บทที่ 309 มีลางสังหรณ์ไม่ดี ที่ผ่านมาเสี่ยวหยาสบายดีหรือไม่?
เณรน้อยไม่อยากเข้าไปในยอดเขาจิ่วฉง
แต่ตัวเขาไม่มีวิธีแล้ว
แม้ว่าวิญญาณกับกายเนื้อจะอยู่ในระดับขอบเขตสูงสุด แต่เมื่ออยู่เขาญาณทรายพิภพ เขาต้านทานอะไรไม่ได้เลย
ต้าเต๋อรู้ดีว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของพุทธศาสนาน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ไม่ต้องกล่าวว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญธรรมขอบเขตสูงสุดท่านหนึ่ง เข้าเขาญาณทรายพิภพไม่ได้แปลว่าจะเรียกคลื่นลมได้ตามใจชอบ
“เฮ้อ…”
เณรน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่ได้กล่าวหรือต่อต้านใด ๆ เพียงเดินตามนักรบพระโพธิสัตว์ไปยังยอดเขาจิ่วฉงเท่านั้น
นี่เพราะเขาเชื่อในคำของพระสังฆราชมากเกิน กระทั่งไม่เคยคิดว่าเมื่อเขากลับมามันจะเกิดเรื่องขึ้น
หากเขาคิดได้เร็วกว่านี้สักหน่อย เขาจะไม่ตามกลับมาที่หลิงซาน
…
ณ เหยียนโจว เขาหยงหมิง
หลี่จิ่วเต้าชมดูการแข่งขันนานาอย่างสบายอกสบายใจยิ่ง
ครั้งนี้เขาเดินทางมาภาคกลางนั้นช่างคุ้มค่าจริง ๆ การแข่งขันเหล่านี้น่าชมนัก ทำให้เขาเข้าใจระดับขอบเขตความทรงพลังของผู้ฝึกตนมากขึ้น
เวลาผ่านไปจบจนการแข่งขันทุกอย่างสิ้นสุดลง
ผู้ฝึกตนต่างพากันแยกย้ายออกจากภูเขาหยงหมิง
ผู้อาวุโสเก้าของตระกูลซางประกาศว่า ทั้งสามแดนจะช่วยกันสร้างสถานศึกษา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาจำต้องกลับเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสอบคัดเลือกเข้าสถานศึกษาที่กำลังจะมาถึง
ถึงกระนั้น ยอดฝีมือตระกูลเก่าแก่กับสำนักโบราณไม่ได้จากไปในทันที
ตอนนี้ภูเขาหยงหมิงกลายเป็นฐานของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะหารือเรื่องตั้งสถานศึกษาที่นี่ต่อ
บรรดานักบุญโบราณที่ถูกเชิญมาที่นี่ ตอนนี้กลายมาเป็นนักบุญอาวุโสแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้จากไปเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากจากไป แต่… พวกเขาทำไม่ได้!
ตอนนี้ตัวพวกเขาทั้งหมดถูกผูกมัดไว้อย่างแน่นหนา ในสถานศึกษาที่สร้างขึ้นมาใหม่ พวกเขามีหน้าที่ต้องดูแลให้คำปรึกษา และอบรมสั่งสอนนักเรียน
พวกหลี่จิ่วเต้าเองก็ยังไม่ได้จากไป
ออกมาทั้งทีไม่ง่ายนัก หลี่จิ่วเต้ายังไม่อยากกลับไปเร็ว
เพราะได้ยินมาว่าทิวทัศน์ใกล้กับเขาหยงหมิงงดงามยิ่ง เขาจึงตั้งใจว่าจะไปชมชมทิวทัศน์รอบเขาหยงหมิงเสียหน่อย
จากนั้นค่อยไปชมสถานที่ชื่อดังในภาคกลางต่อ
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงมาจากภาคกลาง พวกเขาทั้งสองคนเล่าเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในภาคกลางมากมาย เขาจึงอยากไปชมสักครั้ง
ถึงอย่างไรก็สะดวกมีประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกับสือเฟิงเป็นคนนำทาง
