เมื่อใดที่กิเลนอัคคีคิดไม่ตก มันจะชอบถอนขนของตัวเองอยู่เสมอ แต่ทุกครั้งที่มันถอนขนตัวเอง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในใต้หล้าก็จะต้องซ่อนตัวไปพร้อมกัน
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นไม้ใบหญ้า นก และปลาในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบหอสามัญต่างก็สะดุ้งโหยงด้วยความหวาดกลัว แล้วร้องบอกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่า ได้โปรดเก็บสัตว์เลี้ยงของท่านกลับไปเร็วเข้า!
ขนเพียงเส้นเดียวของมันก็สามารถเผาพวกมันทั้งเป็นได้!
ช่วยรู้สึกตัวสักหน่อยสิ!
ตุ้บ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยทิ้งตัวลงนั่งบนชั้นสองของหอน้ำชาภายในย่านการค้า แล้ววางอาวุธที่จิ่งอู๋ซวงส่งให้ลงบนโต๊ะ นางยิ้มออกมาเล็กน้อย ”เป็นของดีทีเดียว สมกับเป็นของที่คุณชายอู๋ซวงเป็นผู้สร้างขึ้นมา”
“ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าวันหนึ่งข้าจะได้รับคำชมจากเจ้าของเวยเจ๋อ ข้าเคยคิดว่าในสายตาของเจ้า พวกข้าจะเป็นเพียงคนที่ล้าสมัยและหัวดื้อเสียอีก” จิ่งอู๋ซวงหลุบตาลงแล้วจิบน้ำชา กลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ ล่องลอยอยู่รอบตัวทั้งสองในทุกครั้งที่เขาขยับชายแขนเสื้อ
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งหลังตรง แล้วส่งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้กับเขา ”คำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงแค่คำพูดให้กำลังใจ เวยเจ๋อเป็นร้านขายอาวุธหน้าใหม่ ดังนั้นคงเทียบกับพวกท่านไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเราก็จำเป็นต้องมีจุดขายอื่นเพื่อดึงความสนใจของตลาดให้ได้เช่นกัน”
“ข้าต้องขอบอกว่าการเป็นคู่แข่งของเจ้านั้นค่อนข้างน่าปวดหัวทีเดียว” จิ่งอู๋ซวงขมวดคิ้วราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นกำลังดึงคิ้วของเขาเข้าหากัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างสุภาพพร้อมกับหรี่ตาลง นางเริ่มรู้สึกเกียจคร้านขึ้นมาเล็กน้อย
สายลมยามค่ำคืนพัดกระโชกเข้ามา ส่งกลีบดอกสาลี่สองสามกลีบลอยมากับสายลม ก่อนจะตกลงบนคิ้วและขนตาของนาง
จิ่งอู๋ซวงมองนาง แล้วกระตุกมุมปากขึ้น เขายื่นมือออกไปหมายจะปัดกลีบดอกไม้พวกนั้นออกจากศีรษะของนาง
หลังจากได้เจอกันสองสามครั้ง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้คิดที่จะเลี่ยงสัมผัสของเขา มือสะอาดและเป็นประกายราวกับหยกมาหยุดอยู่ตรงหน้าของนาง มันหยุดอยู่ตรงนั้นก่อนจะผละออก รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาพร้อมกับสายตาที่หันมองไปอีกทางราวกับเขารับรู้ถึงตัวตนของใครบางคนได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองตามสายตาของเขาไปอย่างช้าๆ นางเงยหน้าขึ้น เห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผู้เป็นเจ้าของเส้นผมสีดำและเสื้อคลุมสีขาวยืนอยู่ตรงนั้น ในดวงตาเรียวยาวของเขามีความเย็นชาวาบผ่าน มันเย็นชาราวกับหิมะ
ระหว่างที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองดูภาพนี้ สายตาของเขาก็ยิ่งลึกล้ำขึ้น
ในเวลานี้อารมณ์อันยากจะสั่นคลอนของเขากำลังเดือดปะทุอยู่ภายในใจ พวกมันแทบจะทะลักออกมาจากลำคอของเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้นิ้วเรียวยาวติดจะเย็นของตนแตะเข้าที่ผิวสีขาวซีดบริเวณเหนือลูกกระเดือกของตนแล้วออกแรงกดลงไปเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นด้านนอกคล้ายกับจะช่วยรักษาสมดุลจากความรู้สึกราวถูกไฟแผดเผาในร่างของเขาเอาไว้
จากนั้น เขาก็ละสายตาจากเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วเดินหายเข้าไปในทางเดินที่ทอดยาวออกไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้อยู่แล้วว่ามันต้องจบลงเช่นนี้ มันคงถึงเวลาที่นางต้องปรึกษาเรื่องการยุติสัญญากับเขาแล้ว…
ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูมืดมิดยิ่งขึ้น
กิเลนอัคคีมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มันพยายามคิดหาคำตอบว่าเหตุใดเขาถึงได้มีสีหน้าเช่นนั้น ”นายท่านขอรับ ท่าน…”
ตู้ม!
