เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 308 ติดตาม ผู้มาเยือนจากเฮยมู่รั่วสุ่ย (3)

ตอนที่ 308 ติดตาม ผู้มาเยือนจากเฮยมู่รั่วสุ่ย (3)

กระทำการใดต้องไตร่ตรองให้รอบคอบและมีความระมัดระวัง จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาด!

ชังมู่สีหน้าไร้ความรู้สึก ท่าทางแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว แต่กลับเอ่ยพูดกับมั่วเชียนเสวี่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเคารพ “เมื่อครู่นี้ได้มอบป้ายบัญชาของทางกองทัพตระกูลมั่วให้กับพ่อบ้านดูแล้ว”

พ่อบ้านมั่วมองสบสายตาของมั่วเชียนเสวี่ยที่มองมา พยักหน้าเป็นการแสดงออกว่าถูกต้อง

หลังจากชังมู่อธิบายเสร็จ ก็หันไปมองอวี่เสวียนที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง แต่ละคนก็หยิบของออกมาจากอก “นี่คือป้ายสัญลักษณ์ประจำชนเผ่าพวกเรา เชิญคุณหนูใหญ่ดูได้ขอรับ” เอ่ยเสร็จ ก็พากันยื่นไปให้มั่วเชียนเสวี่ย

มั่วเหนียงยื่นมือไปรับสิ่งที่อยู่ในมือของพวกเขา และยื่นให้มั่วเชียนเสวี่ย

ป้ายไม้สองอันนี้ก็เป็นสีดำเช่นกัน

เพียงแต่ว่าสีดำนี้ ไม่ได้ดำสนิท มีสีน้ำตาลแปลกๆ กระจายอยู่ในนั้นด้วย ด้านบนอันหนึ่งสลักว่าเฮยมู่ อีกอันหนึ่งสลักว่ารั่วสุ่ย

ป้ายไม้สองอันนี้มองดูแล้วไม่ได้มีอะไรพิเศษสักนิด แต่ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยกำพวกมันเอาไว้ในมือ กลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย

กลิ่นอายเหมือนกันกับป้ายไม้สีดำอันนั้นของนาง

เพียงแต่ว่า ป้ายนั้นของนางดำสนิทราวกับน้ำหมึก เหมือนจะเป็นไม้แต่ก็ไม่ใช่ไม้ อีกทั้งป้ายนั้นของนางยังมีการสลักชื่อบริเวณขอบด้วย ด้านหนึ่งสลักว่าเฮยมู่ อีกด้านสลักว่ารั่วสุ่ย

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยจากป้ายทั้งสองอันนี้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ยิ้มนิ่งๆ “ทั้งสองรอนแรมมาจากแดนไกล เชียนเสวี่ยปลาบปลื้มใจยิ่งนัก”

นางไม่รู้ท่าทีของทั้งสองฝ่าย การหยั่งเชิงเล็กน้อยนั้นเป็นสิ่งจำเป็น

“คุณหนูใหญ่กำลังโทษว่าพวกข้ามาช้าเช่นนั้นหรือ” เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมีสีหน้าสงสัย ชังมู่ก็มีท่าทางคล้ายกับถูกดูหมิ่นอย่างไรอย่างนั้น จึงลุกขึ้น และคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น มือข้างหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า พลางเอ่ยราวกับสาบานว่า

“ข้าชาวเฮยมู่ขอสาบานว่า ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของกั๋วกงเพียงผู้เดียว ในยามนี้กั๋วกงสิ้นชีพไปแล้ว หลังจากนี้พวกเราชาวเฮยมู่ก็จะปฏิบัติตามคำสั่งของคุณหนูใหญ่มั่วผู้สืบสายเลือดเพียงคนเดียวของท่านกั๋วกงอย่างเคร่งครัด ข้าขอสาบานว่าจะปกป้องคุณหนูใหญ่ให้ปลอดภัย”

