ตอนที่ 329 หวังหรงกลับบ้าน
คิดหน้าคิดหลังดูแล้ว หวังหรงก็ตัดสินใจไปซื้อวัตถุดิบจำพวกเนื้อที่ตลาดสดถนนเจี่ยเฟิงกลับไปเอาใจพ่อแม่และแม่เฒ่าหวัง
ได้ยินว่าตลาดสดถนนเจี่ยเฟิงใกล้ๆ นี้มีคนรับเหมาไปแล้ว และเปลี่ยนชื่อเป็นตลาดสดฝูตัวตัว ข้างในนั้นมีขายทุกอย่าง นอกจากนี้ยังไม่ต้องใช้คูปองด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
หวังหรงมาถึงหน้าตลาดสดฝูตัวตัว เพียงมองป้ายชื่อและประตูหน้า ก็รู้สึกว่ามันแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก
ป้ายชื่อนี้ทั้งสร้างสรรค์อีกทั้งยังจำง่าย เห็นแค่ครั้งเดียวก็จำได้ไม่ลืม
ส่วนประตูหน้านั้นถูกทาด้วยสีแดง ดูรื่นเริงครึกครื้นอย่างมาก นอกจากนี้ยังสูงใหญ่มากด้วย
ไม่ว่าใคร ขอแค่ผ่านมาใกล้ๆ กับตลาดสดนี้ ต่อให้อยากจะไม่สนใจก็คงทำไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะตาบอด
ทั้งสองด้านของประตูตลาดสด ฝั่งหนึ่งขายไก่เป็น อีกฝั่งหนึ่งขายเป็ดเป็นและห่านไม่กี่ตัว
เด็กหนุ่มสามสี่คนที่สวมชุดยูนิฟอร์มกำลังง่วนอยู่กับงาน
บางคนก็กำลังชั่งน้ำหนักสัตว์ปีกที่ลูกค้าเลือกเอาไว้แล้ว บางคนก็กำลังเชือดสัตว์ให้กับลูกค้าที่ชำระเงินโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
เมื่อก่อนสัตว์ปีกเหล่านี้ขายอยู่ด้านในของตลาดสด
แต่หลินม่ายพิจารณาว่าสัตว์ปีกพวกนี้ต่างยังเป็นๆ อยู่ แต่ด้านในตลาดสดนั้นขายอาหารที่สุกแล้ว เช่น อาหารตุ๋น ซาลาเปา หมั่นโถว
ด้วยกลัวว่าการมีอยู่ของสัตว์ปีกจะดูไม่ถูกสุขลักษณะและส่งผลต่อสุขอนามัยของอาหารที่ปรุงสุกแล้ว จึงให้แผงของสัตว์ปีกเป็นตั้งไว้ที่สองฝั่งของประตูหน้าตลาดสด
ความจริงแล้วเธอไม่สนับสนุนให้ขายสัตว์ปีกเป็นๆ นัก เพราะถึงอย่างไรก็อาจมีอันตรายต่อสุขภาพได้
เธออยากให้ขายไก่เป็ดที่ถูกเชือดและถอนขนแล้วอะไรแบบนั้นไปเลย
แต่โรงงานเนื้อสัตว์ไม่ยอมจัดหาสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอกชน แถมคนทั่วไปก็กระตือรือร้นที่จะขายสัตว์ปีกเป็นด้วย หลินม่ายจึงได้แต่ให้เป็นแบบนั้นไปชั่วคราว
หวังหรงทึ่งกับการบริการที่ดีขนาดนี้ของฝูตัวตัว ไม่นึกว่าจะเชือดสัตว์ปีกให้กับลูกค้าฟรีๆ ด้วย!
หล่อนเดินเข้าไปในตลาดสด เห็นด้านในของตลาดสดมีสินค้ามากมายละลานตา หลากหลายยิ่งกว่าสินค้าในตลาดสดพิเศษของรัฐวิสาหกิจเสียอีก ถึงได้รู้ว่าข่าวลือพวกนั้นล้วนเป็นความจริงทั้งหมด
หล่อนเดินไปหน้าแผงขายเนื้อ แล้วพูดกับพนักงาน “ขอเนื้อหมูสามชั้นหนึ่งกิโลค่ะ”
ขณะที่พนักงานคนนั้นกำลังจะลงมีดแบ่งเนื้อให้หล่อน ทันใดนั้นก็หันไปทางไหนสักทางแล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สวัสดีครับประธานหลิน”
ตามด้วยเสียงกังวานของหญิงสาวดังขึ้น “สวัสดีค่ะ เหนื่อยหน่อยนะคะ”
เสียงนี้เป็นเสียงที่คุ้นเคยมากเสียจนทำให้หวังหรงไม่อาจลืมได้
หล่อนหันหน้ากลับไปด้วยท่าทางเย็นชา และพบกับหลินม่าย
ประธานหลิน?
