“เขายังกลัวว่าชีวิตของผมจะพังจนทำอะไรไม่ถูกอยู่เลยครับ”
“หมายความว่ายังไง ชีวิตของนายก็…”
“ใช่ครับ ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังคบกับเขา ชีวิตของผมก็เหมือนขยะที่ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว”
เขาโอเคที่จะใช้ความรู้สึกผิดของอินซอบและแกล้งทำตัวน่าสงสารเพื่อเกาะติดอีกฝ่ายอยู่ประมาณหนึ่ง แต่เขาไม่อยากเห็นอินซอบทุกข์ใจเพราะตัวเอง
“ความจริงคนที่ชีวิตพังคือชเวอินซอบต่างหาก ว่าไหมครับ ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือเหี้ยเลยแหละ เพราะเขาต้องอยู่กับคนอย่างผมไปทั้งชีวิต”
อีอูยอนหลุบตามองต่ำพร้อมกับหลุดเสียงหัวเราะต่ำๆ ออกมา กรรมการผู้จัดการคิมลูบแขนที่ขนลุกซู่ เพราะคำพูดเมื่อสักครู่ของอีอูยอนฟังดูเหมือนคำประกาศที่บอกว่าจะไม่ปล่อยอินซอบไปทั้งชีวิต
“การแต่งงานมันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร แค่ประทับตราลงไปอีกครั้งมันก็จบแล้ว ไอ้การแต่งงานนั่นน่ะ”
“อืม งั้นกรรมการผู้จัดการของผมก็ประทับตราประทับไปห้าครั้งแล้วใช่ไหมครับ”
“ฉันประทับแค่สี่เท่านั้น!”
กรรมการผู้จัดการคิมหลงกลและเผลอขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมล่ะครับ”
“…ก็ครั้งแรกฉันเซ็นชื่อ”
อีอูยอนหัวเราะพลางนั่งลงบนโซฟา
“ยังไงก็ตาม ฉันคิดว่าถ้าแต่งงานแล้วจะได้เจอกับตอนจบที่มีความสุข แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย มันเริ่มต้นตั้งแต่ตรงนั้นต่างหาก เป็นฉากเริ่มต้นของความโชคร้าย”
อีอูยอนครุ่นคิดและตั้งใจมองกรรมการผู้จัดการคิม
“…ทำไม ฉัน…ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”
แม้จะไม่ใช่คำพูดที่ควรจะพูดกับคนที่เพิ่งหมั้น แต่ก็เป็นคำแนะนำที่เป็นความจริง
“ปกติผมไม่ยกย่องใครหรอกนะครับ แล้วผมก็ไม่คิดที่จะทำแบบนั้นด้วย”
อีอูยอนใช้นิ้วที่เรียวสวยเคาะลงกับโต๊ะและพูดต่อ
“แต่ก็มีบางครั้งที่ผมรู้สึกยกย่องกรรมการผู้จัดการจากใจจริงเหมือนกันครับ”
“หา? นายเนี่ยนะ ยกย่องฉัน?”
แม้จะพยายามที่จะไม่เป็นแบบนั้น แต่โหนกแก้มของกรรมการผู้จัดการคิมก็กระตุก
“ผมคิดว่าคุณยอดเยี่ยมมากจริงๆ ครับ ทำไมคนเราถึง…”
กรรมการผู้จัดการคิมแอบยิ้มอย่างพอใจอยู่ข้างใน
ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนเฮงซวยที่สุดในโลกยังไง ถ้าคิดถึงสิ่งที่ฉันทำให้นายแล้ว ก็ต้อง…
“มีความสามารถในการเรียนรู้ต่ำอย่างเห็นได้ชัดถึงขนาดนี้”
“ใช่แล้ว ความ…ว่าไงนะ?”
“ผมบอกว่าเยี่ยมมากเลยนะครับที่คุณเปิดเผยว่าชอบจุดเริ่มต้นของความโชคร้ายอยู่เสมอ แล้วนั่นก็ตั้งสามครั้งด้วย”
“นั่นก็เพราะฉันเป็นคนที่มีความรักเต็มเปี่ยมน่ะสิ!”
“มีความรักเต็มเปี่ยม คุณก็เลยแบ่งมันให้คนสามคนอย่างทั่วถึงเหรอครับ อ้อ รวมหัวหน้าทีมชาด้วยก็เป็นสี่คนใช่ไหมครับ”
“พูดไร้สาระอะไรของนาย! ทำไมต้องเอาฉันไปโยงกับหัวหน้าทีมชาทุกครั้งด้วย! ทำไมต้องทำให้มิตรภาพที่บริสุทธิ์ของพวกเราสกปรก!”
