สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ
นางนึกไม่ถึงว่าไท่ฮูหยินจะหยอกล้อกับตนเช่นนี้
จู่ๆ ก็รู้สึกหัวใจอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
สืออีเหนียงบีบมือของไท่ฮูหยินเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อนว่า “ท่านแม่ก็…ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่นะเจ้าคะ!”
ไท่ฮูหยินหัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ จากนั้นก็ดึงมือของสืออีเหนียงมานั่งลงข้างๆ “เจ้าพูด เจ้าพูด ข้าฟังอยู่!”
สืออีเหนียงจึงเล่าเรื่องที่ตนและโจวฮูหยินคุยกันให้ไท่ฮูหยินฟัง
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ติดตรงแค่ว่าพื้นฐานะทางครอบครัวเปราะบางเกินไป”
สืออีเหนียงเก็บสีหน้าพลางตอบกลับไปว่า “เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ข้ารู้สึกว่าคุณชายสิบหกไม่เลวทีเดียว”
“ก็ใช่” ไท่ฮูหยินก็ได้นึกถึงสถานการณ์ของจวนสกุลหลัวขึ้นมา จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยังมีคนเกรงกลัวว่าจะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อีกหรือ”
ปลาสืออีเหนียงจึงปรึกษาหารือว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ตรอกกงเสียนเสียหน่อย”
“อืม!” ไท่ฮูหยินยิ้มตาหยี
สืออีเหนียงก็เห็นป้าตู้กำลังยืนอมยิ้มราวกับว่ากำลังรออะไรบางอย่างอยู่อย่างไรอย่างนั้น นางจึงคิดว่าป้าตู้คงมีเรื่องที่ต้องการจะคุยกับไท่ฮูหยินเป็นการส่วนตัว จึงอยู่คุยเป็นเพื่อนกับไท่ฮูหยินครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขอตัวลากลับ
หลังจากที่กลับไปถึงเรือน ปินจวี๋ก็ได้กลับไปแล้ว เจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังนั่งเอียงคออ่านตำราอยู่บนเตียงเตาในห้องชั้นใน ส่วนเหวินอี๋เหนียง หู่พั่วและซิ่วหลานก็กำลังตรวจทานบัญชีอยู่ในห้องปีกทิศตะวันออก
เมื่อเห็นสืออีเหนียงกลับมาแล้ว เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็รีบเดินออกมารับทันที ส่วนเหวินอี๋เหนียงก็รีบลุกขึ้นมาแล้วก็นั่งลงไปอีกรอบ
เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถถามต่อหน้าเจินเจี่ยเอ๋อร์ได้
สืออีเหนียงจึงพยักหน้าเพื่อบอกเป็นนัยให้กับเหวินอี๋เหนียง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องชั้นในพร้อมกับเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์ตักน้ำมาให้สืออีเหนียง “เหตุใดจู่ๆ ท่านแม่ถึงคิดอยากจะไปที่วัดฉือหยวนหรือเจ้าคะ”
ยังดีที่มีเรื่องของสือเอ้อร์เหนียงด้วย
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่บอกเจ้า รออีกสักสองสามวันให้มั่นใจแล้วข้าค่อยบอกเจ้า” จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องการปักผ้าของนาง “มีตรงไหนที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจหรือไม่”
“ฝีมือการเย็บปักของพี่ปินจวี๋ดีมาก!” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “ตรงไหนที่ข้าทำได้ไม่ดีไม่ถูก ก็จะคอยบอกคอยสอนข้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนเจ้าค่ะ!”
ได้รับการยอมรับจากเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็พอเพียงแล้ว
สืออีเหนียงเปลี่ยนชุดผลัดผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้างนอกก็มีเสียงของบ่าวรับใช้ชายดังขึ้นว่า “ฮูหยิน พ่อบ้านไป๋ขอเข้าพบขอรับ!”
