อีอูยอนมองอินซอบที่เหนื่อยจากการร้องไห้จนนอนหลับไป อินซอบผู้ซึ่งไม่สามารถอยู่ดูใจได้ทำตัวไม่ถูกราวกับการตายของคุณยายเป็นความผิดของตัวเอง เขารู้สึกไม่ดี ครอบครัวของอินซอบสนิทกันเกินไปสำหรับการเป็นครอบครัวใหญ่ คนเหล่านี้ควรจะอยู่แต่ในหนังสือนิทาน และนั่นหมายความว่าสุดท้ายพวกเขาก็จะเป็นแบบนี้ซ้ำๆ ทุกครั้งที่มีใครสักคนตาย
อีอูยอนลูบดวงตาของอินซอบที่บวมแดงอย่างระมัดระวัง
แต่ถ้าเขาช่วยให้ทุกคนตายพร้อมกันในครั้งเดียวก็น่าจะง่ายและไม่ยุ่งยากกันทั้งสองฝ่าย
อีอูยอนนึกถึงความคิดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้โดยเด็ดขาดพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้อินซอบ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงรถยนต์จากนอกหน้าต่าง ดูเหมือนพิธีศพจะจบแล้ว
อีอูยอนลุกขึ้น เขาออกจากห้องและเจอแอรอนระหว่างที่เดินลงบันได
“คงจะกลับแล้วสินะครับ”
มันหมายความว่า “มัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงยังไม่ยอมกลับจนถึงตอนนี้” อีอูยอนทำตายิ้มและตอบกลับไปว่า “ครับ”
“พี่ล่ะ”
“หลับอยู่ครับ”
แอรอนเดินขึ้นบันไดราวกับจะไปดู แต่อีอูยอนกลับขวางหน้าเขาไว้
“ปล่อยให้เขานอนไปเถอะครับ เขาเพิ่งหลับไปได้ไม่นาน”
อีอูยอนว่าพลางก้มมองแอรอน แอรอนเงยหน้ามองอีอูยอนด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะถอนหายใจ จากนั้นก็พูดพึมพำอย่างหยาบกระด้าง
“…ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ”
เชี่ยเอ๊ย
เกลียดในสิ่งที่เกลียด และขอบคุณในสิ่งที่ควรจะขอบคุณ ช่างเป็นวิธีคิดที่สมกับเป็นพี่น้องของชเวอินซอบจริงๆ อีอูยอนลอบด่าในใจและโต้ตอบไปว่า “เรื่องอะไรเหรอครับ”
“มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องได้รับคำขอบคุณหรอกครับ”
“ไม่เลยครับ เพราะคุณช่วยดูแลพี่แทนครอบครัวครับ”
แล้วแอรอนก็พูดว่า “ขอบคุณครับ” ต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แทนครอบครัว
ตาของอีอูยอนยิ้มมากขึ้น
“เย็นวันนี้ครอบครัวจะรวมตัวกันทานอาหารครับ และจัดพิธีไว้อาลัยด้วย”
“ครับ”
แม่งอยากจะพูดอะไรแน่
“แม่บอกว่าอยากเชิญคุณด้วยเพื่อเป็นการขอบคุณน่ะครับ”
“อ๋อ ครับ”
แม้จะหวงและรักอินซอบมากกว่าอะไร แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องทุ่มเทใจให้ครอบครัวของอีกฝ่าย แม้เขาจะสามารถเลียนแบบให้เหมือนกับรู้สึกแบบนั้นได้ แต่เขาก็ไม่อยากทำ
โดยเฉพาะในวันนี้
“ขอโทษนะครับ แต่เย็นนี้ผมมีนัดแล้ว”
“ครับ ผมจะบอกแม่ให้ครับ”
แอรอนตอบรับด้วยสีหน้าที่บอกว่าโล่งอก
ไอ้เหี้ยเอ๊ย สักวันเขาต้องแก้ผ้าชเวอินซอบและมีอะไรกันให้ไอ้เวรนี่เห็นกับตาให้ได้
“แล้วผมก็คิดว่าให้พี่ได้พักผ่อนอย่างสบายๆ ที่นี่สักระยะน่าจะดีครับ”
“ว่าไงนะ”
“ดูเหมือนพี่จะช็อกกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มาก คุณอาจจะไม่รู้ แต่พี่เขามีความสัมพันธ์ที่พิเศษมากกับคุณยายน่ะครับ ผมเลยคิดว่าให้เขาอยู่กับครอบครัวสักระยะน่าจะดีกว่า”
อีอูยอนครุ่นคิดและเดินลงบันไดไปก้าวหนึ่ง
“คุณอินซอบเองก็มีชีวิตที่ตัวเองเลือกนะครับ ดังนั้นให้เขาจัดการเองเถอะครับ”
เขาจงใจตอบกลับด้วยภาษาเกาหลี
“เราเป็นครอบครัว ดังนั้นเราต้องเป็นห่วงเขาอยู่แล้วครับ”
แอรอนพูดด้วยสายตาจริงจังพูดและมองอีอูยอนตรงๆ เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ มันคือความจริงใจร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ไม่มีความเห็นแก่ตัวปนอยู่เลย และความหวังดีอันบริสุทธิ์ที่มีต่ออีกฝ่ายเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถเลียนแบบได้เลย
ความรู้สึกบิดเบี้ยวที่ตัวเขาพยายามมองข้ามพลุ่งพล่านขึ้นมา สิ่งที่เขารู้สึกในขณะที่เหยียบแผ่นดินอเมริกา ไม่สิ ความคิดที่เขามีขณะมองดูอินซอบที่ยืนอยู่ท่ามกลางครอบครัว… หรือบางทีอาจจะเป็นความรู้สึกอันน่าเวทนาของการถูกแก่งแย่งที่เขาควรจะรู้สึก
“เพราะฉะนั้น…”
“…เหี้ยเอ๊ย”
แอรอนที่ไม่เข้าใจคำด่าที่ถูกพ่นออกมาย้อนถามว่า “ครับ?”
ต้องพูดว่า “ไอ้เหี้ย” ข้างๆ หูอีกครั้งไหม
ตอนที่อีอูยอนเงยหน้าขึ้น แอรอนก็ร้องว่า “หืม?” และเหลือบตามองด้านบน
“คุณอูยอน?”
เขาเห็นอินซอบยืนอยู่ตรงราวบันไดชั้นสอง
“ดีขึ้นแล้วเหรอ คงไม่ต้องไปตรวจที่โรงพยายาลหรอกใช่ไหม”
แอรอนวิ่งตึกตักขึ้นบันไดพลางเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรแล้ว”
แอรอนใช้มือแตะหน้าผากอินซอบและบอกว่า “ไข้ลดลงแล้วนี่” อินซอบยิ้มเล็กน้อย พอเขาทำแบบนั้น แอรอนก็ขยี้ผมของอินซอบราวกับแกล้งเล่น
สีหน้าหายไปจากใบหน้าของอีอูยอนแล้ว
เขารู้สึกถึงความต้องการที่อยากจะหักข้อมือของหมอนั่นทุกครั้งที่อีกฝ่ายทำแบบนั้น เขาคงจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยถ้าได้เห็นกระดูกสีขาวที่หักและแทงทะลุเนื้อขึ้นมา
“กำลังจะไปเหรอครับ”
อินซอบที่เดินลงบันไดมาตอนไหนไม่รู้เอ่ยถาม
“ครับ ต้องไปแล้วครับ”
“กินข้าวแล้วค่อยไปนะครับ คุณน่าจะยังไม่ได้กินข้าวเพราะผม”
การอดอาหารไปมื้อเดียวจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรล่ะ ทำไมต้องเป็นห่วงด้วยสีหน้าแบบนั้นด้วย
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
เขาสามารถกินข้าวสักมื้อที่นี่ได้ เพราะการใส่หน้ากากทางสังคมและทำตัวมีมารยาทเป็นเรื่องที่เขาทำเป็นประจำอยู่แล้ว
“อากับอาสะใภ้บอกว่าเดี๋ยวจะมา ทุกคนเป็นห่วงพี่กันหมดเลยนะ”
อินซอบยิ้มโดยไม่พูดอะไรให้กับคำพูดของแอรอน อีอูยอนหลุบตามองด้านล่างและกลั้นหัวเราะ เขาลูบแหวนที่ใส่ไว้ที่นิ้วก้อยโดยไม่พูดอะไร
“คุณอูยอน ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยว…”
เสียงร้องอย่างประหลาดใจของแอรอนดังขึ้นเหนือหัว พออินซอบถามว่าเป็นอะไร แอรอนก็ยิ้มกว้างและตอบว่า
“คุณอารึมบอกว่าจะมา?”
“คุณอารึมเหรอ ทำไมล่ะ ได้ยังไง?”
