เหตุผลนั้นช่างเรียบง่าย
ในเวลานี้ หากชิงจ้านไม่ช่วยร้องขอความเมตตาให้นาง ผู้คนย่อมหาว่านางเป็นคนอกตัญญู
หากชิงจ้านขอร้องแทนนาง มันจะต้องทิ้งปมเอาไว้ในใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างแน่นอน
หึ เรื่องบางเรื่องจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อผู้เป็นนายกับข้ารับใช้ไม่ลงรอยกันแล้วเท่านั้น…
ชิงจ้านชะงัก แล้วมองอวิ๋นปี้ลั่วอย่างไม่เชื่อ ดูเหมือนว่าในใจของนางจะคิดว่า คนอย่างท่านพี่ของนางจะไม่มีทางสร้างความลำบากใจให้นางได้
แต่ดูเหมือนว่านางจะคิดผิดไป
คนเรานั้นสามารถทำได้ทุกอย่างหากตนได้รับผลประโยชน์
อาจเป็นเพราะนางเลือกอยู่ข้างพระชายา ดังนั้นนางจึงตกเป็นเป้าการโจมตีไปด้วย
แต่ชิงจ้านไม่รู้สึกเสียใจกับเรื่องนั้น
นางเงยหน้าขึ้น และกำลังจะอ้าปาก
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับพูดขึ้นมาก่อน ”แม่นางอวิ๋น ชิงจ้านเป็นเด็กอ่อนโยนก็จริง แต่เมื่อนางติดตามข้าแล้ว นางก็เป็นคนของข้า ข้าก็มีหลักการส่วนตัวอยู่ และนั่นคือการปกป้องพวกพ้องของตัวเอง เจ้าบอกว่าชิงจ้านกับเฮยจูมีความสัมพันธ์อันดีร่วมกันมาโดยตลอด แต่ข้าขอถามเจ้า เฮยจูล้อเลียนความคิดของชิงจ้านมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว เจ้ากลับถามชิงจ้านว่าแล้วชีวิตที่เหลือของเฮยจูล่ะ เช่นนั้นแล้วชีวิตที่เหลือของชิงจ้านเล่า สิ่งที่ผู้หญิงเป็นกังวลกันมากที่สุดก็คือชื่อเสียงของตนเอง แล้วเฮยจูได้คำนึงถึงชื่อเสียงของชิงจ้านบ้างหรือไม่ หรือเจ้ายอมที่จะเป็นผู้แพ้ไม่ได้หรือ”
ดวงตาเรียวโค้งของอวิ๋นปี้ลั่วแข็งกระด้าง นิ้วมือของนางค่อยๆ กำเข้าหากันแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่กระนั้นนางก็ยังดูอ่อนโยน ดวงตาของนางแดงก่ำด้วยความเสียใจ ”ย่อมไม่ได้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แม่นางเวยเวย เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว”
“เช่นนั้นก็จงยอมรับความพ่ายแพ้ของเจ้าตามที่ได้พนันเอาไว้เสีย” พอพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็วางมือตัวเองลงบนไหล่ของชิงจ้าน แล้วกล่าวว่า ”อีกอย่าง นายน้อยเลี่ย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดคำว่านายน้อยเลี่ยอย่างเกียจคร้าน แต่ในนั้นกลับมีความเย็นชาอยู่
“ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ผิดไป” นางยิ้มให้หนานกงเลี่ย ”ชิงจ้านยังเด็กนัก จึงทำให้นางใจอ่อนได้ง่ายๆ บางครั้งนางก็ไม่สามารถบอกได้ว่านางชอบหรือไม่ชอบอะไร และต่อให้นางจะชอบของสิ่งนั้น นางก็รู้จักที่จะปล่อยมันไป อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าก็ได้เห็นแล้วว่าเจ้าปฏิบัติกับคนที่เคยดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเช่นไร เจ้าทำเพียงแค่มองดูนางถูกคนอื่นเหยียดหยามเท่านั้น นายน้อยเลี่ย ข้าคงต้องขอบอกว่าเจ้าทำเหมือนตัวเองเป็น ’อาหารเลิศรส’ มากเกินไปแล้ว เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองจะสามารถทำให้ทุกคนไม่เบื่อหน่ายกับการกิน ’อาหาร’ จานนี้ได้”
หนานกงเลี่ยเงยหน้าขึ้นทันที เขาอยากจะอธิบาย แต่แล้วก็เห็นว่าดวงตาของชิงจ้านไม่ได้เหลียวมามองเขาเลยตั้งแต่ต้น หัวใจของเขาค่อยๆ ดิ่งวูบ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกหงุดหงิดใจมากเสียจนอยากจะสบถออกมา!