กิเลนอัคคียังไม่ทันจะพูดจบ กำปั้นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็พุ่งเข้าใส่ผนังเสียแล้ว ตลอดสองวันที่ผ่านมา เขาไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียวนอกจากรอให้นางมาหาทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน
แต่นางก็เป็นเช่นนี้ ไม่สนใจคำพูดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า!
เมื่อหมอกจางลง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ดื่มชากับจิ่งอู๋ซวงอย่างเพลิดเพลิน ส่วนใหญ่จะสนทนาเรื่องการสร้างอาวุธเท่านั้น แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้เปิดเผยความลับของตนแม้แต่น้อย เพราะอาวุธบางชนิดก็เป็นสิ่งที่ควรจะมีอยู่เฉพาะในยุคปัจจุบัน หากนางพูดถึงมันขึ้นมา เห็นทีอาจจะมีเรื่องวุ่นวายตามมาแน่
การอยู่กับจิ่งอู๋ซวงนั้นช่างผ่อนคลายยิ่งนัก เขาจะต้องเป็นคนประเภทที่อาจารย์เหยียนหรูอวี้พูดถึงอย่างแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนระหว่างเดินกลับหอสามัญ
เสียงสะท้อนจากฝีเท้าของผู้คนในตรอกดังชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในยามค่ำคืนอันเงียบสงัด
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามนางมา มันหยุดลงทุกครั้งที่นางหยุดเดิน
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดาว่านั่นคงเป็นเงาทมิฬที่เคยถูกไล่ไปก่อนหน้านี้
นางเดินมาจนถึงหน้าประตูทางเข้า แต่จู่ๆ นางก็สังเกตว่าเสียงฝีเท้านั้นหายไปเสียแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนสีหน้า นางลังเลก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองยังตำแหน่งที่อยู่ไกลออกไป หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในตรอก นางก็หรี่ตาลง แล้วหมุนตัวกลับมาผลักประตูให้เปิดออก แต่ก่อนที่นางจะทันได้ยื่นมือไปที่ประตู เสื้อคลุมตัวยาวสีขาวตัวหนึ่งก็คลุมลงมาบนศีรษะของนาง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”เจ้าคงสนุกมากสิท่า มันคงสนุกมากจนเจ้าไม่สนใจที่จะกลับบ้านเลย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคว้าเสื้อคลุมเอาไว้หมายจะถอดมันออกจากตัว แต่อีกคนกลับตรึงร่างของนางเอาไว้กับกำแพงเสียก่อน ”เจ้าเชื่อหรือเปล่าว่าข้าจะจับชิงจ้านป้อนให้กิเลนกินถ้าเจ้ายังกล้าขยับแม้แต่ครั้งเดียว”
กิเลนอัคคี : … เดี๋ยวก่อน ข้าไม่ใช่สุนัขนะขอรับ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็ง นางทำได้เพียงจ้องมองช่วงขาเรียวยาวของเขาที่อยู่ภายใต้ชุดนั้น และปล่อยให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอุ้มนางเข้าไปในห้อง
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อวันก่อน คนที่พูดเช่นนั้นด้วยตัวเองก็คือเขามิใช่หรือ
อีกอย่าง เขาไม่ไปหาสาวใช้อุ่นเตียงของตัวเอง แต่กลับยืนรออยู่ตรงนี้เพื่อไม่ให้นางไปไหนแทน เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิด พลางดึงเสื้อคลุมที่คลุมตัวนางอยู่ออก จากนั้นจึงถามว่า ”ท่านมาที่นี่ทำไม”
“ข้ารอเจ้ามาสองวันแล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง น้ำเสียงของเขาเย็นชา
เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สับสน ”รอข้าอยู่สองวันแล้วหรือ”
