เมื่อจมูกได้กลิ่นอายคุ้นเคยลอยมา รวมถึงความอบอุ่นและพละกำลังจากอ้อมกอดของหนิงเซ่าชิง ความโกรธแค้นและความโศกเศร้าแปลกๆ ในใจมั่วเชียนเสวี่ย ก็ดูเหมือนกับก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิที่ค่อยๆ ละลายทีละเล็ก ทีละน้อย
นางคิดถึงเขา แต่เมื่อถูกหนิงเซ่าชิงยิ้มบางๆ หยอกเย้าเช่นนี้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง จึงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงใส่ เชิดหน้าขึ้นอย่างแง่งอน “ท่านยังจะกล้าพูดอีก นับตั้งแต่ข้าเข้าเมืองหลวงมา ท่านมาหาข้ากี่รอบ มีครั้งไหนบ้างที่ไม่รีบจากไป”
เอ่ยจบ ก็ทำท่าทีดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของหนิงเซ่าชิง
ความจริงแล้วในใจมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้โทษหนิงเซ่าชิง แต่หนิงเซ่าชิงกลับนึกว่านางโทษที่เขาเมินเฉยต่อนาง ขณะที่ขอโทษก็ถอนหายใจ กระชับอ้อมแขนแน่นอย่างจนปัญญา มั่วเชียนเสวี่ยย่อมดึงไม่ออก เพราะไม่ได้มีพละกำลังมากเช่นเขา
นับตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมาก็เป็นเวลาสิบวันแล้ว เขาไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนนางดีๆ สักวัน
หนิงเซ่าชิงหลุบตาลง ฝืนยิ้มบางๆ “รอผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ไป ก็จะจัดพิธีรับเจ้าเข้าตระกูล ถึงตอนนั้นพวกเราสองคนก็จะได้อยู่ด้วยกันทุกวัน และไม่แยกจากกันอีก…”
เสียงเขาเบามาก คล้ายกับคำพูดเพ้อฝัน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิตใจของมั่วเชียนเสวี่ยกลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก หัวใจราวกับมีคนตัวเล็กๆ สองคนกำลังต่อสู้กันอยู่
นึกถึงเรื่องที่ชังมู่พูดถึงทั้งหมดในวันนี้ เดิมคำพูดมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่กลับไม่ได้เอ่ยออกไป เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก ถ้าหากว่านางใจเด็ดกว่านี้สักหน่อย มีความแน่วแน่ในการตัดสินใจ โดยไม่สนความเป็นความตายของผู้อื่น ก็คงจะไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจมากขนาดนี้
แต่ว่านางทำเป็นไร้น้ำใจเช่นนั้นไม่ได้
นางไม่ได้มีชีวิตแทนเสวี่ยเอ๋อร์ แต่นางก็ไม่ใช่คนที่จะใช้ชีวิตเอาตัวรอดไปวันๆ และยิ่งไม่สามารถเมินเฉยต่อผู้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับร่างกายของตนเองที่สิ้นชีพไปอย่างไม่เป็นธรรมแล้วได้
นางพบว่า ตั้งแต่ที่นางเข้าเมืองหลวงมา ก็เริ่มเดินบนเส้นทางนี้แล้ว ราวกับว่าต่อให้ดึงก็ดึงไม่กลับ นางจะเป็นฮูหยินของหนิงเซ่าชิง นางต้องการฐานะนี้ของมั่วเชียนเสวี่ย นางไม่มีทางเลือก
แม้ว่านางจะไม่อยากประมือกับฮ่องเต้ แต่เกรงว่าในยามนี้ กระทั่งในความฝัน ฮ่องเต้ก็ยังคิดว่าจะจัดการกับนางอย่างไร
เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวได้ถูกต้อง มีบางเรื่องแม้ว่านางจะไม่ได้ขอร้อง แต่นางก็ยังจะทำมันอยู่ดี
ศัตรูที่ต้องเผชิญหน้าในตอนนี้คือฮ่องเต้ แต่นางถึงกับสามารถนั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างสงบ ดูท่า พื้นฐานจิตใจนางจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เรื่องของเขาเองก็มีมากพอแล้ว เมื่อวานหลังจากเขาปล่อยนางกลับจวนแล้วก็รีบร้อนกลับไป เกรงว่าในเวลาเดียวกันกับที่จัดการเรื่องราวในตระกูล ก็ต้องเผชิญหน้ากับหัวหน้าตระกูลหนิงคนก่อนกับเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลที่ตำหนิเขาเรื่องขอสมรสพระราชทานด้วยตนเอง โดยไม่ถามความเห็นผู้อื่น นางไม่อยากจะเพิ่มภาระให้เขาอีก
