“ข้าไม่ใช่คนประเภทที่ไม่รู้จักบุญคุณคน” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อ ”ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมให้มาก แล้วปล่อยให้คนที่อยู่รอบตัวท่านมาบอกข้าหรอกว่า…”
ตึง!
ก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นข้างหู
กำปั้นที่สวมถุงมือสีดำของเขาพุ่งเข้ากระแทกกับผนัง เขาไม่สนใจเลือดที่ไหลลงมาระหว่างนิ้วแม้แต่นิดเดียว เขาค่อยๆ ย่อตัวลง และแม้ว่าบนใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้มอยู่ แต่ในดวงตาของเขานั้นกลับปราศจากความอบอุ่น ”เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าคิดแยกทางกับข้าทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่”
“ข้าเพียงแค่พยายามหาทางออกอยู่ก็เท่านั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ไขว้เขว นางเชื่อว่าเขาเป็นคนมีเหตุผลมากพอ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสังเกตเห็นสีหน้าของนาง เขานิ่วหน้าด้วยความผิดหวัง และในวินาทีต่อมา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เหวี่ยงแขนของตัวเองเข้าใส่นางด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบ นางมองเห็นเพียงแค่ความโหดร้ายในดวงตาที่หรี่ลงของเขา!
ในเวลาเดียวกันนั้น นางก็ได้ยินหยวนหมิงตะโกนขึ้นว่า ”ระวัง!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือเข้าหากัน ฝ่ามือและปลายนิ้วของนางเริ่มเคลื่อนไหวโดยไม่คิดที่จะลังเล
ในเสี้ยววินาทีต่อมา นางก็ได้ยินเสียงของเนื้อที่ถูกแทงทะลุดังก้องไปทั่วโสตประสาท
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก นางมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง มีดในมือนางแทงเข้าที่ไหล่ของชายหนุ่ม!
ในขณะเดียวกันที่ด้านหลังของนาง สัตว์อสูรหน้าตาชวนขนลุกตัวหนึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ตรงนั้น ก่อนสลายหายไปในอากาศ!
หยวนหมิงยกมือขึ้นกุมหน้าผากของตน แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้า ”แม่นาง ข้าบอกให้เจ้าระวังเจ้าตัวที่อยู่ข้างหลังเจ้าต่างหาก”
สมองของเฮ่อเหลียนเวยเวยว่างเปล่า นางถึงกับพูดไม่ออกขณะจ้องชายหนุ่มที่มีเลือดทะลักออกมาจากบาดแผลจนตาค้าง
จากนั้นชายหนุ่มคนนั้นก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และเย็นชาที่นางคุ้นเคยออกมา เสียงของเขาแผ่วเบาและฟังดูคล้ายกำลังปลอบประโลมนางอยู่ ราวกับน้ำพุที่ทะลักออกมาจากน้ำแข็ง ในความเย็นชานั้นมีความโกรธปนอยู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ก็ติดจะไม่พอใจว่า ”ถ้าเจ้าอยากจะยุติสัญญาก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าเป็นของข้า เพราะฉะนั้นเจ้าต้องติดตามรับใช้ข้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยลังเล นางอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่ามันช่างน่าตลกยิ่งนัก นิสัยประเภทเจ้าเป็นหุ่นเชิดของข้า และมีเพียงแค่ข้าเท่านั้นที่สามารถทำลายเจ้าได้ช่างไม่เหมือนกับสิ่งที่องค์ชายสามผู้สูงส่งควรจะพูดเอาเสียเลย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ถามความสมัครใจของนาง เขาใช้นิ้วที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบนั้นสกัดจุดเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นด้วยการสะบัดเพียงแค่ครั้งเดียว มีดที่เคยอยู่ในตัวเขาก็แตกออกเป็นเสี่ยงราวกับเศษหญ้า เขาไม่สนใจที่จะมองดูบาดแผลของตัวเองด้วยซ้ำ เขาอุ้มนางขึ้น แล้วสาวเท้าเดินกลับออกไป
ระหว่างทาง เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกเสื้อคลุมของเขาคลุมตัวเอาไว้จนยากที่จะระบุใบหน้าได้ ทำให้ลูกศิษย์ที่ออกมาข้างนอกกลางดึกไม่รู้ว่าเขากำลังหอบอะไรอยู่