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบางของตนขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงยื่นมือไปบีบแก้มของชิงจ้าน ”เอาล่ะ เจ้าไม่จำเป็นต้องเลือกอะไรที่ชวนลำบากใจเช่นนั้นหรอก ข้าจะปล่อยให้มีคนต้องลำบากเพราะสิ่งที่ข้าอยากได้ได้อย่างไรกัน”
ทันทีที่นางพูดจบ ก็ไม่มีใครมองเห็นว่านางเคลื่อนไหวอย่างไร
รู้สึกได้แค่เพียงสายลมวูบหนึ่ง
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเฮยจู!
แต่อย่างไรเฮยจูก็เป็นองครักษ์ของวังปีศาจ ดังนั้นนางจึงมีสัญชาตญาณระวังภัยดีเยี่ยม แต่ในตอนที่นางคิดจะยกมือขึ้นมาป้องกันตัว นางก็ตระหนักได้ว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมอง และสิ่งแรกที่นางทำคือการตบหน้าของนางอย่างแรงสามครั้งด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย!
เพี๊ยะ!
ครั้งสุดท้ายเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล
มันทำให้เฮยจูถึงกับหน้าหัน
เฮยจูไม่เคยถูกใครตบตีเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งในปากของนางก็มีเลือดซึมออกมา
นางได้ยินเพียงเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า ”ข้าตบหน้าเจ้าสามครั้งนี้เพื่อชดใช้ให้กับชิงจ้าน เฮยจู เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนกับเจ้า และอยากเป็นอนุภรรยาของเขาหรือ”
สีหน้าของเฮยจูเปลี่ยนไปราวกับถูกจี้ใจดำ ”เจ้าพูดอะไร!”
“เจ้าอยากเป็นอนุภรรยาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมากถึงเพียงใดหรือ ถึงได้กล้าทำเรื่องน่ารังเกียจมากมายถึงเพียงนี้” พอเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดประโยคนี้จบ มีดสั้นในมือของนางก็เริ่มเคลื่อนไหว
วินาทีที่เฮยจูคิดจะอ้าปากอีกครั้ง ปากของนางก็อาบไปด้วยเลือดเสียแล้ว และความเจ็บปวดนั้นก็ทำให้นางถึงกับกรีดร้องออกมาทันที!
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำราวกับว่าไม่ได้ยินนาง แล้วชักมือของตัวเองกลับ
อวิ๋นปี้ลั่วนึกไม่ถึงว่านางจะกล้าลงมือ อีกทั้งการเคลื่อนไหวนั้นก็ยังไร้ซึ่งความปรานีเสียด้วย จากนั้นอวิ๋นปี้ลั่วจึงสังเกตเห็นว่ามีเลือดทะลักออกมาจากปากของเฮยจู นางรีบป้อนยาให้กับอีกฝ่ายทันที!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจพวกนางแม้แต่น้อย นางตวัดสายตาไปมองบรรดาลูกศิษย์จากหอชั้นเลิศทั้งหลายที่สูดหายใจเข้าลึกอยู่ตรงนั้น และหนึ่งในนั้นคือเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ”ข้าต้องบอกอีกกี่ครั้งกันหรือว่าข้าไม่ใช่คนไร้ค่าอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่ฟัง และมักจะมาหาเรื่องข้าอยู่เสมอ เฉินอีเฟิง!”
“ข้าอยู่นี่ลูกพี่! ข้าอยู่นี่ขอรับ!” เฉินอีเฟิงเดินเข้ามาหานางอย่างกระตือรือร้น ”ท่านอยากจะซ้อมใครขอรับ บอกมาได้เลย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเขกศีรษะเขา ”การซ้อมคนมันช่วยแก้ปัญหาได้ที่ไหนกัน พวกเราล้วนแต่เป็นผู้มีอารยธรรม อย่าเอาแต่ต่อยตีและสังหารผู้คนตลอดเวลา”
เฉินอีเฟิง : …. แล้วคนที่เพิ่งทำร้ายคนอื่นไปเมื่อครู่นี้คือใครกันหรือขอรับ!!!