พ่อบ้านไป๋ได้รับคำสั่งให้ไปสืบเรื่องของคุณชายสองสกุลหลี่
สืออีเหนียงให้เจินเจี่ยเอ๋อร์อ่านตำราในห้อง ส่วนตนก็ไปยังเรือนศาลาริมน้ำ
“…หน้าตาคุณชายสองสกุลหลี่ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว อายุยังน้อยแต่ถือเป็นคนที่มีลูกไม้ไม่น้อย คุณชายที่มีฐานะทางบ้านค่อนข้างดีของเมืองเยี่ยนจิงก็ล้วนคบค้าสมาคมกับเขาทั้งนั้น หากมีเรื่องอันใดที่ไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ทุกคนก็มักจะมาให้เขาช่วยเป็นคนกลางอยู่เสมอ” น้ำเสียงค่อนข้างชื่นชมเป็นอย่างมาก “หลี่ฮูหยินรักและเอ็นดูบุตรชายคนรองคนนี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าคุณชายคนโตและคุณชายคนรองจะสร้างเรือนในตรอกกุ้ยซู่ทั้งคู่ แต่การออกแบบตัวเรือนของคุณชายสองดูประณีตและงดงามกว่ามาก เพราะเรื่องนี้คุณชายใหญ่สกุลหลี่ก็ได้เกิดความไม่พอใจด้วย หลังจากที่หลี่ฮูหยินรู้เรื่องแล้ว ก็ได้ตำหนิและสั่งสอนคุณชายใหญ่ไปยกใหญ่ บอกว่า ‘หากว่าเจ้าคบค้าสมาคมกับเหล่าบรรดาคุณชายที่มีฐานะสูงส่งบ้าง ข้าก็จะสร้างเรือนที่เหมือนอย่างของน้องชายเจ้าให้เจ้า’ จนคุณชายใหญ่พูดอะไรไม่ออกมาแต่คำเดียว ถึงแม้ว่าหลี่ฮูหยินจะรักและเอ็นดูบุตรชายคนนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็เข้มงวดและเด็ดขาดมาโดยตลอด บ่าวรับใช้ที่ติดตามอยู่ข้างกายล้วนแต่เป็นแม่เฒ่าและบ่าวรับใช้ชาย ไม่มีสาวใช้แม้แต่คนเดียว แต่คุณชายสองกลับไม่เคยฝ่าฝืนคำสอนสั่งของมารดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากทีเดียว
มีแต่คนที่ตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถต่อต้านสิ่งล่อใจเหล่านี้ได้!
คุณชายหลี่ผู้นี้ เกรงว่าคงจะไม่ใช่คนธรรมดากระมัง!
ในฐานะผู้ที่ยืนมองเหตุการณ์จากด้านนอก สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกชื่นชมคนเช่นนี้ แต่หากยืนอยู่ในฐานะของมารดา ก็จะรู้สึกว่าหากแต่งงานกับคนเช่นนี้จะไปมีความสุขได้อย่างไรกัน เพราะเขาจะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาคอยดูแลคนรอบข้างอย่างไม่หยุดหย่อน
กลางคืนหลังจากที่ไท่ฮูหยินเข้าพักผ่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็เล่าเรื่องที่พ่อบ้านไป๋มารายงานให้ไท่ฮูหยินฟัง
“อายุสิบห้าปี!”
ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตอนที่เจ้าหนูสี่อายุสิบห้าปี ก็รู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ว่าสิ่งไหนพึงกระทำและสิ่งไหนควรละวาง!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชมและภูมิใจ
สืออีเหนียงไม่สะดวกจะไปประเมินค่าหรือเปรียบเทียบ
อีกหลายปีในภายภาคหน้า การที่คนเราจะประเมินค่าว่าดีหรือเลว ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับสถานะทางสังคมของเขาทั้งสิ้น แล้วนับประสาอะไรกับตอนนี้เล่า!
จากนั้นสืออีเหนียงก็ได้พูดคุยกับเหวินอี๋เหนียงต่อ เหวินอี๋เหนียงจึงได้พูดขึ้นว่า “ภรรยาย่อมได้รับเกียรติและการยกย่องตามสามี หากว่าคุณชายสองสกุลหลี่มีน้ำใจและจิตใจเช่นนี้ อย่างอื่นก็อาจพอยกเว้นได้”
จะสำเร็จหรือไม่ สวีลิ่งอี๋ย่อมมีสิทธิ์และอำนาจในการแสดงความคิดเห็นที่สุด
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับถามถึงเรื่องการตรวจบัญชีของเหวินอี๋เหนียงขึ้นมา
“บัญชีเก่าและบัญชีของเมื่อปีที่แล้วตรวจทานไปครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ คาดว่าพรุ่งนี้ก็คงจะเสร็จสิ้นแล้ว” พูดจบนางก็ลังเลไปชั่วขณะ จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “หากว่าฮูหยินอนุญาต ข้าอยากจะให้ซิ่วหลานไปฝึกใช้แผงลูกคิดที่เรือนของข้าทุกวันวันละหนึ่งชั่วยาม…”
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยกชาขึ้นมาจิบ
เหวินอี๋เหนียงย่อตัวทำความเคารพพร้อมกับถอยออกไป
สืออีเหนียงจึงค่อยเอนตัวลงนอนบนเตียงพลางคิดถึงเรื่องคู่หมั้นของเจินเจี่ยเอ๋อร์
รู้สึกว่าคนนี้ก็ไม่ได้น่าพอใจเท่าไรนัก ส่วนคนนั้นก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร แต่ครั้นพอจะเลือกให้มากก็กลัวว่าจะกลายเป็นคำครหาพลอยทำให้ผู้คนหนีห่างไปหมด อีกทั้งยังรู้สึกกลัวผู้คนจะมองว่าเลือกมากจนได้อย่างที่ไม่ดีแทน…ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงค่อยนอนหลับ เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้ไปคารวะไท่ฮูหยินตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากที่จัดการสั่งงานในจวนเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ได้เตรียมของฝากจำนวนหนึ่งเดินทางกลับไปยังตรอกกงเสียน
คุณนายใหญ่สกุลหลัวเห็นสืออีเหนียงแล้วก็ชะงักไปชั่วขณะ รีบจูงมือของนางเข้ามาในเรือน “เหตุใดจู่ๆ ถึงกลับมา เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” สีหน้าของนางร้อนใจเป็นอย่างมาก
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “ข้าเองไม่ได้กลับมานานแล้วไม่ใช่หรือ ก็เลยถือเอาเวลาว่างก่อนเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างกลับมาเยี่ยมพี่สะใภ้สี่กับอี๋เหนียงเสียหน่อย และยังมีเรื่องที่จะปรึกษาหารือกับท่านด้วย”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็ได้ให้คนที่ปฏิบัติรับใช้ในเรือนถอยออกไปจนหมด พลางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “มีเรื่องอันใดหรือ”
สืออีเหนียงจึงค่อยเล่าเรื่องของหวังเจ๋อให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวฟัง
คุณนายใหญ่สกุลหลัวได้ยินแล้วก็แสดงสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมา “มาจากตระกูลที่มีหน้ามีตา อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเรียงนามติดตัวมาด้วย หากว่าการนี้สำเร็จลุล่วง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว” จากนั้นนางก็รีบลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปบอกท่านแม่ประเดี๋ยวนี้เลย”
สืออีเหนียงจึงยิ้มพลางเดินตามคุณนายใหญ่สกุลหลัวไปหานายหญิงใหญ่
อี๋เหนียงหกกำลังปรนนิบัตินายหญิงใหญ่ดื่มน้ำ พอเห็นสืออีเหนียงก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
รอให้สืออีเหนียงทำความเคารพนายหญิงใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็ยิ้มพร้อมกับพูดถึงจุดประสงค์การมาของสืออีเหนียงให้นายหญิงใหญ่ฟัง
อี๋เหนียงหกได้ยินแล้วก็พลอยแสดงสีหน้าที่ดีใจออกมา แต่นายหญิงใหญ่กลับหลับตาสนิทอยู่ครู่ใหญ่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย
บรรยากาศในห้องเงียบสนิท
อี๋เหนียงหกจึงรีบหันไปส่งสายตาให้กับสืออีเหนียง
เมื่อสืออีเหนียงเห็นว่าบรรยากาศเป็นเช่นนี้ การพบปะพูดคุยตอนนี้คงจะไม่ใช่วิธีที่ดี จึงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน “พี่สะใภ้สี่กำลังตั้งครรภ์ ข้ายังไม่ได้ไปแสดงความยินดีกับนางเลย!”
เมื่อคุณนายใหญ่สกุลหลัวเห็นเหตุการณ์แล้วก็รีบลุกขึ้นตาม “สองสามวันมานี้น้องสะใภ้สี่ไม่ค่อยสบายพอดี ข้าจะไปดูน้องสะใภ้สี่เป็นเพื่อนคุณหนูสิบเอ็ดก็แล้วกัน!”
“นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี” คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็ได้พาสืออีเหนียงไปยังเรือนของคุณนายสี่ จากนั้นนางก็ได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าจะโน้มน้าวท่านแม่เอง ส่วนทางจวนสกุลหวังเจ้าก็คอยไปหยั่งเชิงด้วย”
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา จากนั้นก็ไปยังเรือนของคุณนายสี่พร้อมกับคุณนายใหญ่สกุลหลัว
เมื่อคุณนายสี่เห็นพวกนางเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นนั่งทันที
“พี่สะใภ้สี่ไม่ต้องสนใจพวกข้าหรอกเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงที่ข้างเตียง นวดมือของนางเบาๆ “ตั้งใจจะมาเยี่ยมพี่สะใภ้สี่ แต่กลับทำให้พี่สะใภ้สี่ไม่สามารถพักผ่อนดีๆ ก็จะกลายเป็นข้าที่ทำไม่ถูกเท่าที่ควร” สืออีเหนียงพูดขึ้นพลางสังเกตสีหน้าของนาง ก็เห็นว่าสีหน้าของนางค่อนข้างดี ไม่ได้มีอาการของคนแพ้ท้องเลยแม้แต่นิดเดียว จึงรู้สึกแปลกใจและหายห่วงในเวลาเดียวกัน
คุณนายสี่ได้ยินแล้วก็ค่อนข้างรู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมาก จึงรีบพูดขึ้นว่า “ต้องขอบคุณคุณหนูสิบเอ็ดที่แนะนำหมอหลวงข่ง...ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปกล่าวขอบคุณเสียหน่อย แต่พี่สี่ของเจ้าบอกว่าข้าไปเยี่ยมเจ้าตอนนี้คงจะดูไม่ดีเท่าไรนัก ก็เลยฝากฝังให้พี่สะใภ้ใหญ่ไปช่วยบอกกล่าว” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ข้าสบายดีมาก แต่พี่สี่ของเจ้าเอาแต่จะให้ข้านอนพักท่าเดียว เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้คุณหนูสิบเอ็ดเป็นห่วงแล้ว” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ก็มีสาวใช้น้อยยกจานกระเบื้องลายครามวิ่งเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นว่าคุณนายใหญ่สกุลหลัวและสืออีเหนียงนั่งอยู่ข้างเตียงด้วย ก็ค่อยๆ ถอยออกไปอย่างสงบเสงี่ยม
คุณนายใหญ่สกุลหลัวเห็นว่าสาวใช้น้อยทำตัวไม่ค่อยถูก จึงไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก “มีเรื่องอันใด ถึงได้ลุกลี้ลุกลนอย่างนี้!”
สาวใช้น้อยคนนั้นจึงไม่กล้าถอยออกไป ชูจานขึ้นด้วยอาการเก้อเขิน “คุณชายสี่สั่งให้นำลูกพลัมสดมาให้คุณนายสี่เจ้าค่ะ”
ทุกคนได้ยินแล้วต่างก็พากันชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็พากันยิ้มไปตามๆ กัน
ใบหน้าของคุณนายสี่แดงก่ำไปหมด “วางไว้ก็พอแล้ว จะพูดมากทำไมกัน!”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังชอบใจ
สาวใช้น้อยรีบวางจานลง จากนั้นก็รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
อี่หลิ่วสาวใช้ของหลัวเจิ้นเซิงก็ยืนขึ้นพลางยกจานขึ้นมาเชื้อเชิญให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวและสืออีเหนียงทานลูกพลัม
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าอี่หลิ่วมวยผมทรงกลม ปักผมด้วยปิ่นปักผมทองหรูอี้เล็กๆ หนึ่งเล่ม
“น้องสะใภ้สี่เป็นคนตัดสินใจให้อี่หลิ่วมาปรนนิบัติน้องสี่” คุณนายใหญ่สกุลหลัวเห็นว่าสืออีเหนียงกำลังสังเกตอี่หลิ่ว จึงยิ้มพร้อมกับอธิบายให้นางฟัง
สืออีเหนียงพลันนึกถึงตี้จิ่นขึ้นมา แอบถอนหายใจเงียบๆ คนเดียว แต่แล้วก็รีบสลัดความคิดนี้ทิ้งไป จากนั้นก็ล้วงเอาถุงเงินออกมา หยิบเงินก้อนหนักเจ็ดสลึงออกมาจำนวนสี่ก้อนมอบให้กับอี่หลิ่ว “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ เงินส่วนนี้เจ้าเอาไว้ซื้อเครื่องประดับผมก็แล้วกัน”
