นๆ ทันที
นางไม่ได้คิดที่จะเตรียมสถานที่นัดพบแห่งอื่นเอาไว้ เพราะอย่างไรสำนักไท่ไป๋นั้นก็ไม่อนุญาตให้ชายหญิงลอบพบกันในที่ลับตา ดังนั้นางจึงบอกให้พวกเขามาที่หอน้ำชาอันวุ่นวายแห่งหนึ่งแทน
แต่วันนี้ที่หอน้ำชากลับดูคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากกว่าปกติ
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยและชิงจ้านมาถึง พวกนางก็เห็นว่าหนานกงเลี่ยนั่งอยู่ตรงข้ามกับอวิ๋นปี้ลั่วก่อนแล้ว เขาดูเยือกเย็นและกำลังรับฟังอีกฝ่ายอย่างตั้งใจอยู่ แตกต่างจากตัวเขาในยามปกติยิ่งนัก
ชิงจ้านหยุดเดิน แล้วหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่รู้ตัว
แต่น่าแปลกที่ในเวลานี้ความเจ็บปวดในหัวใจของนางกลับลดลงเป็นอย่างมาก
สิ่งเดียวที่นางกังวลอยู่ก็คือเรื่องที่นายน้อยเลี่ยจะนำเรื่องที่ท่านพี่ยังมีชีวิตอยู่ไปบอกกับองค์ชาย
แต่…
“บังเอิญจริงๆ” ก่อนที่ชิงจ้านจะทันได้พูดอะไรออกมา อวิ๋นปี้ลั่วก็เห็นพวกนางเข้าเสียก่อน นางค่อยๆ ยืนขึ้น แล้วเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยว่า ”ชิงจ้าน ทำไมเจ้าไม่บอกข้าล่ะว่าอาเลี่ยก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน”
อาเลี่ยหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วเล็กน้อย น้อยคนนักที่จะกล้าเรียกผู้บวงสรวงอัจฉริยะด้วยชื่อนั้น
แน่นอนว่าหยวนหมิงย่อมเข้าใจว่านางคิดอะไรอยู่ ”ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะมีความสำคัญในหัวใจขององค์ชายสามจริงๆ มิฉะนั้นคนอย่างหนานกงเลี่ยก็คงจะไม่ยอมทำดีต่อนางเช่นนี้แน่”
“ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเสียหน่อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางของนาง ”แต่ฟังจากน้ำเสียงของนางแล้ว ดูเหมือนนางเพิ่งจะรู้ว่าหนานกงเลี่ยก็อยู่ในสำนักนี้เหมือนกัน หยวนเสี่ยวหมิง ช่วยข้าคิดหาข้ออ้างดีๆ มาหว่านล้อมท่านเจ้าสำนักทีสิ ตอนนี้พวกเราต้องเร่งมือแล้ว หากนางได้รับความช่วยเหลือจากหนานกงเลี่ย ในไม่ช้าอวิ๋นปี้ลั่วจะต้องหาตัวตู๋ซูเฟิงเจออย่างแน่นอน”
หยวนหมิงยิ้มอย่างชั่วร้าย ”ข้าคิดว่าเจ้าไม่ร้อนใจกับเรื่องนี้เสียอีก”
“ข้าย่อมไม่ได้ร้อนใจอยู่แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงยิ้มอยู่ ”แต่ข้าต้องการที่จะชนะศึกนี้ หากข้าไม่สามารถเข้าหน่วยพิฆาตวิญญาณได้ เช่นนั้นตราทัพที่ข้ามีอยู่ในมือนี่ก็คงไร้ประโยชน์ยิ่งนัก”
หยวนหมิงไม่เข้าใจ ”ทำไมเจ้าถึงต้องเข้าร่วมหน่วยพิฆาตวิญญาณด้วยล่ะ ถ้าเจ้าต้องการค้นหากองกำลังลับ เจ้าก็แค่สั่งให้ทหารรับจ้างไปช่วยเจ้าสืบข่าวได้ง่ายๆ นี่”
“เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่ได้ลองทำแบบนั้นแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา ”เพราะข้าลองสืบมาแล้วต่างหาก ข้าถึงได้ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมหน่วยพิฆาตวิญญาณ ข้าคิดมาตลอดว่าจริงๆ แล้วหน่วยพิฆาตวิญญาณนี่ล่ะที่เป็นกองกำลังลับ”
หยวนหมิงเบิกตาโต ”ในจดหมายที่น้องสามของเจ้าส่งมาก็เขียนเอาไว้ชัดเจนมิใช่หรือว่ากองกำลังทั้งสองมีกลยุทธ์ทางการทหารแตกต่างกัน พวกเขาจะเป็นหน่วยเดียวกันไปได้อย่างไร”
“เจ้าลืมเรื่องจุดแข็งของหน่วยพิฆาตวิญญาณไปแล้วหรือ” มุมปากข้างหนึ่งของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้น ”จุดแข็งของพวกเขาคือการปลอมตัว และที่แปลกก็คือกองกำลังทั้งสองนี้มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือการที่พวกเขากลัวว่าจะมีคนล่วงรู้เรื่องพวกเขา แต่ทำไมล่ะ ทำไมพวกเขาถึงต้องกังวลกับการให้คนอื่นมารู้ในเรื่องดีๆ ที่พวกเขาทำด้วย นอกจากเพื่อปกป้องสมาชิกของตัวเองแล้ว เหตุผลเดียวที่ข้านึกออกก็คือพวกเขากลัวว่าเรื่องนั้นจะนำปัญหามาให้ ก็อย่างที่ข้าบอกไปนั่นล่ะว่าพวกเราต้องคิดในมุมมองของพวกเขา ถ้าข้าเป็นคนที่ก่อตั้งกองกำลังขึ้นมาใหม่โดยมีจุดประสงค์แค่เพื่อปกป้องคุ้มครองเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นมันก็คงจะน่าเสียดายสำหรับผู้ก่อตั้งเช่นข้ายิ่งนัก และอีกอย่าง ดูเหมือนว่ากองกำลังลับนี่ก็เป็นของตระกูลเฮ่อเหลียนแบบผิวเผินอีกด้วย แต่หากลองคิดดูอีกที กองกำลังประเภทไหนกันที่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายได้รับการยอมรับก่อน ถึงจะยอมอยู่ใต้อาณัติของคนคนนั้น เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เป็นของใครทั้งนั้น แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พวกเขากลับกำลังมองหาผู้สืบทอดมันอยู่ต่างหาก ดังนั้นหากเป็นไปตามทฤษฎีของข้า ตราทัพที่ข้ามีอยู่ในมือก็จะเป็นโอกาสเดียวที่ทำให้ข้าสามารถเข้าใกล้ความจริงนั้นได้มากกว่าคนอื่นๆ หลังจากที่ข้าได้เข้าหน่วยพิฆาตวิญญาณ ข้าก็จะสามารถติดต่อกับพวกเขาได้ งานที่ท่านแม่ของข้ายังทำไม่สำเร็จ ข้าจะเป็นคนที่สะสางมันให้เอง!”
