นางได้ยินเพียงแค่เสียงดัง ’แกร๊ก’
ข้อมือทั้งสองข้างของนางถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่อย่างดี
มันคือกุญแจมือโลหะจองจำ เป็นอาวุธวิเศษที่ใช้สำหรับจองจำผู้ฝึกปราณโดยเฉพาะ
ว่ากันว่าในจักรวรรดิจ้านหลงมีของชิ้นนี้เพียงแค่สามชิ้นเท่านั้น และแต่ละชิ้นนั้นก็ประเมินค่ามิได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเจ้ายุทธ์ นางจึงคุ้นเคยกับการทำงานของของชิ้นนี้เป็นที่สุด
เขาวางแผนที่จะจับนางขังเอาไว้จริงๆ หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว
นางรู้สึกได้ถึงความเย็นเล็กน้อยที่ข้อมือในตอนที่เขาค่อยๆ สัมผัสผิวของนาง ”ดูสิ เหมาะกับเจ้ามากทีเดียว” น้ำเสียงของเขายังคงทุ้มลึกและเยือกเย็น แฝงไปด้วยการปลอบประโลมราวกับสายลมอุ่นๆ ในฤดูใบไม้ผลิเล็กน้อย
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับสามารถได้ยินความอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายในน้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนโยนนั้น
แววตาของนางมืดมนยิ่งขึ้น น้ำเสียงของนางกลายเป็นเย็นชา ”ไม่มีใครชื่นชอบความเหมาะสมเช่นนี้หรอก องค์ชาย นี่คือสิ่งที่ท่านปฏิบัติต่อพันธมิตรของท่านหรือ ดูเหมือนว่าข้าคงยังพอที่จะมีราคาอยู่บ้างกระมัง มิฉะนั้นท่านคงไม่ใช้ของแพงเช่นนี้ล่ามข้าไว้”
สถานการณ์ปัจจุบันของนางไม่ใช่ผลลัพธ์ที่นางต้องการเห็น
แต่มันน่าจะเป็นรสนิยมขององค์ชายบางพระองค์ที่ดูจะอาการหนักเอาการ และมันทำให้นางรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
คงมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถแผ่กลิ่นอายแห่งความเย็นชาอันยากจะเข้าใกล้ และความหล่อเหลาออกมาได้พร้อมกันทั้งที่กำลังใช้กุญแจมือโลหะล่ามคนอื่นได้เช่นนี้
จริงๆ เลย สุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่ทำตัวไม่ดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยบ่นในใจ แต่นางก็ยังไม่อยากที่จะเป็นปรปักษ์กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
“ท่านอยากให้ข้าทำอะไรอีกหรือ ท่านบอกมาตามตรงดีกว่า พวกเราจะได้จบกันได้ด้วยดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา นางคิดว่าเรื่องคงจะดีขึ้นหากนางพูดออกมาตรงๆ
แต่นางคาดไม่ถึงเลยว่าสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะยิ่งทวีความเย็นชาขึ้นในทันทีที่นางพูดจบ
หึ
จบกันด้วยดีหรือ
เขาเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าเยือกเย็นราวกับพยายามที่จะต่อรองกับเขาของนาง ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกเกลียดชังสีหน้าเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ
เขาไม่เคยได้อยู่ในสายตาของนางเลย… ไม่เลยสักครั้ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา ”มันไม่มีทางจบลงได้ด้วยดีหรอก สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงเจ้าต้องอยู่ข้างกายข้าเท่านั้น”
“ดังนั้นองค์ชายก็เลยตัดสินใจที่จะใช้วิธีนี้สินะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยสลัดกุญแจมือที่ข้อมือของตัวเอง แล้วเลิกคิ้วให้เขา