แต่ว่า…
มั่วเชียนเสวี่ยคาดเดาได้ถูกต้องจริงๆ เมื่อวานนี้เรื่องแรกที่หนิงเซ่าชิงกลับไปถึงจวนก็คือ ถูกจงเหล่ากับผู้อาวุโสของตระกูลเชิญเข้าไปที่ห้องประชุม เพื่อประชุมเรื่องการแต่งงานของเขา
เดิมก่อนหน้านี้เขาก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะเขาหายตัวไป กุ้ยซื่อผู้เป็นคู่หมั้นจึงเปลี่ยนไปแต่งให้กับหนิงเซ่าอวี่ผู้เป็นน้องชายของเขา แน่นอนว่าจริงๆ แล้ว เรื่องวงในเป็นเช่นไร เหล่าผู้อาวุโสอาจจะไม่ทราบ หรือไม่ก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย
หนิงเซ่าชิงที่ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลคนใหม่ แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับคนที่ถูกเลือกมาเป็นฮูหยินหัวหน้าตระกูล แต่ก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับการสู่ขอสตรีที่ไร้ซึ่งทรัพย์สินเงินทองในตระกูลธรรมดาสามัญมาเป็นภรรยาเด็ดขาด บุญคุณและพลังอำนาจล้วนสำคัญด้วยกันทั้งคู่ เขาจึงอาศัยผลประโยชน์มารักษาสมดุล ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้คนเลวพวกนั้นพยักหน้าอย่างไม่สมัครใจ ท่านพ่อก็ยังจะเรียกเขาไปอีก…
มองสีหน้าราวกับสับสนเล็กน้อยบนใบหน้าของนางแล้ว หนิงเซ่าชิงก็ยื่นมือไปขยี้ศีรษะนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “มีข้าอยู่ข้างกาย เจ้ายังมีสิ่งใดที่ต้องกลัวอีก มีเรื่องอะไร รีบเอ่ยออกมาก็พอแล้ว มีเรื่องใหญ่อันใด มีข้าช่วยค้ำยันให้เจ้า”
น้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าความหมายของวาจานั้นกลับน่าเกรงขาม ทำให้เขากลายเป็นคนยิ่งใหญ่ เคร่งขรึม และแฝงไปด้วยท่วงทีของผู้แข็งแกร่งที่ทำให้ผู้คนไม่อาจละเลยได้อย่างน่าประหลาดใจในทันที
วาจาอันน่าเกรงขามนั้นยังเจือไปด้วยกลิ่นอายความรักและทะนุถนอมอย่างลึกซึ้งเล็กน้อย เมื่อหลอมรวมเข้ากับความเงียบสงัดยามค่ำคืน ก็คล้ายกับขนนกเส้นหนึ่งที่ไล้ผ่านหัวใจมั่วเชียนเสวี่ย น้ำหนักการลูบที่ไม่หนักไม่เบาบนศีรษะ ยิ่งทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตัดสินใจแน่วแน่
นางเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสดใสกะพริบปริบๆ เล่าเรื่องของชังมู่กับอวี่เสวียนที่เกิดขึ้นเมื่อวานด้วยท่าทางจริงจังรอบหนึ่ง ความจริงแล้วเรื่องของชังมู่ หนิงเซ่าชิงรู้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าความลับของป้ายไม้ดำแผ่นนั้น เพราะว่าเสียงของชังมู่เบามากถึงที่สุด กระทั่งกุ่ยซาก็ยังไม่ได้ยิน
ในเมื่อจะแต่งมั่วเชียนเสวี่ยเข้าตระกูล หนิงเซ่าชิงย่อมไม่อาจไม่แยแสเรื่องราวของมั่วกั๋วกง
ข่าวสารของอิ่งซา เดิมก็เป็นที่หนึ่งในใต้หล้า หลายวันผ่านไป เขาย่อมเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงอยู่บ้าง
มองป้ายไม้ดำบนลำคอมั่วเชียนเสวี่ยที่ผลุบโผล่อย่างเลือนรางแล้ว หนิงเซ่าชิงที่ยอมรับว่าตนเองมีประสบการณ์และความรู้กว้างขวางก็ยังอดไม่ได้ที่จะตะลึงค้างไป!