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง พวกหลี่จิ่วเต้ากลับไปที่วังของตนเอง
ทว่าหลิงอินไม่ได้กลับไปด้วย
นอกวังที่พวกเขาอาศัยอยู่มีผู้อาวุโสตระกูลซางคอยปกป้องคุ้มครอง
หลิงอินสอบถามผู้อาวุโสเรื่องที่พักของเจียงอวี่สือ นางรู้ว่าเจียงอวี่สือไม่ได้จากไป เพราะนางเห็นเจียงอวี่สือกลับมาที่วังบนยอดเขา
เพียงแต่นางไม่รู้ว่ามันคือวังไหน
เจียงอวี่สือกับยอดฝีมือจากหุบเขาคงหลิงมาถึงนานแล้ว แรกเริ่มพวกเขาอาศัยอยู่ในวังชั้นยอดแต่ภายหลังก็ถูกย้ายไปวังอื่น
บนยอดเขากว้างขวางยิ่ง มีวังตั้งเรียงราย หลิงอินเดินผ่านวังแล้ววังเล่าจนมาถึงวังที่เจียงอวี่สือพำนักอยู่
“ขออภัยที่มารบกวน”
หลิงอินเห็นเจียงอวี่สือแล้วก็กล่าวอย่างสุภาพ
“แม่นางมีเรื่องอันใดหรือ? ”
เจียงอวี่สือถามหลิงอิน
การประชุมครั้งใหญ่นี้ เซี่ยเหยียนและพวกอ้ายฉานไม่จำเป็นต้องซ่อนฐานะตัวตนว่ามาจากยอดนิกายอีกต่อไป เพราะผู้อาวุโสหุบเขาคงหลิงบอกนางว่าเซี่ยเหยียนกับพวกอ้ายฉานมาจากยอดนิกาย!
หลังนางรู้ นางก็เข้าใจทุกอย่าง
ไม่แปลกใจเลยเหตุใดเซี่ยเหยียน พวกอ้ายฉาน จะมีพรสวรรค์ชวนให้คนอัศจรรย์ใจ ที่แท้เป็นเพราะมาจากยอดนิกายนั้นเอง!
“วันนี้เพลงฉินที่ท่านบรรเลงไพเราะจริง ๆ ทำให้ผู้อื่นตกตะลึงแทบแย่”
หลิงอินกล่าวชม “ยามนี้เอาแต่นึกถึงเพลงที่ท่านเล่น จึงอยากแลกเปลี่ยนความรู้เพลงฉินกับท่าน ข้าอยากรู้ชื่อเพลงฉินนี้มาก ท่านจะพอบอกข้าได้หรือไม่?”
จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายมาหานางก็เพื่อสิ่งนี้สินะ…
เจียงอวี่สือครุ่นคิดในใจ นางคิดว่าหลิงอินต้องการบางอย่างจากนาง
เพียงแต่ปุถุชนเช่นหลิงอินจะมาหานางเพื่อสิ่งใดกัน…
เซี่ยเหยียนกับพวกอ้ายฉานมีฐานะไม่ธรรมดา ต่างมาจากยอดนิกาย ทว่าหลี่จิ่วเต้ากับหลิงอินนั้นไม่ได้มีฐานะอะไรเลย พวกเขาเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาสองคน แต่มีความสัมพันธ์กับเซี่ยเหยียนและพวกอ้ายฉานที่ถูกยอดนิกายเลือกอีกที…
“บทเพลงฉินนี้เรียกว่า ‘ถามเซียน’ บรรพบุรุษผู้หนึ่งในหุบเขาของข้าเป็นคนแต่ง”
เจียงอวี่สือกล่าวพร้อมแย้มยิ้มจาง ๆ
นางกล่าวต่อ และสีหน้าของนางก็เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม “บรรพบุรุษผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์ไร้ผู้ใดเปรียบ พรสวรรค์ของบรรพบุรุษเดิมทีอยู่ในระดับปานกลาง หลังจากฝึกฝนในหุบเขามาเกือบร้อยปี สุดท้ายก็จุดเพลิงเทวา กลายเป็นเทวาได้สำเร็จ”
“ทุกคนในหุบเขาต่างคิดว่าบรรพบุรุษผู้นี้จะอยู่ขอบเขตนี้ไปตลอดชีวิต”
“ทว่าผู้ใดจะล่วงรู้ บรรพบุรุษท่านเป็นคนมุมานะ ร้องเพียงครั้งเดียว ก็ทำคนตกตะลึงงัน*[1]! “
“ความสามารถของบรรพบุรุษร้อยปีก่อนนั้นแสนจะธรรมดา แต่ในอีกร้อยปีถัดมา บรรพบุรุษสร้างปาฏิหาริย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นที่จับจ้องของนานาสิ่งมีชีวิต และเป็นความภาคภูมิแห่งสวรรค์ในช่วงเวลานั้น!”