แผ่นหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแข็งเกร็ง มือของเขาที่อยู่ใต้ผ้าห่มกำเข้าหากันแน่น
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาจำเป็นต้องใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อเก็บหญิงสาวสักคนเอาไว้ข้างกาย
ต่อให้การทำเช่นนี้จะไม่สมกับเป็นตัวเขาเลยก็ตาม…
แต่ในฐานะองค์ชายสามแห่งจักรวรรดิจ้านหลงผู้สูงศักดิ์ มีใครที่ไหนกล้าปฏิเสธคำขอของเขาด้วยหรือ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเป็นข้อยกเว้น
เขามั่นใจว่าเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้ แต่… เขากลับไร้ซึ่งหนทางเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
“ทำไมหรือ เจ้ารู้สึกว่าวิธีการนี้มันชั่วร้ายนักรึ” น้ำเสียงของเขาลุ่มลึกและแผ่วเบา แต่ก็แฝงไปด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา สายลมพัดผ่านเส้นผมสีดำที่ปรกดวงตาคู่งามของเขาอยู่ ”แน่นอนว่าข้าคนนี้เป็นคนชั่วร้าย แตกต่างจากเพื่อนร่วมโต๊ะที่เจ้าเคยจินตนาการไว้เป็นอย่างมาก ตอนนี้ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว เจ้าคิดว่าจะสามารถหนีไปได้หรือ” เขาแค่นหัวเราะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำของเขาตอนที่นางได้ยินคำว่าเพื่อนร่วมโต๊ะ ความบริสุทธิ์กระจ่างใสที่เคยรู้สึกในยามปกติหายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยความเย็นชาที่เสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก
นางสามารถสัมผัสถึงอากาศเย็นๆ ได้อย่างชัดเจนในยามที่เขาขยับเข้ามาใกล้ เช่นเดียวกันกับลมหายใจเย็นๆ ที่มาจากเขาเช่นกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก มือของนางค้างอยู่กลางอากาศ ด้วยเหตุผลบางประการทำให้นางรู้สึกว่าในคำพูดเย็นชานั้นมีบางอย่างแฝงอยู่ มันมีความโศกเศร้าแฝงอยู่ในนั้น ทั้งยังฟังดูสิ้นหวังและให้ความรู้สึก…เปล่าเปลี่ยวอีกด้วย
ตะเกียงน้ำมันจำนวนนับไม่ถ้วนล้มระเนระนาดอยู่ด้านหลังของเขา
โต๊ะไม้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเพราะตัวเขา สายลมเองก็พัดจนเกิดเสียงคำรามหวีดหวิว
เขากำลังโกรธ
บางทีคราวนี้เขาอาจจะบีบคอนางตายจริงๆ ก็ได้
แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ ความโกรธที่ปะทุอยู่นั้นก็ยังไม่ได้ร่วงลงมาทับถมนาง
กิเลนอัคคียืนอยู่ข้างนอก เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นดียิ่งกว่าใครจากเลือดที่เดือดพล่านจวนเจียนจะระเบิดออกมาจากเส้นเลือดของตน และร้อนจัดจนแทบจะแผดเผาหัวใจของเขาให้ไหม้เกรียม!
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งเดียวที่เขามั่นใจได้ก็คือความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ปะทุอยู่นี้มาจากผู้เป็นนายของเขาที่กำลังหัวเสียอยู่นั่นเอง!
บานประตูและหน้าต่างภายในห้องสั่นไหวอยู่ในความมืด ในเวลาเดียวกันกับที่ภายนอกนั้น สายลมก็กำลังร้องคำรามราวกับสัตว์ร้าย
ทันใดนั้นจู่ๆ ก็มีสายลมพัดเข้ามาอย่างรุนแรง ส่งผลให้กระจกหน้าต่างกระแทกเข้ากับกรอบหน้าต่างนั้น…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ใต้พวกมันพอดี!