หลินม่ายคือคนที่รับเหมาตลาดสดแห่งนี้อย่างนั้นเหรอ?
หวังหรงโกรธจนเดินจากไปโดยที่เนื้อก็ยังไม่ได้ซื้อ
หล่อนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่นด่าอยู่ในใจ ตามหลอกหลอนกันเสียจริงๆ อยู่ที่ไหนก็เจอนังสารเลวนั่นไปหมดทุกหนทุกแห่ง!
พนักงานขายเนื้อคนนั้นตะโกนตามแผ่นหลังของหล่อนไปด้วยสีหน้างุนงง “ทำไมคุณไปแล้วล่ะ? ไม่ซื้อเนื้อแล้วเหรอ?”
หลินม่ายเองก็เห็นหวังหรงแล้ว จึงพูดกับพนักงานขายเนื้อคนนั้น “เขาไม่ซื้อก็ช่างมันเถอะค่ะ”
เนื้อในตลาดสดของเธอก็ใช่ว่าจะขายไม่หมด ไม่ต้องง้อให้หวังหรงมาซื้อหรอก!
ไม่เพียงแต่ไม่ง้อให้หวังหรงซื้อ หลินม่ายยังอยากจะจดหล่อนลงบัญชีดำ ไม่ให้หล่อนเข้ามาซื้อผักเลยด้วยซ้ำ
พนักงานขายเนื้อยิ้มพลางถามหลินม่าย “ประธานหลิน ซื้อเนื้อไหมครับ?”
หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันก็มาซื้อเนื้อนั่นแหละ เมื่อตอนเที่ยงโต้วโต้วของเราบอกกับฉันว่าตอนเย็นอยากกินหมูสับนึ่งไข่ไก่ ไม่อย่างนั้นใครจะอยากออกมาข้างนอกตอนอากาศร้อนๆ กันล่ะคะ?”
พนักงานขายเนื้อแบ่งเนื้อสันในให้เธอครึ่งชั่งตามคำขอ
หลินม่ายซื้อวัตถุดิบอย่างอื่นอีกเล็กน้อย แล้วจึงจากไปอย่างรวดเร็ว
ใกล้จะถึง5โมงแล้ว เธอต้องรีบกลับไปทำอาหารเย็น
เมื่อออกมาจากตลาดสดฝูตัวตัว หวังหรงก็ทิ้งสิบเบี้ยใกล้มือ ไปซื้อเนื้อที่ตลาดสดของรัฐวิสาหกิจอีกแห่งหนึ่ง
แต่ที่นั่นกลับไม่ขายเนื้อให้หล่อนเพราะไม่มีคูปองเนื้อ หล่อนจึงได้แต่กลับไปยังบ้านแม่เฒ่าหวังมือเปล่า
วันนั้นที่หวังหรงวิ่งหนีไป หล่อนก็ทิ้งปัญหาเรื่องวุ่นวายทั้งหมดเอาไว้ให้พ่อหรงแม่หรงและแม่เฒ่าหวัง
พ่อหรงแม่หรงและคุณยายหวังถูกพวกผู้หญิงตระกูลตู้ก่อกวนจนไม่อาจอยู่อย่างสงบสุข จึงสุมเพลิงโทสะเอาไว้เต็มอกอยู่นานแล้ว
พ่วงกับเรื่องที่ฟางจั๋วเยวี่ยมาบอกว่าหวังหรงลอบกัดหลินม่ายอีกครั้ง จนพี่ใหญ่ของเขาคิดจะกำจัดพวกเขาเมื่อครู่อีก
จนถึงตอนนี้พ่อหรงแม่หรงและแม่เฒ่าหวังก็ยังอยู่ในอาการตื่นตระหนกหวาดระแวง
เมื่อเห็นหวังหรงกลับมาแล้ว ก็ราวกับเจอศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลก
สองสามีภรรยารอให้หวังหรงเข้ามาในลานบ้าน แล้วจึงปิดประตูอย่างแน่นหนา แล้วแย่งกันหยิบท่อนไม้ขึ้นมาทุบตีหวังหรง ราวกับปิดประตูตีแมวอย่างไรอย่างนั้น
“แกมันนังตัวปัญหา ก่อความเดือดร้อนไปทั่ว ตัวเองไม่เก็บกวาดแล้วยังโยนขี้มาให้พ่อแม่กับยายแก ตอนนี้ยังกล้ากลับมาอีกเรอะ ฉันจะตีแกให้ชักดิ้นชักงอเลย!”