“ข้าบอกให้เจ้ามาหาข้าตอนกลางคืน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแย้มรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่มันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายที่ทำให้คนเห็นต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ”แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าคงลืมเรื่องนั้นไปแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก ”เรื่องนี้.. ข้าอยากคุยเรื่องนี้กับท่านเหมือนกัน”
“คุยเรื่องอะไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเชยคางของนางขึ้น สายตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ก่อนจะเอ่ยว่า ”ข้าขอแนะนำให้เจ้าคิดทบทวนสิ่งที่เจ้าจะคุยกับข้าเป็นสองเท่า อันดับแรกเจ้าควรจะพิจารณาดูให้ดีเสียก่อนว่าข้าอยากได้ยินสิ่งนั้นจากเจ้าหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบด้วยรอยยิ้ม ”ไม่ต้องห่วง ท่านจะต้องยินดีกับเรื่องนี้แน่ มันเกี่ยวกับอิสรภาพของท่านนี่นา”
“อิสรภาพของข้าหรือ” มือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำมือแน่นขึ้นกว่าเดิม ดูเหมือนเขาจะสนใจทีเดียวว่านางตั้งใจจะให้อิสรภาพกับเขาอย่างไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยลุกขึ้นนั่งตัวตรง แม้ว่านางจะยังคงถูกขังอยู่ภายในอ้อมกอดของเขา แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ตอนนี้ระหว่างพวกนางก็พอจะมีระยะห่างคั่นไว้บ้างแล้ว ”ข้ามาคิดดูแล้ว ในเมื่อตอนนี้พิธีอภิเษกสมรสก็จบลงแล้ว อดีตฮ่องเต้ก็คงไม่บังคับท่านแล้วกระมัง องค์ชาย ท่านสามารถทำในสิ่งที่ท่านอยากทำได้แล้ว ข้าประเมินสถานการณ์ต่างๆ เอาไว้แล้วก่อนที่จะตัดสินใจทำสัญญานี้ และข้ารู้ว่าข้าสามารถรับมือด้วยตัวคนเดียวได้ แต่ข้าก็มองข้ามไปอย่าง นั่นคือเรื่องที่ว่าสัญญาฉบับนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อยู่รอบตัวเราได้ อย่างไรก็ดี ข้อดีของมันก็คือพวกเราตกลงกันเอาไว้แล้วว่าสัญญาฉบับนี้จะเป็นโมฆะทันทีที่พวกเราพบคนที่ตัวเองรัก”
“คนที่ตัวเองรักหรือ” ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ”เจ้ากำลังพูดถึงข้า หรือพูดถึงตัวเอง อะไรกัน หรือว่าจิ่งอู๋ซวงดีเสียจนเจ้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของข้าอีกต่อไปแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น แล้วพูดว่า ”มันไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน ข้าคิดมาดีแล้วว่าบนโลกใบนี้นั้นการพึ่งพาตัวเองย่อมดีกว่าพึ่งคนอื่น เพราะไม่มีใครที่เราสามารถไว้ใจได้ อีกอย่าง ข้าไม่อยากเป็นข้ออ้างของใคร”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ไป๋หลี่ขมวดคิ้วยาวของตนเข้าหากันเล็กน้อย
“ข้าหมายความว่า ท่านไม่เห็นหรือว่าตอนที่เราพบกัน เราก็เอาแต่ทะเลาะกันอยู่เรื่อย ท่านไม่จำเป็นต้องอดทนกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว หากมีใครบางคนกำลังกลับมาหาท่าน และท่านต้องการที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับข้า เช่นนั้นท่านก็บอกข้ามาได้เลย”
ครั้งหนึ่งระหว่างนางกับเขานั้นเคยมีบุญคุณต่อกัน
แต่เงาทมิฬที่รบกวนนางอยู่นั้นชักจะทำให้นางรู้สึกรำคาญขึ้นมาเสียแล้ว
นางควรจะเป็นฝ่ายที่พูดเรื่องนี้ออกมาก่อน เพราะมันคงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้มากทีเดียว…