“มีมิตรภาพที่บริสุทธิ์ที่ไหนในโลกที่แชร์ภรรยากันด้วยเหรอครับ”
“ไม่ได้แชร์! ฉันห้ามฮยอนคยูแล้ว แล้วฉันก็ห้ามฮียอนอย่างเด็ดขาดเลยด้วย แต่ฮยอนคยูก็…เฮ้อ ฮยอนคยูที่น่าสงสารของพวกเรา”
กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจและพูดต่อด้วยสีหน้าที่แสดงออกว่าสงสารหัวหน้าทีมชาจริงๆ
“แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของฮยอนคยูหรอกนะ กับคิมฮียอนน่ะ แค่ได้พูดด้วยหรือดื่มด้วยสักครั้งก็จบแล้ว เราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากตกหลุมรักเธอ เสน่ห์นั้นไม่ใช่ของมนุษย์ด้วยซ้ำ แค่สบตาก็โดนล่อลวงแล้ว”
เนื่องจากแต่งงานกับภรรยาเก่าของเพื่อน หัวหน้าทีมชาเองจึงมีหน้าที่ที่จะต้องอดทนกับมัน ดังนั้นเขาจึงได้ยินว่าหัวหน้าทีมชาตัดการติดต่อกับกรรมการผู้จัดการคิม และคนที่ทั้งคู่รู้จักไปพักใหญ่ และคนที่ยื่นมือมาช่วยหัวหน้าทีมชาที่หย่าและสิ้นเนื้อประดาตัวในภายหลังก็คือกรรมการผู้จัดการคิม มันจึงมีเหตุผลที่ต่อให้กรรมการผู้จัดการคิมที่พูดว่าฉันจะฆ่านายทุกครั้งที่เจอหัวหน้าทีมชา หรือดุด่าให้ลาออกจากบริษัทเดี๋ยวนี้ แต่สุดท้ายก็ยังลากกันไปไหนมาไหนอยู่ดี
“โอเคครับ กรรมการผู้จัดการที่รักษามิตรภาพที่บริสุทธิ์กับเพื่อนที่แต่งงานกับภรรยาเก่า งั้นเหตุผลที่ต่อสัญญากับผมคืออะไรเหรอครับ อย่าบอกนะครับว่าเรื่องนั้นก็เป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์ด้วย”
“…อี…”
‘อย่าคิดว่าจะเถียงอีอูยอนชนะเลยครับ ยังไงเราก็สู้หมอนั่นไม่ได้อยู่แล้ว แต่ผมจะต้องชนะหมอนั่นสักครั้งหนึ่งให้ได้’
เขานึกถึงคำพูดตอนเมาที่หัวหน้าทีมชาที่ตะโกนออกมากลางวงเหล้าหลังจากเมาจนหน้าแดง กรรมการผู้จัดการคิมส่ายหน้าเบาๆ พลางมองอีอูยอน
ฉันเองก็อยากชนะไอ้หมอนี่สักครั้งเหมือนกัน…
“จะว่าไปแล้วดูเหมือนช่วงนี้กรรมการผู้จัดการจะหาเงินได้เยอะนะครับ”
“พูดเรื่องอะไรอีกล่ะ!”
“เพราะผมรู้สึกว่าคุณเอามันเข้ามาเยอะเลย”
อีอูยอนไล่สายตามองชั้นเก็บไวน์ที่วางอยู่ข้างๆ ตู้โชว์พลางเอ่ยตอบ
“ฉันดื่มบ้างเป็นบางครั้ง เพราะเครียดจากเรื่องของนายนั่นแหละ หาเงินได้อะไรกันล่ะ เงินที่ฉันใช้ไปเพราะเครียดจากเรื่องของนายเยอะกว่าเงินที่นายหามาให้ซะอีก ทั้งการรักษาอาการผมร่วงกับการดูแลผิว บลาๆๆ ยังไงนายก็รับงาน…นี่!”
ในระหว่างที่กรรมการผู้จัดการคิมบ่นพึมพำ อีอูยอนก็ลุกเดินไปที่ชั้นเก็บไวน์
“ได้เวลาที่ผมต้องไปแล้วล่ะครับ”
“ได้เวลาที่ต้องไปแล้วจะเปิดมันทำไม! จะทำอะไรน่ะ!”
“ผมจะใช้ชีวิตที่พังไปแล้วนี้ให้ดีเลยครับ ขอบคุณสำหรับเจ้านี่นะครับ”
อีอูยอนชูขวดไวน์ให้ดู และขยิบตาข้างหนึ่งให้ จากนั้นก็เปิดประตูห้องทำงานและจากไปโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้ห้าม
พอประตูปิดลง คำด่าทั้งหมดก็หลุดออกมาจากปากของกรรมการผู้จัดการคิม
“อีอูยอน ไอ้คนเฮงซวยเหลือขอ!”