อวี่เสวียนเห็นเหตุการณ์แล้ว ก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเช่นกัน “พวกเราชาวรั่วสุ่ยยินดีทำตามคำสั่งของคุณหนูใหญ่มั่วตราบจนชีวิตจะหาไม่”

ทั้งสองคนมีท่าทีหนักแน่น สีหน้าท่าทางเช่นนี้ ถ้าหากว่ามั่วเชียนเสวี่ยยังไม่เชื่ออีก พวกเขาก็จะใช้ความตายมาแสดงออกถึงปณิธานอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว

นางลุกขึ้นไปประคองทั้งสองคน “ทั้งสองกล่าวเกินไปแล้ว เชียนเสวี่ยมีความสามารถอันใดที่จะทำให้คนทั้งสองเผ่าทำเพื่อเชียนเสวี่ยได้เล่า เช่นนั้น…”

ชังมู่ไม่ลุกขึ้น หลังตั้งตรง น้ำเสียงดังกังวาน “คุณหนูใหญ่ ตั้งแต่ยุคโบราณ ชาวเฮยมู่รั่วสุ่ย ทั้งสองชนเผ่าของข้าพูดคำไหนคำนั้น เมื่อยอมรับเป็นนายแล้ว ก็จะอยู่รับใช้ทุกรุ่น ในปีนั้นทั้งสองชนเผ่าสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ ภายหลังกลายเป็นเชลยของชนเผ่าชาง แต่ก็ไม่ยอมรับพวกเขาเป็นนาย และไม่เคยคิดจะติดตามด้วยใจจริง หรือปฏิบัติตามอย่างจริงใจ พวกเขาไม่คู่ควร”

คำว่า ‘ไม่คู่ควร’ สามคำสุดท้ายนี้น้ำเสียงเน้นหนัก และได้รับการยอมรับจากมั่วเชียนเสวี่ย ถ้าหากว่าหยั่งเชิงต่อไป ก็จะเป็นการทำร้ายจิตใจทั้งสองคนเท่านั้น

มั่วเชียนเสวี่ยดึงมือที่ประคองพวกเขากลับคืนมา และลุกขึ้นกลับไปนั่งลง เอ่ยด้วยสีหน้าดุดันว่า “ในเมื่อพวกเจ้ายอมรับว่าข้าเป็นนาย ก็ต้องฟังคำสั่งของข้า วันนี้คำสั่งแรกยังไม่ฟังแล้วจะให้ข้าเชื่อพวกเจ้าได้อย่างไร”

ยุคโบราณก็เป็นเช่นนี้ เจ้านายต้องมีความน่าเกรงขามในแบบของเจ้านาย ถ้าหากว่าสีหน้าท่าทางอ่อนโยนนุ่มนวลเกินไป จะทำให้คนรู้สึกกังวลใจ

แน่นอนว่าทั้งสองคนล้วนมีสีหน้ายินดี เมื่อได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยเรียกแทนตนเองว่าเป็นนาย จึงเอ่ยพร้อมกันว่า “เชิญคุณหนูใหญ่สั่งการ”

มั่วเชียนเสวี่ยยกมือขึ้น “คำสั่งแรกคือ ลุกขึ้นให้หมด”

นี่นับเป็นคำสั่งประเภทไหนกัน ทั้งสองคนมองหน้ากัน ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ขอบคุณคุณหนูใหญ่” หลังจากลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้ว สีหน้าทั้งคู่ก็ผ่อนคลายลง

จะเป็นหัวหน้าที่ดี จำเป็นต้องเข้าใจในตัวพวกเขาก่อน

“ชานี้ไม่เลวเลย พวกเจ้าทั้งสองรอนแรมจากแดนไกล ก็ดื่มสักหน่อยเถอะ” มั่วเชียนเสวี่ยยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม เป็นสัญญาณให้พวกเขาดื่มชาด้วย ทั้งสองคนก็ยกถ้วนชาขึ้นมาจิบไปคำหนึ่งอย่างเกรงใจ “ชาดี!”