อย่างไรเสียพวกเขาก็อยู่ไกลจากจุดที่พวกนางอยู่มากทีเดียว
ยิ่งกว่านั้น ฝีเท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็รวดเร็วมากจนน่าเหลือเชื่อ
เขาหายตัวไปจากสายตาของศิษย์คนอื่นๆ ก่อนที่พวกเขาจะทันได้สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ทิ้งไว้ก็แต่เพียงรอยเท้าของเขาที่อยู่ในม่านหมอก
ทันทีที่ทั้งสองเข้ามาภายในห้อง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดึงชุดที่คลุมศีรษะของนางอยู่ทิ้งลงกับพื้น จากนั้นเขาก็ผลักนางกระแทกกับกำแพง แล้วตามเข้าไปจูบนาง
กลิ่นอายความเป็นชายของเขาเข้าใกล้นางเป็นอย่างมาก มันเหมือนกลิ่นของดอกบัว แต่ในเวลาเดียวกันก็เหมือนกับหิมะ ชวนให้ลุ่มหลงมัวเมาเป็นอย่างยิ่ง
จูบนั้นทั้งเอาแต่ใจ ร้อนแรง และเต็มไปด้วยความโกรธอันไม่อาจควบคุมได้ มันทำให้นางยากที่จะหายใจได้
มือข้างหนึ่งของเขาโอบรอบเอวเล็กๆ ของนางแน่น ส่วนอีกข้างก็จับปลายคางของนางเอาไว้ แทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังยัดเหยียดจูบอันลึกล้ำให้กับนางอยู่
นางรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ ตลอดทางจากหน้าประตูมาจนถึงห้องนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะคลายการสกัดจุดที่ทำให้นางตัวแข็งอยู่นี้เลยด้วยซ้ำ และตอนนี้นางก็ถูกบังคับให้นอนลงกับเตียง ท่ามกลางลมหายใจของนางกับเขาที่เต็มไปด้วยกลิ่นไม้จันทน์จากร่างของอีกฝ่าย
“แม่นาง ไหนๆ เขาก็เริ่มก่อนแล้ว ทำไมเจ้าไม่ยอมแพ้เสียล่ะ เจ้าสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อฝึกพลังได้” เสียงอันน่าหงุดหงิดของหยวนหมิงยังคงดังก้องอยู่ในหูของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดการสื่อสารทางกระแสจิตกับเขาทันที แล้วขังเขาเอาไว้ในมิติสวรรค์ มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะทำให้นางได้ความสงบของตัวเองกลับคืนมา
ในเวลานี้นางสามารถคลายอาการตัวแข็งนั้นลงได้ นางคว้าหมับเข้าที่แขนของชายหนุ่ม แล้วมองไปยังไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทั้งที่ยังพยายามปรับจังหวะการหายใจของตัวเองให้สม่ำเสมออยู่
เพราะการปฏิเสธอย่างเงียบๆ นี้ ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา มันเย็นชาเสียจนเหมือนกับว่าเขาตกลงไปในห้องทำน้ำแข็ง
ภายใต้ดวงตาคู่นั้นมีความโกรธซ่อนอยู่ รูม่านตาสีดำขลับของเขาหดแคบลง พร้อมกับแววตาเย็นชาที่ปรากฏออกมา ราวกับว่าพวกมันได้กลายเป็นดวงตาของปีศาจร้ายไปเสียแล้ว ภาพนั้นดูเหมือนกับว่า… เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นมันได้อย่างชัดเจน
ดวงตาแสนเฉยชานั้นเป็นประกายระยับ พวกมันดูคล้ายกำลังพยายามอดกลั้นอารมณ์ แต่ก็ยังดูบ้าคลั่งอยู่ในที
บ้าคลั่งเสียจนแทบจะบิดเบี้ยว…
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ตระหนักได้ว่านางอาจจะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นนางจึงอ้าปากขึ้นหมายจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่นางกลับถูกตัดบทเสียก่อน ”ถ้าข้าเป็นเจ้า ตอนนี้ข้าจะสงบปากสงบคำเอาไว้” เข่าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนไหวอย่างไม่รีบร้อน… หลังจากเคลื่อนตัวผ่านขายาวได้รูปทั้งสองข้างของนาง ในที่สุดร่างของเขาก็ขึ้นมาทาบทับร่างของนางเอาไว้ได้สำเร็จ
“ทำไมเจ้าถึงปฏิเสธข้าอยู่เรื่อย”
นางเคยปฏิเสธเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
เอาล่ะ จะว่าไปก็เคย
แต่ถ้านางนอนอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้มีคนมาอยู่บนตัวนาง มันก็คงน่าตลกสิ้นดี!