เขาด่าอยู่อย่างนั้นสักพัก คำพูดของเจ้าของบริษัทรับตกแต่งภายในถูกต้อง ห้องเก็บเสียงของพวกเขาดีจริงๆ
***
ได้เวลาที่จะออกมาแล้ว
อีอูยอนดื่มกาแฟพลางมองประตูมหาวิทยาลัย ชีวิตมหาวิทยาลัยของอินซอบเรียบง่าย เขาเข้าเรียน ทำการบ้าน และสอบ แน่นอนว่าเขาไม่มีเพื่อนด้วย
แม้อีกฝ่ายจะกลับบ้านทันทีหลังเลิกเรียน แต่ถ้ามีแชทกลุ่ม อีอูยอนก็กดออกโดยแกล้งทำเป็นกดผิด พอทำแบบนั้นซ้ำๆ หลายครั้งเข้าก็ไม่มีคนติดต่อมา และไม่ใช่เพียงเท่านั้น เนื่องจากอีกฝ่ายพักการเรียนกลางคัน และไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกามาเจ้าตัวจึงไม่มีคนรู้จักในมหาวิทยาลัยเลย ช่างเป็นชีวิตมหาวิทยาลัยที่น่าพึงพอใจจริงๆ
แต่เมื่อไม่นานมานี้อินซอบกลับร้องครางเหมือนลูกสุนัขที่ปวดอะไรบางอย่างพร้อมกับลอบสังเกตเขา และเอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก
‘คือ คุณอูยอนครับ’
‘มีอะไรครับ’
‘ผมมีงานกลุ่มครับ’
อีอูยอนปิดหนังสือที่กำลังอ่านลง อินซอบอธิบายเนื้อหาของงานที่ตนได้รับมอบหมายกับหน้าที่ที่ตนจะต้องทำอย่างตั้งใจ อีอูยอนพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
‘เนื่องจากต้องทำงานก็เลยจะสร้างแชทกลุ่มน่ะครับ’
‘สร้างสิครับ’
พอเห็นอีอูยอนตอบอย่างไร้ยางอาย อินซอบก็เอ่ยปากราวกับตัดสินใจมาแล้ว
‘…อย่าลบนะครับ’
อีอูยอนกอดเอวอินซอบและถามกลับว่า “หือ?” ราวกับว่าตนไม่รู้เรื่องจริงๆ
‘ห้ามลบแชทกลุ่มนะครับ เพราะนี่เป็นงานที่สำคัญจริงๆ…เฮือก’
อินซอบกลั้นหายใจเพราะร่างกายที่เสียการทรงตัวและล้มลงอย่างกะทันหัน อีอูยอนที่ดึงอินซอบให้ลงมานอนที่โซฟาพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบน
‘เห็นผมเป็นคนที่จะทำเรื่องแบบนั้นเหรอครับ’
‘คือ…’
อีอูยอนที่ทำแบบนั้นมาแล้วหลายครั้งกดจูบลงบนริมฝีปากเล็กๆ ของอินซอบอย่างแรงราวกับกัดเบาๆ พอเขาดูดดุนอยู่หลายครั้งพร้อมกับลูบติ่งหู อินซอบก็หน้าแดง จากนั้นก็เอ่ยเรียกเขาว่า ‘คุณอูยอน’ ราวกับประท้วง
ฉิบ ทำไมถึงสวยขนาดนี้วะ
อีอูยอนกลั้นยิ้มและจูบแก้มของอินซอบเบาๆ
‘ไม่ทำหรอก ผมจะไม่ทำ ผมจะไม่ทำแบบนั้น’
ริมฝีปากเลื่อนจากแก้มลงมาที่ใบหู
งั้นผมจะทำเรื่องอื่นให้แทนเรื่องนั้นนะครับ
สุดท้ายวันนั้นเขาก็จับอินซอบที่บอกว่าไม่ให้ทำตรงโซฟาและชวนไปที่เตียงไว้และมีอะไรกันจนเสร็จที่โซฟา และไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมทำตามคำพูดของอินซอบที่ชวนให้ทำที่เตียง เพราะหลังจากนั้นเขาก็มีอะไรกับอีกฝ่ายที่เตียงทั้งคืน
อีอูยอนดื่มกาแฟและยิ้มน้อยๆ ช่วงนี้เขาเป็นแบบนี้บ่อยๆ เขาจะยิ้มออกมาอย่างไม่มีความหมายเมื่อคิดถึงอินซอบ
แม่ง บ้าอยู่แล้วยังจะบ้าขึ้นอีกเหรอ
อีอูยอนมองนาฬิกา และพิงร่างกับพวงมาลัยอีกครั้ง