เจียงอวี่สือมองหลิงอินพลางกล่าวว่า “เจ้าฝึกตนไม่ได้ย่อมไม่รู้ บรรพบุรุษของเราใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีทะลวงจากขอบเขตราชันไปขอบเขตสูงสุด นับแต่สมัยโบราณมาจวบจนถึงตอนนี้ เรียกได้ว่าน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง!”
ร้อยปีทะลวงจากขอบเขตราชันไปขอบเขตสูงสุด!
ภายในใจของหลิงอินสะท้านเหลือแสน ต้องมีพรสวรรค์เช่นใดถึงสามารถทำเช่นนี้ได้?
นางคิดว่าพรสวรรค์ของตนยอดเยี่ยมแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสองพันสามร้อยปีกว่าจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสูงสุดได้!
บรรพบุรุษหุบเขาคงหลิงใช้เวลาเพียงสองร้อยปีทะลวงสู่ขอบเขตสูงสุด เรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
เจียงอวี่สือกล่าวว่า เป็นบรรพบุรุษของนาง…
อีกฝ่ายน่าจะถือกำเนิดหลังนางก้าวเข้าสู่เส้นทางสังสารวัฏได้
ไม่เช่นนั้นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์เช่นนี้ นางจะไม่รู้จักได้อย่างไร?
แต่ในความทรงจำของนางไม่มีคนผู้นี้อยู่เลย
ช้าก่อน…
บทเพลงฉินนี้แต่งโดยบรรพบุรุษ แล้วเสี่ยวหยาเล่า?
มีเพียงนางกับเสี่ยวหยาเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับบทเพลงฉินนี้ หลังนางก้าวเข้าสู่เส้นทางสังสารวัฏ บทเพลงฉินนี้ก็น่าจะเป็นของเสี่ยวหยาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เหตุใดบรรพบุรุษผู้นี้ถึงบอกว่าเขาแต่งเอง?
แม้บรรพบุรุษผู้นี้จะดัดแปลงดนตรีฉินช่วงหลัง แต่เขาก็ไม่สามารถพูดได้ว่า คนเองเป็นคนแต่งมันขึ้นมาเอง!
ปกติแล้ว คนเราควรต้องให้เกียรติผู้แต่งไม่ใช่หรือ?
บางทีบรรพบุรุษนี้อาจไม่สนใจคนแต่งต้นฉบับเลยก็เป็นได้ อีกฝ่ายเพียงต้องการดัดแปลงเพื่อแอบอ้างว่าตนเป็นแต่ง!
จู่ ๆ นางก็มีความรู้สึกไม่ดีว่า สถานการณ์ของเสี่ยวหยานั้นอาจจะไม่ดีอย่างที่นางคาดไว้…
“เพลงฉินของเจ้าไพเราะมาก!”
หลิงอินถามเจียงอวี่สือว่า “ให้ข้าดูอีกครั้งได้หรือไม่?”
“แน่นอน”
เจียงอวี่สือกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ฉินนี้ บรรพบุรุษใช้เวลาสร้างนานมาก!”
ว่ากล่าวกันตามตรง ฉินตัวนี้ไม่ใช่ฉินคุณภาพสูงเป็นเพียงเครื่องดนตรีขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
เพียงแต่ในหุบเขาคงหลิงถือว่ามันเป็นของสำคัญและมีความหมายพิเศษ
เพราะนี่คือฉินที่บรรพบุรุษผู้นั้นเป็นคนใช้ ศิษย์ในหุบเขาคงหลิง เฉพาะผู้มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้นจึงจะสามารถใช้มันได้!
ฉินตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงฐานะ!
การที่นางได้รับฉินนี้มาแสดงให้เห็นว่า นางได้รับการยอมรับจากหุบเขาคงหลิง
ดังนั้นนางย่อมภูมิใจมากและพกฉินนี้ไปกับนางทุกที่
[1] ร้องเพียงครั้งเดียว ทำคนตะลึงงัน (不鸣则已一鸣惊人) หมายถึง คนเก่งที่มีความสามารถอยู่เต็มตัว แต่ปกติธรรมดาอาจไม่มีใครรู้เพราะไม่ได้เผยตัวแสดงออก แต่ถ้าได้แสดงความสามารถมาเมื่อใด ก็จะทำให้คนรอบข้างตะลึงถึงความเก่ง หรือความสามารถอันนั้นเป็นอย่างมาก