ก่อนที่ท่อนไม้จะโดนตัวหล่อน หวังหรงก็ควักเงินที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่สิบหยวนบนตัวออกมาได้ทันเวลา พลางพูดเสียงสะอื้น “พ่อคะ แม่คะ พวกท่านอย่าตีฉันเลย ปัญหาที่ฉันก่อขึ้นมา ฉันจะแก้ไขมันเอง”
เมื่อนั้นพ่อหรงแม่หรงจึงวางท่อนไม้ลง
แม่หรงเอื้อมมือไปหยิบเงินไม่กี่สิบหยวนนั้นมา เมื่อนับดูแล้ว ก็นึกไม่ถึงว่าจะมีธนบัตร10หยวนถึงแปดใบ
เงินแค่นี้ หากเป็นเมื่อก่อนคงจะไม่ได้อยู่ในสายตาของหล่อน แต่ตอนนี้ ในสายตาของหล่อนกลับเป็นเงินก้อนใหญ่
แม่หรงสะบัดธนบัตรในมือ แล้วถามอย่างสงสัย “แกไปได้เงินพวกนี้มาจากไหน?”
หวังหรงมองเงินในมือมารดาด้วยความเจ็บปวด
หล่อนไม่นึกเลยจริงๆ ว่าต้องเอาเงินที่เหลืออยู่น้อยนิดให้กับแม่ เพียงแต่ฉากเมื่อครู่นี้มันน่ากลัวเกินไป
พ่อแม่แท้ๆ เงื้อท่อนไม้จะหวดหล่อนขนาดนั้น หล่อนกลัวจริงๆ ว่าท่อนไม้นั้นหวดลงไม่กี่ครั้งก็จะพรากชีวิตของหล่อนไปได้แล้ว ท่ามกลางความหวั่นวิตก ก็ได้แต่ควักเงินติดตัวออกมาเป็นโล่คุ้มกัน
แม้จะหลบเลี่ยงท่อนไม้ไปได้ แต่กลับสูญเสียทรัพย์สิน
ถ้ารู้แต่แรกคงไปเช่าห้องอยู่ข้างนอกจะดีกว่า อย่างน้อยก็ยังสามารถปกป้องเงินอันน้อยนิดนี้ของตนไว้ได้
หวังหรงพูดด้วยสีหน้าเศร้าสลด “แฟนของฉันให้มาค่ะ”
พ่อหรงแม่หรงและแม่เฒ่าหวังมองหน้าตากันไปมา
คาดไม่ถึงว่าหวังหรงไม่อยู่บ้านเจ็ดแปดวัน ก็หาแฟนให้ตัวเองเสียแล้ว!
ลูกสาวมีแฟนนั้นเป็นเรื่องใหญ่หลวง
พวกเขาทั้งครอบครัวจะลืมตาอ้าปากได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับหล่อนแล้ว
ถ้าหล่อนแต่งงานไปได้ดี ชีวิตของพวกเขาเองก็ย่อมสบายไปด้วย
ถ้าหากหล่อนแต่งงานไปได้ไม่ดี พวกเขาก็ทำได้เพียงอยู่ไปวันๆ
แม่หรงโยนท่อนไม้ในมือทิ้ง แล้วลากหวังหรงไปนั่งที่ห้องรับแขก ถามอย่างเคร่งเครียด “แกมีแฟนแล้วเหรอ? แฟนแกอายุเท่าไหร่? เป็นคนที่ไหน? ได้เงินเดือนเท่าไหร่? พ่อแม่ทำงานอะไร?”
หล่อนรัวคำถามเป็นชุดใส่หวังหรง
หวังหรงยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “แฟนฉันเป็นคนฮ่องกง อายุราว 30 ปี เขาไม่ต้องเอาเงินเดือนหรอกค่ะ เพราะเขาเปิดโรงงานเสื้อผ้า ส่วนพ่อแม่ของเขาทำอะไรน้า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หล่อนก็ยักไหล่เลียนแบบท่าทางแบบชาวตะวันตกในภาพยนตร์ “ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดค่ะ”
เมื่อพ่อหรงแม่หรงได้ยินว่าแฟนของหล่อนเป็นคนฮ่องกง ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันใด
แม่หรงพูดอย่างกระตืนรือร้น “อย่างนั้นแกก็รีบไปเอาเงินมาจากแฟนของแกสิ ไล่พวกผู้หญิงสกุลตู้นั่นไปซะ แล้วก็พวกคนบ้านหลูนั่นด้วย”
หวังหรงอึ้งตะลึง ถามอย่างงงงัน “ทำไมต้องไล่คนสกุลหลูด้วยล่ะ ไม่ให้ว่ารักษาอาการบาดเจ็บให้หลูจ้าวซิ่งแล้วหรอกเหรอคะ?”
แม่หรงถอนหายใจหนักหน่วง “อย่าไปพูดถึงเลย ถึงหัวของหลูจ้าวซิ่งจะถูกเย็บไปแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าข้างในจะมีเลือดคั่ง แถมลิ่มเลือดยังกดทับเส้นประสาทสำคัญจนต้องผ่าตัดใหม่อีกรอบ ไม่อย่างนั้นหากยืดเวลาออกไปอีก ก็จะเสี่ยงต่อการกลายเป็นคนปัญญาอ่อนจนถึงตายได้ ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดครั้งนี้ประมาณห้าหกร้อยหยวน แล้วพ่อของหลูจ้าวซิ่งก็มาโวยวายเรียกร้องให้บ้านเราออกเงิน”
หวังหรงพูดอย่างเกรี้ยวกราด “บ้านเราไม่ออกเงินซะอย่าง แล้วตระกูลหลูจะทำอะไรเราได้! พวกเขาคงไม่มีทางยืนมองหลูจ้าวซิ่งตายไปต่อหน้าต่อตาหรอก สุดท้ายก็ต้องคิดวิธีหาเงินมาผ่าตัดลูกชายตัวเองอยู่ดีนั่นแหละ!”
พ่อหรงสูบบุหรี่พลางพูด “แกนี่คิดตื้นๆ ถ้าไม่ชดใช้ให้ เขาก็ใช้มือมืดจัดการเราน่ะสิ ฉันกับแม่แกอยู่ในบ้านเฉยๆ ยังถูกคนคลุมกระสอบทุบตีตั้งหลายครั้งเลย!”
หวังหรงเหลือบตาขึ้นสังเกตทั้งคู่อย่างละเอียด
พ่อหรงโบกมือ “ไม่ต้องมอง คนอื่นเขาไม่ได้ตีที่หน้าหรอก เขาเตะตามตัว แกมองไม่เห็นแผลหรอก”
หวังหรงไม่พูดอะไร แต่กลับสงสัยว่าพ่อกำลังโกหกหล่อนอยู่
พ่อกับแม่ในตอนนี้ ในสายตาของหล่อนไม่ใช่พ่อแม่คู่นั้นที่รักหล่อนไปนานแล้ว
แม่หรงเห็นหวังหรงนิ่งเงียบไป ก็รู้ว่าหล่อนกำลังสงสัยในคำพูดของพ่อตัวเอง ในใจก็หนาวเยือกขึ้นมา
หล่อนยอมรับว่าในช่วงเวลานี้ พวกหล่อนสองสามีภรรยาเกลียดชังหวังหรงมาก
แต่เรื่องนี้ก็จะโทษพวกเขาไม่ได้เช่นกัน ใครบอกให้ลูกสาวชอบสร้างความเดือดร้อน ทำให้ครอบครัวต้องไร้ที่อยู่ แม้แต่ข้าวก็ไม่มีกินกันล่ะ แล้วพวกเขาจะไม่โกรธได้เหรอ!
ขณะแม่หรงกำลังจะม้วนขากางเกงขึ้น ให้ลูกสาวดูรอยแผลบนร่างกายของหล่อน ประตูบ้านก็ถูกคนตบเสียงดังสนั่น
ใบหน้าของหล่อนเผยสีหน้าหวาดผวาและทำอะไรไม่ถูก “ถ้าไม่ใช่พวกสกุลตู้มา ก็เป็นพวกสกุลหลูล่ะ”
พูดจบก็ใช้ศอกสะกิดพ่อหรง “คุณไปเปิดประตูสิ”
พ่อหรงมองไปที่ประตูด้วยความหวาดกลัว
เขาเองก็ไม่อยากไปเปิดประตูเหมือนกัน แต่ถ้าเขาไม่ไป ก็ไม่มีใครไปแล้ว และคนที่อยู่ข้างนอกก็จะพังประตูเข้าไป
เขาค่อยลุกขึ้นช้าๆ ลากฝีเท้าอันหนักอึ้งไปเปิดประตู
ประตูบ้านเพิ่งจะถูกเปิดออก คนกลุ่มใหญ่ก็บุกเข้ามาข้างใน
ไม่เพียงมีพวกผู้หญิงตระกูลตู้ ยังมีพ่อแม่ของหลูจ้าวซิ่งอีกด้วย
พ่อหลูเข้าไปแล้วก็ตบหน้าพ่อหรงอย่างแรง แล้วถามอย่างเลือดเย็น “เตรียมเงินเอาไว้พร้อมหรือยัง!”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
กลับบ้านมาก็มีเรื่องเลย สมกับเป็นตัว(สร้าง)เงินตัว(สร้าง)ทองของบ้านจริงๆ นังหรง
ไหหม่า(海馬)