ในที่สุดงานกลุ่มเฮงซวยนั่นก็จบลง วันนี้คือวันพรีเซนต์งาน แต่ปัญหาคืองานเลี้ยงฉลองเสร็จงานต่างหาก ทุกคนชวนกันไปดื่มเหล้าหลังจากจบคาบเรียนวันนี้ เพราะดูเหมือนว่าจะสนิทกันพอสมควรระหว่างที่ทำงาน อินซอบตอบไปว่า “ถ้ามีโอกาส ผมจะเข้าร่วมนะครับ” เมื่อวานอินซอบถามตารางงานวันนี้กับเขา เนื่องจากรู้ข้อความที่คุยกันในแชทกลุ่มอยู่แล้ว อีอูยอนจึงตอบว่าจะกลับดึก เพราะมีงานนิดหน่อยอย่างไม่ใส่ใจ
เพราะอินซอบเองก็ต้องการชีวิตส่วนตัวและมีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นบ้างเหมือนกัน การปล่อยให้เขาไปดื่มเหล้ากับคนอื่นบ้างคงไม่เป็นไรหรอก
เขาคิดว่าจะไปที่บริษัทและทำตัวไร้สาระใส่กรรมการผู้จัดการคิม จากนั้นก็กลับมากินข้าวที่บ้านคนเดียว ถ้าอินซอบไม่แสดงทีท่าว่าชอบใจอย่างเห็นได้ชัดออกมาเสียก่อน
‘จะกลับดึกมากไหมครับ’
แก้มของอินซอบที่เอ่ยถามแบบนั้นเต็มไปด้วยเลือดฝาด
ไอ้คนน่าขยะแขยง
อีอูยอนจิบกาแฟอึกหนึ่งพลางยกยิ้มมุมปาก เขามองเห็นอินซอบจากที่ไกลๆ อินซอบดูเด็กที่สุดในบรรดากลุ่มคนที่เดินจับกลุ่มกันลงมา
[พี่ดูเด็กมาก เพราะฉะนั้นต้องพกบัตรประชาชนมาตอนไปร้านเหล้าด้วยนะคะ]
[ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นเด็กปีหนึ่งซะอีกค่ะ คิคิ]
[นั่นคือเหตุผลที่ฉันพูดอย่างเป็นกันเองกับพี่เขาตอนแรกยังไงล่ะ หึหึหึ ㅠ]
ดูจากการที่คนอื่นๆ เรียกอินซอบว่าพี่แล้ว ดูเหมือนอินซอบจะมีอายุมากที่สุด พอออกมาตอนเช้าพร้อมกับเห็นแล้วว่ามีบัตรประชาชนอยู่ในกระเป๋าเสื้อของอินซอบ เขาก็รู้สึกไม่พอใจยิ่งขึ้น
อีอูยอนต่อสายหาอินซอบ
ลองไม่รับดูสิ
อินซอบมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือก่อนจะเอ่ยขอตัวจากกลุ่มเพื่อน และเดินไปตามริมถนนพร้อมกับรับโทรศัพท์
[ฮัลโหล]
“อยู่ไหนครับ”
[เลิกเรียนแล้วกำลังออกมาครับ คุณอูยอนล่ะครับ]
“งานเสร็จเร็วกว่าที่คิดน่ะครับ วันนี้เราไปกินอาหารข้างนอกกันไหมครับ ไม่ได้ไปนานแล้ว”
[ครับ?]
เขารู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายใจของอินซอบจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์
“พอดีคนรู้จักของผมเปิดร้านอาหารน่ะครับ แล้วผมก็ได้ยินมาว่าใช้ได้พอสมควรด้วย อีกอย่างวันนี้ผมได้รับไวน์เป็นของขวัญมา ก็เลยอยากจะดื่มกับคุณอินซอบสักแก้วน่ะครับ”
[เอ่อ คือ…ผม…]
อินซอบทำตัวไม่ถูก
“ทำไมครับ มีเรื่องอะไรเหรอ”
[…เปล่าครับ จะให้ไปที่ไหนครับ]
อินซอบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง แต่โชคดีที่เขาไม่มีจิตสำนึก เพราะต่อให้ได้ยินเสียงแบบนั้น เขาก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี
“ผมจะรออยู่ตรงที่ที่จอดรถไว้ประจำนะครับ”
[ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ]
อินซอบวางสายและวิ่งไปหากลุ่มเพื่อนของตน พออินซอบอธิบายไปว่าวันนี้ไปไม่ได้แล้ว คนอื่นๆ ก็ทำท่าเสียดายและจับแขนอินซอบไว้ อินซอบจึงยิ้มและเอ่ยลาทีละคน
อีอูยอนยิ้มตาหยี
แม่ง ไม่อยากเห็นจริงๆ