หลังจากที่ได้ฟังเช่นนั้น แม้แต่หยวนหมิงที่มาจากแดนปีศาจก็ยังรู้สึกชื่นชมสติปัญญาของเฮ่อเหลียนเวยเวย
บนแผ่นดินนี้ มีเด็กสาวเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้
ในโลกแห่งความเป็นจริง ชิงจ้านไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเมื่อเผชิญหน้ากับอวิ๋นปี้ลั่ว
โชคดีที่ในตอนนี้มีคนจากอีกโต๊ะหนึ่งลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มแล้วโบกมือมาทางกลุ่มของเฮ่อเหลียนเวยเวยพอดี ”ลูกพี่ ทางนี้ขอรับ ทางนี้!”
เป็นเฉินอีเฟิงผู้มีรอยยิ้มสดใสและนิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายนั่นเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าไปทางเขา หากเป็นเวลาปกตินางคงจะสั่งสุรามาสักเหยือก แต่วันนี้พวกนางไม่สามารถดื่มได้ ดังนั้นพวกนางจึงสั่งแค่เพียงชาร้อนเท่านั้น
“นี่คือชิงจ้าน” เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์น้อง ”ส่วนนี่เฉินอีเฟิง ลูกชายของท่านแม่ทัพเฉิน”
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินอีเฟิงได้มีเพื่อนผู้หญิงในกลุ่ม ท่านพ่อและปู่ของเขาล้วนแต่เป็นแม่ทัพ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่เขาได้เจอผู้หญิงสักคน ทันทีที่เขาตื่นเต้น เขาจะเผลอพูดสำเนียงบ้านเกิดของตัวเองออกมา ”อืม นั่งก่อนสิ นั่งก่อน!”
ชิงจ้านไม่เคยเห็นผู้ชายเช่นนี้มาก่อน ความอบอุ่นนั้นทำให้นางลดกำแพงลงอย่างง่ายดาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นสหายของพระชายาได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยพาดมือข้างหนึ่งไว้กับพนักเก้าอี้ แล้วมองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางก็ถามเฉินอีเฟิงว่า ”การฝึกวรยุทธ์ที่ข้าสอนเจ้าเป็นของขวัญเมื่อคราวก่อนเป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านพ่อกับท่านปู่ชมข้าด้วยขอรับ แล้วก็…” เฉินอีเฟิงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเมื่อมีผู้หญิงอยู่ด้วย อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็ไม่ใช่ลูกพี่ แต่เป็นผู้หญิงจริงๆ ”อดีตฮ่องเต้ยังเลื่อนตำแหน่งให้ข้าด้วยขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจิบชาร้อน ”ดีจริงๆ ชิงจ้านอายุน้อยกว่าพวกเจ้าทุกคน เจ้าเองก็คงเห็นว่านางค่อนข้างผอมทีเดียว ดังนั้นคราวหน้าเจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไรหากข้าไม่อยู่ที่สำนัก”
“รู้ขอรับ ขอลูกพี่โปรดวางใจ!” เฉินอีเฟิงเป็นคนที่มีสัญชาตญาณดี เขายิ้มอย่างสดใส ”นางผอมเกินไปจริงๆ ขอรับ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าพวกผู้หญิงคิดอะไรอยู่ พวกนางถึงได้รู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองอ้วน มอบให้ข้าจัดการเองเถิดขอรับ ข้าจะดูแลนางให้เป็นอย่างดีเลย!”
นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเฉินอีเฟิงจึงถูกจัดอยู่ในหมวดของผู้ชายซื่อบื้อ เพราะผู้ชายปกติย่อมไม่พูดเช่นนั้นออกมาแน่
แต่เขากลับสามารถพูดออกมาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
อวิ๋นปี้ลั่วที่นั่งอยู่อีกด้านหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า ”นางกำลังทำอะไรอยู่ล่ะนี่ หาสามีให้ชิงจ้าน น้องสาวของข้าหรือ”
หลังจากพูดจบ นางก็มองไปทางหนานกงเลี่ย…