“ข้าเชื่อฟังคำสั่งของลูกพี่ขอรับ!” ตาเฒ่าที่บ้านของเขาบอกว่าการติดตามลูกพี่นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง นางเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยแผ่วเบามากเสียจนทำให้คนที่ฟังรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ ”ไปตรวจสอบและคัดข้อมูลมาว่าเด็กสาวพวกนี้มาจากตระกูลไหนบ้าง จากนั้นก็นำข้อมูลนั้นไปมอบให้กับท่านเจ้าสำนัก แล้วบอกเขาว่าพวกนางกลั่นแกล้งเพื่อนร่วมชั้น อย่างไรที่สำนักแห่งนี้ก็ไม่อนุญาตให้ใช้ความรุนแรงอยู่แล้ว”
“ขอรับ~” เฉินอีเฟิงก้มหน้าลง แล้วคิดในใจอย่างเงียบๆ ว่าทักษะในการโต้กลับของลูกพี่พัฒนาขึ้นอีกแล้ว… แม้ว่าคนพวกนี้จะชื่นชอบการจับกลุ่มและหัวเราะผู้อื่นก็เถอะ แต่เรื่องการใช้ความรุนแรงในสำนักนี่มาจากไหนกัน?!
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจัดการเก็บกวาดเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้เสร็จ นางก็ไม่สนใจกับสีหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วและคนอื่นๆ ว่าจะเป็นอย่างไร รวมทั้งสีหน้าของหนานกงเลี่ยด้วย
นางเพียงแค่ยกขายาวๆ ของตนขึ้น แล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ระหว่างที่เดินนั้น นางก็พยายามมัดผมที่นางปล่อยยาวสยายไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ไปพร้อมกัน แต่โชคไม่ดีที่นางบังเอิญเดินชนใครคนหนึ่งเข้าเสียก่อน…
ระหว่างที่นางกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวนั้น มือที่ราวกับถูกแกะสลักมาจากหยกก็ยื่นออกมาหาเฮ่อเหลียนเวยเวยในทันที มือคู่นั้นมีกลิ่นยาอันบางเบาลอยมา ในมือนั้นมีปิ่นปักผมหน้าตาธรรมดาไร้ซึ่งการตกแต่งใด ให้ความรู้สึกสงบปลอดภัย ”ข้าคืนให้”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น นางก็พบกับดวงตาสีดำลึกล้ำราวกับท้องทะเลของจิ่งอู๋ซวง นางเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะเอ่ยว่า ”มันไปอยู่ที่ท่านได้อย่างไร”
จิ่งอู๋ซวงเพียงยิ้มให้ พร้อมกับยื่นมือที่ถือปิ่นปักผมออกมาอีกครั้งเป็นการบอกว่านางควรม้วนผมของตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบมันขึ้นมา แล้วจัดการม้วนผมตัวเองด้วยสีหน้าสงบราวกับว่าคนโหดเหี้ยมเมื่อครู่นี้ไม่ใช่นางแต่อย่างใด ทุกการกระทำของนางดูสง่างาม แม้จะแฝงไปด้วยความเกียจคร้านก็ตามที
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวม้วนผมของตัวเองเสร็จแล้ว จิ่งอู๋ซวงก็พยักหน้าด้วยความพอใจ ริมฝีปากของเขายังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่ ”แบบนี้ดูเหมาะกับเจ้ามากกว่า”
“ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าข้าน่ะเป็นคนจิตใจอ่อนโยน” เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปากล่างของตนอย่างเท่ๆ ความห่างเหินในดวงตาของนางค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย ”เมื่อครู่นี้ขอบใจมาก เสียงขลุ่ยของท่านไพเราะยิ่งนัก”
“เพราะเจ้าเป็นนักร้องที่ดีต่างหาก” จิ่งอู๋ซวงยิ้ม ก่อนจะไอออกมาเบาๆ ”นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเพลงเช่นนั้น ต่อให้มันจะผิดต่อกาลเวลา ต่อให้มันจะผิดต่อโลกทั้งใบ แต่สิ่งเดียวในชีวิตที่คนผู้นั้นปรารถนาก็มีเพียงแค่คนรู้ใจสักคนเท่านั้น”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้นเล็กน้อย ”ถ้าคุณชายอู๋ซวงเปิดปากพูด เห็นทีคงได้มีหญิงสาวเรียงรายกันมาเป็นคนรู้ใจจนนับไม่ถ้วนแน่”
“ข้าหรือ” จิ่งอู๋ซวงมองดวงตาสีดำของเฮ่อเหลียนเวยเวย มุมหนึ่งในดวงตาของเขาดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ ”ช่างเถิด เจ้าสนใจดื่มชาสักถ้วยก่อนไปหรือเปล่า ข้าบังเอิญได้อาวุธชิ้นหนึ่งมาพอดี และข้าไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไร”