แน่นอนว่านางไม่เคยคิดเรื่องการก่อกบฏ นางเพียงแค่อยากทวงความเป็นธรรมให้กับท่านพ่อเท่านั้น
มั่วเชียนเสวี่ยแสดงท่าทีว่าจะรับอวี่เสวียนเอาไว้ ชังมู่จึงไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีก ในใจมีเรื่องให้คิดถึง แต่ก็ต้องกล่าวคำอำลา
ตอนนี้สถานการณ์ของทั้งสองเมืองล้วนไม่มั่นคง ฐานะของเขาทำให้เขาไม่สามารถอยู่ที่เมืองหลวงได้นาน คิดว่าฮ่องเต้ก็คงจะรู้เช่นกันว่าในเฮยมู่กับรั่วสุ่ย เจ้าเมืองทั้งสองก็เป็นแค่หุ่นเชิดที่มีเพียงแค่ชื่อเสียงจอมปลอมแต่ไร้ซึ่งอำนาจที่แท้จริง
ฮ่องเต้จะต้องคิดหาหนทางอื่นเพื่อจัดการแทรกซึมเข้ามาอีกแน่นอน ชังมู่กล่าวคำอำลากับมั่วเชียนเสวี่ย แต่ตากลับมองไปทางอวี่เสวียน
มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ใช่คนไร้น้ำใจ นางยิ้มบางๆ และให้อวี่เสวียนไปส่ง หลังจากส่งชังมู่ ทหารสองกลุ่มนั้นย่อมติดตามอวี่เสวียนกลับไปยังจวนกั๋วกงด้วย
เมื่อกำชับอวี่เสวียนเรียบร้อยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ให้พ่อบ้านนำพวกเขาออกจากจวนไป จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากลานต่อสู้
ตอนที่มั่วเหนียงประมือกับอวี่เสวียน กุ่ยซาเฝ้ารักษาการณ์ห่างออกไปร้อยก้าว ส่วนพ่อบ้านก็ยืนอยู่นอกป่า
นางกระซิบถามชังมู่ว่า ‘เหตุใดฮ่องเต้ถึงให้ความสำคัญกับป้ายไม้ดำแผ่นนี้นัก’
ก็แค่ป้ายไม้แผ่นหนึ่งเท่านั้น คนในชนเผ่าติดตามใครก็คือคนนั้น เกี่ยวข้องกับอะไรกับป้ายไม้นี้กันด้วย
ทว่าชังมู่กลับเอ่ยถึงเรื่องการสักการะบูชาขึ้นมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ที่แท้บรรพบุรุษของทั้งสองชนเผ่าเคยสาบานเอาไว้ว่า ขอเพียงแค่เป็นผู้ที่ถือป้ายไม้ดำแผ่นนี้ ทุกคำสั่งที่ได้สั่งออกมา ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืน
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมตอนนั้นชนเผ่าเฮยมู่กับรั่วสุ่ยทั้งสองชนเผ่าถึงได้มอบป้ายไม้ดำที่เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความยึดเหนี่ยวทางใจแผ่นนี้ให้กับท่านกั๋วกง
ป้ายไม้ดำแผ่นนี้ไม่ใช่วัตถุธรรมดา มันสามารถส่งเสียงขานรับกับป้ายสองแผ่นบนร่างของพวกเขาได้
ขณะที่ชังมู่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ในใจของมั่วเชียนเสวี่ยก็มีความมั่นใจเล็กน้อยแล้วว่า ตอนนั้นนางมีความรู้สึกคุ้นเคยจากบริเวณกลางฝ่ามือส่งต่อไปที่กลางหน้าผากจริงๆ
ทว่าวาจาในตอนท้ายกลับทำให้มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเช่นไร
ชังมู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญ ยังมีเรื่องสำคัญกว่านั้นอีก
มุมปากเขาขยับเล็กน้อย น้ำเสียงก็ถูกกดลงต่ำมาก คล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่ข้างหูมั่วเชียนเสวี่ย จนนางต้องตั้งสมาธิอย่างสุดความสามารถถึงจะได้ยินชัดเจน
เขาบอกว่า ตั้งแต่มีเมืองเฮยมู่รั่วสุ่ยขึ้นมา ทั้งสองชนเผ่าก็บูชาป้ายไม้ดำแผ่นนี้มานานหลายปี ผู้คนลือกันว่าหากป้ายไม้แตกหัก ชนเผ่าเฮยมู่และรั่วสุ่ยจะล่มสลายจากโลกใบนี้
ป้ายไม้แผ่นหนึ่งแตกหักก็สามารถทำให้ทั้งสองชนเผ่าล่มสลายได้?!