เมื่อวางถ้วยชาลง มั่วเชียนเสวี่ยก็เอ่ยยิ้มๆ “เล่าเรื่องคนในเผ่าของพวกเจ้าให้ข้าฟังหน่อย ใช้ชีวิตกันสบายดีใช่ไหม”

บุหรี่และสุราในยุคปัจจุบันประหนึ่งน้ำชาในยุคโบราณ ล้วนเป็นช่องทางการสนทนาที่ดี ดังนั้นบรรยากาศจึงค่อนข้างผ่อนคลาย

แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับนางเป็นเจ้านาย แต่กลับไม่ได้มีท่าทีของคนเป็นบ่าว การยอมรับว่าเป็นนายในที่นี้เป็นการแสดงออกถึงการติดตามเท่านั้น มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดี นางจึงไม่สามารถปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนกับบ่าวรับใช้ในจวน

อีกอย่าง จากการพูดและกิริยาท่าทางของทั้งสองคนนี้ มีกลิ่นอายของคนเป็นบ่าวรับใช้เสียที่ไหนกัน พวกเขาคือทหารที่มีความสามารถในการตัดสินใจที่เด็ดขาด พวกเขาจะต้องมีตำแหน่งที่ไม่ต่ำต้อยในสองชนเผ่าแน่นอน

เมื่อเอ่ยถึงคนในชนเผ่า ใบหน้าของชังมู่ก็มีรอยยิ้มแต่งแต้ม ตอบกลับว่า “ต้องขอบคุณท่านกั๋วกงและฮูหยิน ตอนนี้คนในชนเผ่าปลอดภัยมาก”

“เช่นนั้นก็ดี” ทั้งสองคนยังคงระมัดระวังอยู่บ้าง มั่วเชียนเสวี่ยจึงยิ้มและเริ่มเปิดหัวข้อสนทนา “ข้าไม่เคยไปที่ชายแดนมาก่น และไม่เคยไปยังเมืองเฮยมู่ เมืองรั่วสุ่ย วันนี้ไม่มีอะไรทำ พวกเจ้าลองเล่าเรื่องราวที่ท่านพ่อกับท่านแม่ข้าเคยกระทำในเมืองเฮยมู่และเมืองรั่วสุ่ยให้ข้าฟังหน่อย…ข้ายังอายุไม่เต็มสิบขวบปี พวกเขาก็ไปที่ชายแดนตะวันตกแล้ว…”

ชังมู่เคยพบหน้าเจิ้นกั๋วกง เมื่อกล่าวถึงเจิ้นกั๋วกง สีหน้าท่าทางเคารพของชังมู่ก็เจือไปด้วยความเสียใจและความโศกเศร้าส่วนหนึ่ง

ทั้งสามคนสนทนากัน มั่วเชียนเสวี่ยถามเกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างของชนเผ่าเฮยมู่และเรื่องของท่านพ่อท่านแม่ เดิมคิดอยากจะกระชับความสัมพันธ์กับพวกเขา แต่คิดไม่ถึงว่าชังมู่ยิ่งพูดก็ยิ่งมีโทสะ