น่าตลกเกินไปเสียด้วย!
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยให้โอกาสเจ้ามาหลายครั้ง… แต่เจ้าก็ไม่เคยเชื่อฟังเลย เจ้าจะยอมอยู่นิ่งๆ ก็ต่อเมื่อข้ามัดกรงเล็บของเจ้าเอาไว้แล้วเท่านั้น”
โอกาสอะไรกัน
ทำอย่างกับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยจับนางขังเอาไว้อย่างนั้นล่ะ!
เขาลืมเรื่องเตียงรูปกรงทองในวันอภิเษกสมรสไปแล้วหรือ
“ก่อนมาที่นี่เจ้าสัญญาอะไรกับข้าไว้ เจ้าปล่อยให้ข้ารอนานถึงเพียงนั้นได้อย่างไร…”
สวรรค์ ถ้าท่านไม่พอใจกับเรื่องนี้ ทำไมเราไม่สลับกันแล้วปล่อยให้ข้ารอท่านสักสองวันบ้างล่ะ
“พูดสิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …แล้วตอนแรกใครบอกให้นางสงบปากสงบคำเอาไว้!
“ท่านตั้งใจจะคุยเรื่องนี้กับข้าทั้งที่เลือดยังออกอยู่เช่นนี้น่ะหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจ มือของนางทาบลงบนข้อมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางพลิกตัวครั้งเดียวก็สามารถหมุนตัวลงจากเตียงได้ แล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งออกมาจากชั้นเก็บของบนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างเคยชิน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นมานั่งแล้ว เขาดูใจเย็นกว่าก่อนหน้านี้ เสื้อคลุมสีขาวยับอยู่รอบตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลุบตาลงพร้อมกับปลดคอเสื้อของเขาออกเพื่อตรวจสอบบาดแผล แล้วก้มหน้าลงใช้สำลีเช็ดบาดแผลนั้นจนสะอาด จากนั้นนางก็ทายาลงบนนั้น ”วางแขนลง”
บางครั้งไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย เขาในเวลานี้ดูหล่อเหลาทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยพองลมที่แก้มเมื่อสังเกตเห็นว่าคิ้วของเขากำลังขมวดเข้าหากัน จากนั้นนางก็ฉีกผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนั้นออกเป็นเส้นๆ แล้วจุ่มมันลงในอ่างอย่างเชี่ยวชาญ ”เมื่อครู่นี้มันตัวอะไรกัน” นางไม่ทันสังเกตเลยด้วยซ้ำว่ามีใครบางคนกำลังขยับตัวเข้ามาใกล้นาง
“มันคืออสูรเลื้อยคลาน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองสำรวจนางขึ้นลง จากนั้นจึงพูดต่อ ”ดังนั้นในฐานะภรรยาของข้า เจ้าจึงไม่ควรออกไปพบกับคนอื่นยามวิกาล แล้วทำให้ตัวเองแปดเปื้อนสิ่งโสมมพวกนั้น เจ้าอาจจะตายเอาได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเจ็บที่เข่าของตัวเอง นางสงสัยนักว่าทำไมทุกครั้งที่องค์ชายพูดอะไรสักอย่าง เขาจะต้องเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาปนกันเสียทุกครั้ง
แต่…
“เจ้าตัวนั้นมันมาอยู่ในสำนักได้อย่างไร”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้นิ้วผอมเพรียวจัดคอเสื้อของตนช้าๆ สายตาของเขาดูลึกล้ำยิ่งขึ้น ”ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่ป่าวิญญาณแน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งใจฟังเงียบๆ จากนั้นดวงตาของนางก็เป็นประกายราวกับนางเพิ่งมีความคิดดีๆ ผุดขึ้นมาในหัว นางกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ชายหนุ่มก็คว้าตัวนางกลับมาเสียก่อน…