มั่วเชียนเสวี่ยย่อมไม่เชื่อ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะไม่เชื่อ
นางได้รับการอบรมสั่งสอนด้วยความเชื่อที่ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริงมานานหลายปี แต่นางกลับทะลุมิติมาเสียนี่
ป้ายไม้แผ่นนั้นไม่ใช่ทั้งไม้และหยก แต่กลับซ่อนอยู่ในร่างกายนาง ขอแค่นางไม่ยินยอม คนนอกก็จะมองไม่เห็น
แม้ว่านางจะใกล้ชิดสนิทสนมกับหนิงเซ่าชิง แต่เขาก็ยังไม่ค้นพบป้ายไม้แผ่นนี้เช่นกัน
ดูท่า ในโลกคู่ขนานแห่งนี้จะมีเรื่องราวประหลาดมากมาย นับประสาอะไรกับชนต่างเผ่า คนประหลาดย่อมเยอะยิ่งกว่า กระทั่งคุณไสยในตำนานก็ยังมี นับประสาอะไรกับสิ่งเหล่านี้กัน
มิน่าฮ่องเต้ถึงอยากจะได้ป้ายไม้ขนาดนี้…
มิน่าท่านพ่อกับท่านแม่ถึงต้องอยู่ช่วยพวกเขาก่อสร้างที่ชายแดนตะวันตก เป็นผู้กล้าที่ทำทุกสิ่งเพื่อตอบแทนบุญคุณ โดยไม่สนใจถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง…
ตอนนี้เฮยมู่รั่วสุ่ยสองชนเผ่าล้วนมอบชีวิตให้กับนาง นางจะต้องปกป้องพวกเขาจากการโจมตีของชนเผ่าชาง อีกทั้งราชวงศ์ก็จับจ้องตาเป็นมัน หนทางข้างหน้าของเฮยมู่รั่วสุ่ยนั้นน่าหนักใจ…ระหว่างทางเดินกลับไป ฝีเท้าของมั่วเชียนเสวี่ยหนักอึ้งเป็นอย่างมาก
ชังมู่และอวี่เสวียนออกจากจวนกั๋วกง การจากลาใกล้จะมาถึงในเร็วๆ นี้แล้ว ทว่าทั้งสองคนกลับไร้วาจาจะกล่าวไปชั่วขณะ
นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง ยังคงเป็นอวี่เสวียนที่ทำลายความเงียบลง “แต่ก่อนมักจะได้ยินคนกล่าวกันว่าคุณหนูใหญ่ร่างกายอ่อนแอ ขี้ขลาดตาขาว แต่วันนี้เมื่อได้พบ ข้ารู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่ใช่ผู้ที่ขี้ขลาดตาขาว แต่ภายในร่างกายบอบบางนั้นยังเต็มไปด้วยความเข้มแข็งอีกด้วย
ชังมู่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาสองข้างกวาดมองกลุ่มคนรอบด้าน พลางเอ่ยว่า “ข่าวลือไม่อาจเชื่อถือได้! ยิ่งไปกว่านั้น บุตรีที่ท่านกั๋วกงผู้เป็นถึงวีรบุรุษที่มีจิตใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ให้กำเนิดออกมา จะขี้ขลาดตาขาวเหมือนมุสิกได้อย่างไรกัน”
“เมื่อกลับไปถึงแล้ว ท่านจะต้องปกปักษ์บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราให้ดี”
“อืม เจ้าก็ต้องปกป้องคุณหนูใหญ่ให้ดีเช่นกัน หากมีวันหนึ่งที่คุณหนูใหญ่เปลี่ยนความคิด เจ้าก็รีบพาคุณหนูใหญ่ออกจากเมืองหลวงเสีย จวนกั๋วกงที่ชายแดนตะวันตกรอคุณหนูใหญ่อยู่ตลอด…”
“……”
“ข้าจะรอเจ้าพาคุณหนูใหญ่กลับไปด้วยกันที่ชายแดนตะวันตก…”
ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันอีก ชังมู่ดึงอวี่เสวียนเข้ามากอดในตรอกลึกลับตาคน รอบด้านไร้ผู้คน ทั้งสองคนกอดกันแนบแน่นราวกับต้องการจะฝังอีกฝ่ายเข้าไปในร่าง…
ช่วงสาย พ่อบ้านมั่วก็นำหมัวมัวกับสาวใช้ที่ไม่คุ้นหน้ามา
นี่คือหมัวมัวสองคนกับสาวใช้สองคนที่หนิงเซ่าชิงรับปากว่าจะส่งมาให้นางเมื่อวาน มาช่วยนางเฝ้าระวังเรือน ถึงเขาจะยังไม่รู้เรื่องป้ายไม้ดำ แต่เขาจะไม่สังเกตเห็นอันตรายข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยได้อย่างไร
นอกจากความเป็นห่วง เขาก็รู้สึกว่ากำลังคนของนางไม่พอ จึงเอ่ยเงื่อนไขกับนางอย่างเข้มงวดว่า หลังจากนี้ไม่ว่านางจะไปที่ใดล้วนต้องให้ชูอี สืออู่และมั่วเหนียงติดตามไปด้วย