เฮ่อเหลียนเวยเวยตกใจ นางเงยหน้าขึ้นมองภาพนั้น และไม่สนใจอีกต่อไปว่าเขาจะยังโกรธอยู่หรือไม่
นางถลาเข้าไปหาเขา แล้วสลับตำแหน่งของนางกับเขาทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีเสียงดัง ’เคร้ง’ ลอยมาจากทางด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงวัตถุขนาดใหญ่แตกเป็นบริเวณกว้าง…
กระจกหน้าต่างบานนั้นกลับกลายเป็นเศษแก้วอันแหลมคมทันทีที่มันกระแทกเข้ากับแผ่นหลังโก่งโค้งของเฮ่อเหลียนเวยเวย บนพื้นเต็มไปด้วยเศษกระจกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นแสงไฟก็สว่างขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสับสนไปครู่หนึ่ง และแล้วสายลมก็หยุดลง
เขามองไปที่นาง ในเวลานั้น เขาลืมแม้กระทั่งจะขยับตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยประคองร่างของตัวเองเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว เสียงโซ่กระทบกันดังเคร้ง นางหันไปคำรามใส่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยว่า ”ถ้าท่านสามารถควบคุมอากาศได้ เช่นนั้นท่านก็ต้องสามารถหลบมันได้เหมือนกัน! บัดซบ ท่านคิดว่าท่านสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบเพียงเพราะตัวเองเป็นชายหนุ่มรูปงามหรือหรือ”
คำพูดนั้นปลุกให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตื่นจากภวังค์ เขาอุ้มนางขึ้น และใช้นิ้วสัมผัสแผ่นหลังของนางราวกับร้อนใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยตกใจ แล้วรั้งมือเขาไว้อีกครั้ง ”ท่านกำลังจะทำอะไร”
“เอามือออกไป” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียงบังคับ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นี่คือสิ่งที่เขาปฏิบัติกับคนที่ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้หรือ
แต่ความอ่อนโยนที่นิ้วของเขานั้นกลับแตกต่างจากน้ำเสียงเป็นอย่างมาก
แผ่นหลังของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรมากนัก เพราะนางผ่านการฝึกฝนมามากมาย และรู้วิธีป้องกันที่จะช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการถูกของหนักตกใส่ได้
แต่หลังจากถูกถอดเสื้อผ้าและตรวจสอบอาการบาดเจ็บจากเขาเช่นนี้แล้ว นางก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองเหมือนเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันของเขาขึ้นมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี
ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าเขาจะตรวจสอบแผ่นหลังของนางเสร็จแล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองแผ่นหลังเนียนนุ่มราวผ้าไหมที่อยู่ตรงหน้า แล้วค่อยๆ ใช้มือดึงนางเข้ามาหาตัวจนคางของเขาแทบจะชนกับศีรษะของนาง น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยเสียงต่ำจนยากจะฟังออกได้ ”รอข้าอยู่ที่นี่”
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมองอีกฝ่ายกำลังเตรียมตัวเดินออกไป นางก็เลิกคิ้วขึ้น มาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขายังไม่ยอมปลดเจ้าสิ่งนี้ออกจากมือของนางอีกหรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูรีบร้อนยิ่งนัก เขาสะบัดแขนเสื้อยาวของตน แล้วสั่งกับเงาทมิฬที่ยืนอยู่ข้างนอกว่า ”จับตาดูพระชายาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของเงาทมิฬเต็มไปด้วยความตกใจอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายหายตัวไปในยามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว เขาก็พึมพำออกมาว่า ”ดูจากท่าทางของฝ่าบาทแล้ว ดูเหมือนเขาคงเดาออกแล้วกระมังว่าแม่นางอวิ๋นกลับมาแล้ว…”
เมื่อนางได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอกนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หัวเราะออกมาพร้อมกับล้มตัวลงนอนบนเตียง
เข้าใจล่ะ
ปฏิกิริยาขององค์ชายช้าเกินไปหน่อยหรือเปล่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับกุญแจมือที่ข้อมืออย่างเย้ยหยัน พร้อมกับมองไปที่เครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น…