ป้ายไม้ดำแผ่นนี้พัวพันกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ หนิงเซ่าชิงเห็นความมหัศจรรย์ของมันแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะกำชับมั่วเชียนเสวี่ยให้เก็บเอาไว้ให้ดี
เรื่องนี้ สำหรับมั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่เรื่องเลวร้าย มันคือหายนะอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นยันต์คุ้มกายด้วยเช่นกัน
เรื่องนี้จำเป็นต้องปรึกษาหารือกันให้ดี
หนิงเซ่าชิงหรี่ตา ขมวดคิ้ว พลางเอ่ยว่า “เจ้าก็ไม่ต้องมีภาระในใจมากเกินไป ความจริงแล้ว แม้ว่าฮ่องเต้จะต้องการอำนาจทางการทหารของบิดาเจ้า แต่กลับไม่อยากให้บิดาเจ้าสิ้นชีพเร็วขนาดนี้ สำหรับฮ่องเต้ เรื่องของบิดาเจ้าส่งผลร้ายมากกว่าผลดีเยอะมาก บิดาเจ้าคือผู้ที่ภักดีต่อราชวงศ์ เขามีชีวิตอยู่วันหนึ่ง ฮ่องเต้ก็สามารถรักษาสมดุลได้เพิ่มขึ้น เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น ในพื้นที่ห่างไกล อำนาจของฮ่องเต้นั้นไปไม่ถึง หากมีคนคิดเป็นอื่น แม้ว่าฮ่องเต้จะต้องเป็นแพะรับบาป ก็ทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมนี้ลงไปอยู่ดี”
“ความหมายของท่านคือ?”
“เรื่องนี้มีจุดที่แปลกประหลาดอยู่มาก อย่าหุนหันพลันแล่นจะดีกว่า แน่นอนว่าฮ่องเต้สนใจป้ายไม้ดำ จึงต้องป้องกันด้วยเช่นกัน”
มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าที่หนิงเซ่าชิงกล่าวมานั้นมีเหตุผล
ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[1] เรื่องนี้คิดมากไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แต่ว่านางไม่มีทางปล่อยเจิ้นหนานอ๋องที่ทำให้ท่านพ่อต้องสิ้นชีพผู้นั้นไปอย่างแน่นอน ยากที่จะได้พบหน้ากัน อย่ามัวแต่สนทนาหัวข้อที่น่ากลัดกลุ้มเหล่านี้จะดีกว่า
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศหดหู่ มั่วเชียนเสวี่ยก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “วันนั้นข้าเคยเอ่ยกับท่านว่า ได้ยอมรับฮูหยินจย่าเป็นแม่บุญธรรมแล้ว จึงอยากจะสอบถามท่านว่าต้องทำพิธีเคารพพวกนั้นหรือไม่”
นัยน์ตาหนิงเซ่าชิงมีประกายไม่เห็นด้วยพาดผ่าน ใช้มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างจับข้อมือมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นมา “ไม่ต้องหรอก วันนั้นก็คำนับไปแล้ว วันหลังไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอันใดอีก”
ในภายภาคหน้านางก็คือฮูหยินของหัวหน้าตระกูลหนิง ฮูหยินอันดับหนึ่งของตระกูลขุนนางเก่าแก่จะทำพิธีเคารพคนสะเปะสะปะได้อย่างไรกัน
แต่แม้ว่าจะกล่าวเช่นนี้ เขาก็ยังคงต้องดูแลตระกูลจย่าพวกนั้นสักหน่อย
คิดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหนิงเซ่าชิงก็เจือไปด้วยการตำหนิตนเอง “ล้วนโทษข้าที่ไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก ทำให้เจ้าต้องพลอยฟ้าพลอยฝนรับเคราะห์ไปด้วย…”
ความจริงแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ มั่วเชียนเสวี่ยล้วนไม่ได้โทษหนิงเซ่าชิง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ในใจนางก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี
แต่หนิงเซ่าชิงไม่รู้ความคิดในใจของมั่วเชียนเสวี่ย เมื่อนางมีสีหน้านิ่งขรึม หว่างคิ้วของเขาขมวดเป็นปม “วางใจเถอะ คนพวกนั้นแต่ละคนล้วนไม่ได้มีชีวิตอยู่ดีมีสุขแน่นอน” มั่วเชียนเสวี่ยยื่นมือไปลูบใบหน้าเขา ในใจก็ไม่ยินยอมที่จะให้เขาสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องการต่อสู้อันสกปรกโสมมระหว่างสตรี จึงยิ้ม พลางหยอกเล่นว่า “ปล่อยคนเหล่านี้เอาไว้ให้ข้าจัดการด้วยตนเองเถอะ อยู่ในเมืองหลวงนั้นน่าเบื่อใช่เล่น ใช้พวกนางมาสร้างเสียงหัวเราะก็ไม่เลวเหมือนกัน”
[1] ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน หมายถึง ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้