ตอนนี้มีอวี่เสวียนกับทหารกล้าในกองทัพเฮยมู่และรั่วสุ่ยสองกลุ่มที่อวี่เสวียนพามา แม้ว่านอกจวนจะมีคนจับตาดูอยู่ แต่ภายในจวนนั้นปลอดภัยแล้ว
ขอเพียงแค่ผู้ที่เรียกตนเองว่าลูกพี่ลูกน้องสามคนนั้นไม่ได้ก่อเรื่อง นางก็จะยินยอมให้พวกเขาอยู่จนถึงวันที่ครบรอบวันตายหนึ่งปีของท่านพ่อ
ค่ำคืนในต้นฤดูร้อน เมื่อมีเสียงจักจั่น ก็ยิ่งเงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด
ผืนฟ้าปกคลุมไปด้วยสีน้ำเงินเข้มและดูห่างไกล จันทราลอยเด่นกระจ่างฟ้า แสงสว่างอันงดงามสาดส่องเข้ามายังห้องนอนในเรือนเสวี่ยหว่าน ภายในห้องจุดธูปหอมไว้ดอกหนึ่ง ให้ความรู้สึกเมฆหมอกลอยละล่องอยู่บ้าง
ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยที่เอนตัวนอนอยู่บนตั่งกลับไร้ความรู้สึกผ่อนคลาย
นางกำลังรอหนิงเซ่าชิง
เขาพูดเอาไว้ว่าวันนี้เขาจะมาเยี่ยมนาง วันนี้นางสั่งคนข้างกายทั้งหมดออกกไปแล้ว มีเพียงแค่กุ่ยซาที่ยังเฝ้าดูแลอยู่นอกเรือน
หนิงเซ่าชิงเคยพูดว่า กุ่ยซาผู้นี้หูดีมาก ตอนที่เงียบสงบ ความเคลื่อนไหวรอบด้านภายในหนึ่งร้อยจั้งเขาล้วนได้ยิน
ป้ายไม้ดำนี้สำคัญมาก ตอนนี้ศัตรูของนางคือฮ่องเต้ คือเจิ้นหนานอ๋อง คือทั้งราชวงศ์ นางจำเป็นต้องคุยกับหนิงเซ่าชิง เพื่อปรึกษาหารือกันให้ดี
นางไม่อยากนำความเดือดร้อนมาให้เขา แต่ว่ากลับทนกล้ำกลืนโทสะนั้นไม่ลง และยิ่งไม่สามารถปล่อยชนเผ่าเฮยมู่กับรั่วสุ่ยทั้งสองชนเผ่านั้นได้
ที่แท้ เมื่อรับป้ายไม้นั้นมาแล้ว ก็ได้รับขุมกำลังหนึ่งมาด้วย แต่ก็เป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งเช่นกัน
หนิงเซ่าชิงเคลื่อนตัวผ่านเข้ามาทางนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว เสื้อตัวยาวสีน้ำเงินเข้มสะบัดปลิวเล็กน้อยในสายลมยามค่ำคืน
แสงจันทร์ขาวนวลที่ส่องผ่านดอกไม้ใบหญ้ากระทบลงบนใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนของเขา เรือนผมสีน้ำหมึกทิ้งตัวลงมาราวกับน้ำตกที่รินไหล ชุดฉังเผาตัวยาวสีน้ำเงินเข้มสะท้อนแสง นับว่าเป็นบุรุษรูปงามที่ฝีมือสูงส่ง มากความสามารถอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นเขาเข้ามา มั่วเชียนเสวี่ยก็ลุกขึ้นไปกอดเขาเอาไว้ นางไม่เคยวิตกกังวลดั่งเช่นในวันนี้มาก่อน และไม่เคยมีความปรารถนาที่จะได้พบเขาดั่งเช่นวันนี้…
เมื่อเผชิญหน้ากับความกระตือรือร้นของมั่วเชียนเสวี่ยเช่นนี้ แม้หนิงเซ่าชิงจะรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง แต่ก็สู้ความอบอุ่นที่งอกเงยอยู่ในใจไม่ได้ เขากระชับแขนกักขังนางเอาในอ้อมแขน
ทว่า สิ่งที่ทั้งสองคนไม่รู้ก็คือ ยามที่หนิงเซ่าชิงเข้าไปในเรือนเสวี่ยหว่าน ฮ่องเต้ก็เรียกหัวหน้าตระกูลมั่วเข้าพบอย่างลับๆ
“ทำไมหรือ ไม่เจอกันเพียงวันเดียว ก็คิดถึงข้าขนาดนี้เชียว…” หนิงเซ่าชิงกอดมั่วเชียนเสวี่ยไปนั่งที่ข้างตั่ง
หางตาเขาเจือแววแห่งความสุขที่อำพรางไม่มิด นัยน์ตาลึกซึ้งที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ขาวนวลของดวงจันทร์นั้นลึกล้ำราวกับทะเลสาบที่สงบนิ่ง คล้ายกับว่าผู้ที่เขาตระคองกอดอยู่ในอ้อมแขนในตอนนี้คือของที่ล้ำค่าที่สุด หวงแหนที่สุด และบอบบางที่สุดในโลกใบนี้