“อ๋อ เธอเริ่มเรียนปริญญาโทที่อเมริกาน่ะ ผมเลยลองติดต่อไปดู เธอเพิ่งถึงสนามบินพอดี แต่เธอไม่คิดว่าจะมีงานศพเลยบอกว่าคงมาร่วมพิธีศพไม่ได้”
ริมฝีปากของแอรอนมีรอยยิ้มประดับอยู่ ในที่สุดอินซอบก็หัวเราะเบาๆ ให้กับท่าทีที่แสดงออกมาของน้องชาย
เขารู้สึกว่าสัมผัสของโลหะที่ใส่ไว้ที่นิ้วก้อยเย็นเป็นพิเศษ อีอูยอนจึงเอ่ยเรียก “คุณอินซอบ”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
พออีอูยอนเดินลงบันได อินซอบก็รีบเอ่ยเรียกเขาไว้
“คุณอูยอน เดี๋ยวก่อนครับ”
อินซอบดึงชายเสื้อของอีอูยอนไว้
“มีอะไรเหรอครับ”
เสียงเอ่ยตอบที่อาจฟังดูเย็นถูกส่งกลับมา
“ถ้าคุณไม่เหนื่อย ก็กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะครับ หลังจากเสร็จพิธีศพแล้ว อีกเดี๋ยวครอบครัวจะมารวมตัวกัน…”
เขาไม่ได้เหนื่อย แต่หงุดหงิด การมองคนอื่นกอดและแตะต้องอินซอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และเขาก็เบื่อกับการแกล้งทำเป็นเศร้ากับการจากไปของคนแก่ที่ตนไม่สนใจด้วย และยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขาหงุดหงิดมากเมื่อนึกถึงยุนอารึมที่จะมาร่วมกินข้าวที่นี่ด้วย
“ช่างเถอะครับ ยังไงผมก็ไม่ได้ชื่นชอบพิธีศพอยู่แล้ว”
เขาเปิดเผยความรู้สึกจริงๆ ที่มักจะจัดการได้อย่างเรียบร้อยในเวลาปกติออกมา
อินซอบหน้าซีด ใบหน้าของแอรอนที่ได้ยินบทสนทนานี้จากบนบันไดก็นิ่งไปเหมือนกัน
เหอะ แม่ง
อีอูยอนขบกรามแน่น เขาบอกว่า “ไว้เจอกันนะครับ” และเดินออกมาโดยไม่มองหน้าอินซอบ และอินซอบก็ไม่ได้ตามออกมาเช่นกัน
***
‘คุณจะพูดจาร้ายๆ ก็ได้นะครับ ปกติผมร้องไห้ง่ายอยู่แล้ว แค่ร้องไห้นิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรหรอก ผมก็แค่…แค่อยากให้มันไม่เป็นไร’
อีอูยอนคาบบุหรี่ไว้และหยิบไฟแช็กออกมา แม้จะหมุนลูกกลิ้งอยู่หลายครั้ง แต่ไฟก็ไม่ติดง่ายๆ เขาจึงหักบุหรี่ทิ้งและเอนตัวพิงพวงมาลัย
วันนั้นเขาออกมาจากบ้านของอินซอบและกลับไปที่โรงแรม พออาบน้ำเสร็จเขาก็เช็กโทรศัพท์มือถือ มีข้อความจากอินซอบถูกส่งมาถึง
[กินข้าวหรือยังครับ แม้จะเหนื่อยก็ต้องกินอาหารให้ครบทุกมื้อนะครับ]
ตอนที่อ่านข้อความ ความรู้สึกละอายใจก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาคิดว่าควรจะโทรศัพท์หาอินซอบเลยดีไหม แต่แล้วก็ส่งข้อความไปแทน
[คุณอินซอบเองก็ต้องพักผ่อนนะครับ ห้ามฝืน]
เขาคิดว่าควรพูดว่า ‘ขอโทษ’ ด้วยดีไหม แต่แล้วก็ล้มเลิกไป ต้องขอโทษแค่ครั้งสองครั้งซะที่ไหนล่ะ
อีอูยอนซบหน้าผากกับพวงมาลัยรถและด่าตัวเอง
เขาคุยโทรศัพท์อย่างสั้นๆ กับอินซอบในคืนวันนั้น และอินซอบไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องพิธีศพเลย วันรุ่งขึ้น และวันต่อๆ ไป อีอูยอนก็ไม่ไปหาอินซอบ เขากุเรื่องขึ้นมาว่าไหนๆ ก็กลับอเมริกามาแล้วจึงมีเรื่องที่ต้องจัดการ แน่นอนว่าเขาไม่มีเรื่องที่ต้องจัดการอะไรเลย
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่เขาไม่ได้เห็นหน้าอินซอบ
[ฝัน…นอนหลับฝันดีหรือเปล่าครับ]
อินซอบเอ่ยถามอย่างระมัดระวังในระหว่างที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อคืน เพราะอีกฝ่ายรู้ถึงเงื่อนไขของอาการนอนไม่หลับของตนดี
‘ทำไมเหรอ? กลัวว่าผมจะนอนไม่หลับถ้าไม่มีคุณอินซอบเหรอ’
[ปะ เปล่าครับ ผมแค่เป็นห่วงก็เลย…]
‘ผมนอนหลับครับ แล้วผมก็เลิกกินยาแล้วด้วย’
เขาจงใจตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
[…งานจะเสร็จเมื่อไรเหรอครับ]
เขาตอบคำถามของอินซอบไปว่า ‘คงจะต้องใช้เวลาอีกวันสองวันครับ’ อินซอบจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ว่า ‘ครับ’
‘คุณอินซอบใช้โอกาสนี้อยู่กับครอบครัวเถอะครับ คุณคิดถึงพวกเขามากนี่ครับ’
[เข้าใจแล้วครับ]
เขาบอกว่า “พักผ่อนนะครับ” และวางสายไป แม้จะหยิบขวดเหล้าที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาดื่มจนหมดขวดแล้ว แต่ก็ยังนอนไม่หลับ เหตุผลที่เขาเลิกกินยานั้นง่ายมาก เพราะมันไม่มีประโยชน์
‘ผมไม่เคยเจอคนไข้ที่ยาไม่สามารถช่วยอะไรได้ขนาดนี้มาก่อนเลยครับ เป็นเคสที่พบได้น้อยจริงๆ งั้นผมจะลองสั่งจ่ายยาตัวอื่นดูก่อน…’
เขานึกถึงสีหน้าของหมอที่แอบมองมา เป็นแววตาที่บอกว่า ถึงลองกินไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว ท้ายที่สุดในการนัดปรึกษาครั้งต่อไป เขาจึงตัดสินใจไม่รับใบสั่งยาอีก
เขาควรจะรับของพวกนั้นมาเหรอ ต่อให้กลืนอะไรสักอย่างเข้าไปหนึ่งกำมือก็ไม่ดีขึ้นไปกว่าตอนนี้ไม่ใช่เหรอ
วันนี้หลังจากที่อาบน้ำเสร็จและกำลังจะเข้านอน เขาก็คิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ความจริงไม่ใช่แค่ชเวอินซอบคนเดียวเท่านั้นที่ชีวิตถูกทำลายหลังจากคบกัน แต่ตัวเขาเองก็เป็นคนพิการที่ไม่สามารถนอนหลับได้หากไม่มีชเวอินซอบเหมือนกัน บางครั้งเขาก็พูดกับอินซอบราวกับล้อเล่นว่า “ถ้าคุณทิ้งผมไป ผมต้องตายแน่ๆ” แต่นอกเหนือจากวิธีนั้นแล้วก็ไม่มีหนทางอื่น ถ้าไม่มีอินซอบเขาจะนอนไม่หลับ และนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการตาย ไม่สิ แม้จะสามารถนอนหลับได้ แต่เราจำเป็นต้องอยู่โดยไม่มีเด็กคนนั้นด้วยเหรอ
พอตั้งสติได้หลังจากที่คิดเรื่องไร้สาระ เขาก็ขับรถมาถึงที่นี่แล้ว อีอูยอนหยิบบุหรี่มวนใหญ่ขึ้นมาคาบ เขาจุดไฟและสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่พร้อมกับมองบ้านของอินซอบ ถ้าจะพูดให้ชัดเจนคือมองหน้าต่างห้องของอินซอบที่เปิดไฟไว้ต่างหาก
‘ถ้าแต่งงานแล้วฉันคิดว่าจะได้เจอกับตอนจบที่มีความสุข แต่มันไม่ใช่เลย มันเริ่มต้นตั้งแต่ตรงนั้นต่างหาก’
คำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมไม่ผิดเลยสักนิด เขารู้ว่าไม่สามารถมีความสุขไปได้ตลอด แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
เขามองแหวนที่ใส่ไว้ที่นิ้วก้อยข้างซ้าย แม้อินซอบจะขอแต่งงานและสัญญาว่าจะแต่งงานกัน แต่มันไม่ได้พาไปถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปเป็นร่าง หลังจากนี้งานจะแห่เข้ามาทันทีที่เข้ากลับไปเกาหลี และอินซอบเองก็คงจะยุ่งกับการเรียนมากเหมือนกัน
แต่เขาก็ไม่ได้กังวลใจ ไม่ว่าอย่างไรอินซอบก็จะแต่งงานกับเขา และเขาก็ไม่มีความคิดที่จะประทับตราเป็นครั้งที่สองแน่นอน
แต่เขาก็เป็นห่วงอินซอบที่ได้รับความเจ็บปวดทุกครั้ง ใบหน้าที่ซีดเผือดทุกครั้งที่ได้รู้ว่าคนรักของตัวเองเป็นคนที่เหมือนขยะแค่ไหนไม่ถูกลบไปจากสมองง่ายๆ
คราวนี้เขาก็คิดว่าตัวเองสามารถเข้าใจได้หากอีกฝ่ายจะรังเกียจ…แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นเขาก็จะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปเด็ดขาด