อี่หลิ่วรับด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ ย่อตัวกล่าวขอบคุณสืออีเหนียง จากนั้นก็ยืนรอปรนนิบัติคอยรินน้ำและน้ำชาอยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงอยู่คุยกับคุณนายสี่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ไปที่เรือนของอี๋เหนียงห้า
อี๋เหนียงห้ากำลังนั่งปักเสื้อตัวน้อยๆ อยู่บนเตียงเตา สีหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน นิ่งสงบราวกับภาพวาดก็ไม่ปาน
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขานเรียกขึ้นว่า “อี๋เหนียง”
“คุณหนูสิบเอ็ด!” ใบหน้าของอี๋เหนียงห้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานก็ไม่ปาน นางรีบลุกขึ้นสวมรองเท้า “รีบมานั่งที่เตียงเตาเร็วเข้า” จากนั้นนางก็รีบหันไปเก็บเข็มกับด้าย เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างลุกลี้ลุกลน ท่าทีงุ่มง่ามไปหมด พลอยทำให้สืออีเหนียงใจอ่อนยวบ
สืออีเหนียงจึงเดินเข้าไปกุมมือของอี๋เหนียงห้าไว้ “ไม่ต้องรีบ ข้าแค่มาดูว่าท่านสบายดีหรือไม่”
“ข้าสบายดีมาก!” อี๋เหนียงห้าจูงมือของสืออีเหนียงไปนั่งที่เตียงเตา จากนั้นก็หันไปเชื้อเชิญคุณนายใหญ่สกุลหลัวว่า “ท่านก็เชิญนั่งด้วย!” แล้วจึงค่อยสั่งให้สาวใช้น้อยไปเตรียมน้ำชามาให้ทั้งสอง
“ไม่ต้องแล้ว!” คุณนายใหญ่สกุลหลัวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ไม่อยู่คุยเป็นเพื่อนพวกท่านต่อแล้ว ท่านกับคุณหนูสิบเอ็ดค่อยๆ คุยกันเถิด!” จากนั้นนางก็ลุกขึ้นพร้อมกับขอตัวลา
อี๋เหนียงห้าก็ได้กวาดสายตามองไปทั่วตัวของสืออีเหนียง “คุณหนูสิบเอ็ดสบายดีหรือไม่”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ข้าสบายดีมาก!” จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มชวนกันพูดคุยเรื่อยเปื่อยทั่วไป
แต่แล้วจู่ๆ อี๋เหนียงหกก็บุกเข้ามาในห้อง
สีหน้าของนางค่อนข้างย่ำแย่ ไม่รอให้ใครได้ทันพูดอะไร นางก็หันไปสั่งกับสาวใช้น้อยทันทีว่า “เจ้าถอยออกไปก่อน”
สาวใช้น้อยหันไปมองอี๋เหนียงห้าอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าอี๋เหนียงห้าพยักหน้าเบาๆ นางจึงค่อยถอยออกไป จากนั้นก็ปิดประตูลงอย่างเบามือเบาเท้า
เมื่อเห็นว่าในห้องไม่มีคนนอกแล้ว อี๋เหนียงหกก็ขบกรามพลางพูดขึ้นว่า “เหตุใดนางถึงไม่กลัวว่าตายไปแล้วจะตกนรกทั้งสิบแปดขุมบ้างนะ!”
สืออีเหนียงรู้เรื่องนี้ดีและก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
อี๋เหนียงห้าได้ยินแล้วกลับพึมพำเบาๆ ว่า “พระอมิตาภพุทธะ” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “น้องหญิงหกอย่าไปพูดเช่นนั้น! มีอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา”
อี๋เหนียงหกหันไปมองอี๋เหนียงห้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียงที่เงียบไม่ได้พูดอะไร น้ำตาของนางก็ค่อยๆ ไหลรินออกมา
“ไอ๊หยา!” อี๋เหนียงห้ารีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้อี๋เหนียงหก “เจ้าเป็นอะไรไป”
“คุณหนูสิบเอ็ด ต้องช่วยสือเอ้อร์เหนียงของเราด้วย!” อี๋เหนียงหกรับผ้าเช็ดหน้าแล้วหันมาพูดขึ้นพร้อมกับร้องไห้ไปว่า “คู่หมั้นหมายที่ดีเช่นนี้ หาได้ยากยิ่งนัก แต่นายหญิงใหญ่กลับบอกว่า…คุณหนูสิบสองอายุยังน้อย รอต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยหาคู่หมั้นหมายก็ยังไม่สาย”