“ชนเผ่าเฮยมู่กับชนเผ่ารั่วสุ่ยในแต่ละรุ่นนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สามปีก่อนหน้านี้ราชวงศ์เทียนฉีได้ปกครองที่ดินผืนนี้ตระกูลเดียว และได้เจรจากับบรรพบุรุษของข้าเอาไว้ ให้พวกเราทั้งสองเมืองต่างปกครองเมืองกันเอง พวกเราทั้งสองเมืองถวายบรรณาการทุกปี เทียนฉีก็ส่งทหารมาตั้งมั่นรักษาการณ์ ป้องกันคนจากชนเผ่าชางมาโจมตี ทว่าพวกเราสองชนเผ่าถวายบรรณาการทุกปี ราชวงศ์เทียนฉีกลับเห็นคนในชนเผ่าพวกเราเป็นโล่กันธนู หนึ่งร้อยปีผ่านไป พวกเราสองชนเผ่าบาดเจ็บล้มตายเพื่อราชวงศ์เทียนฉีนับไม่ถ้วน แต่ของบรรณาการที่ต้องถวายในแต่ละปีกลับไม่สามารถขาดได้ ราชวงศ์นอกจากปล้นทรัพย์ของพวกเราสองชนเผ่าแล้ว ก็ไม่สนความเป็นความตายของพวกเราแม้แต่น้อย ภัยพิบัติในปีนั้น คนทั้งสองชนเผ่าจากทั้งสองเมืองที่พลัดถิ่นไปอย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัว ไปขอความช่วยเหลือจากเทียนฉี แต่เทียนฉีที่ให้พวกเราจัดการกับศัตรูกลับไม่ให้การสนับสนุนข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตใดๆ เลยแม้แต่น้อย พวกเราสองเผ่าไม่อยากจะสิ้นเผ่าพันธุ์ และไม่อยากจะทำสงครามสู้ตายอีก ดังนั้นทั้งสองเมืองจึงถูกคนจากชนเผ่าชางจับไปเป็นเชลย คนในเผ่าจำนวนมากถูกจับไปเป็นเชลย ที่ไม่ได้ถูกจับเป็นเชลยก็กลายเป็นโจรในทะเลทราย ชนเผ่ากูโหดร้ายมาก ชนเผ่าชางโหดร้ายยิ่งกว่า! ในสายตาพวกเขาคนในชนเผ่าที่ถูกจับเป็นเชลยนั้นไม่ใช่คนด้วยซ้ำ เห็นคนในชนเผ่าพวกเราเป็นทาสรับใช้ คนในชนเผ่ายามนี้คือคนชรา คนป่วย คนพิการ เด็กที่สตรีให้กำเนิด บางคนก็ล้มตายบนถนน เพียงเพราะว่าให้นมลูกจึงไม่สามารถปรนนิบัติปีศาจพวกนั้นได้ ถ้าหากไม่ใช่ว่าท่านกั๋วกงปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันในยี่สิบปีก่อนหน้านี้ ก็เกรงว่าพวกเราสองชนเผ่าคงจบสิ้นแล้ว…”

ฟังเขาพูดจนดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็พิจารณาอย่างรอบคอบ ชังมู่ผู้นี้ดูท่าจะอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกได้ เกรงว่าจะเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นกับตา ไม่แน่ว่าเด็กทารกที่ถูกโยนทิ้งให้ตายจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา

ชังมู่พูดอย่างสะเทือนใจ อวี่เสวียนเป็นกังวลว่าเรื่องจะไม่จบ “ชังมู่ เรื่องพวกนี้ล้วนผ่านไปแล้ว พวกเราสองชนเผ่ามีท่านกั๋วกงแล้ว ก็ปักหลักลงฐาน ทั้งยังตามหาญาติที่กระจัดกระจายไปกลับมาได้ และมีผู้คนจำนวนมากในชนเผ่าที่พลัดหายไปนานล้วนกลับบ้านเกิดแล้ว”

การโต้ตอบซึ่งกันและกันระหว่างพวกเขา มั่วเชียนเสวี่ยล้วนเห็นอยู่ในสายตา

ชังมู่ไม่ได้เป็นคนที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา เกรงว่าเป็นเพราะฐานะพิเศษของตนจึงทำให้เขามีความรู้สึกสนิทสนม ถึงได้เอ่ยคำพูดในใจออกมาได้อย่างสบายใจ

ในเมื่อชังมู่เคยพบหน้าบิดา ทั้งยังอยู่ที่ชายแดนทางตะวันตกมาตลอด จะต้องรู้เรื่องราวภายในแน่นอน “ท่านพ่อข้าสิ้นชีพเช่นไร”

ชังมู่ตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านกั๋วกงสิ้นชีพในสนามรบ”

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท