หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 999 การขัดขวางด้วยคันธนูจักรพิภพ!

บทที่ 999 การขัดขวางด้วยคันธนูจักรพิภพ!

หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง แววตาค่อยๆ เผยความหนักใจออกมา ขณะจ้องมองไปยังรูปปั้นหินนั้น

แม้ใบหน้าของรูปปั้นหินจะไม่ชัดเจนจนมองไม่เห็นรูปพรรณสัณฐานที่จริงแท้ แต่ดูจากภายนอกคร่าวๆ ก็พอจะมองออกว่านี่คือผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่เป็นมนุษย์ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังลมปราณที่สั่งสมมา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูโบราณเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกระบี่เล่มนั้นที่อยู่บนหลัง แม้ว่าจะทำมาจากหิน ทว่ากลับแสดงเจตนารมณ์แห่งกระบี่อันแรงกล้าออกมา ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายที่รุนแรง

ราวกับเพียงแค่เขาขยับเท้าเข้าไปใกล้ไม่กี่ก้าว ปราณกระบี่ที่อยู่ในกระบี่ศิลาก็พร้อมที่จะปะทุขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วพุ่งตรงมาทางนี้

จุดนี้สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนจากซากสัตว์ทะเลที่อยู่รอบๆ ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าตายไปนานเพียงใด

เหตุการณ์นี้ ทำให้ดวงตาอันเงียบขรึมคู่นั้นของหวังเป่าเล่อเกิดความลังเล หากไม่จำเป็น เขาเองก็คงไม่อยากเข้าไปรบกวนการจัดวางของวิหารแห่งนี้ ท้ายที่สุดรูปปั้นหินและกระบี่ศิลานั้นดูเหมือนจะมีพลังสังหารเขาได้ด้วย

หลังจากวันเวลาล่วงเลยผ่านไป เห็นได้ชัดว่าพลังที่เหลืออยู่ได้กระจัดกระจายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ลองนึกภาพว่าถ้าหลายปีก่อนรูปปั้นแกะสลักหินและกระบี่ศิลานี้ยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ไปเรื่อยๆ เกรงว่าเพียงแค่กระบี่เล่มเดียว ก็สามารถสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้!

หากร่างต้นแบบอยู่ที่นี่ ก็ยังสามารถใช้พลังที่สั่งสมมาได้ ส่วนอีกฝ่ายมีเพียงสถานะของพลังที่เหลือในการพยายามฟันฝ่า ทว่าร่างอวตารและร่างต้นแบบมีความแตกต่างกัน เมื่อหวังเป่าเล่อเลื่อนสายตาจากรูปปั้นแกะสลักหิน ไปมองวิหารนั้นที่ปกคลุมด้วยสาหร่ายทะเล นัยน์ตาของเขาค่อยๆ เปล่งประกาย

วิหารแห่งนี้ไม่มีประตู ดังนั้นยืนจากตรงนี้ก็สามารถมองเห็นด้านในวิหารได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีภูตผีตนใดสถิตอยู่ ซ้ำยังเป็นที่ตั้งของวงแหวนปราณสำหรับเคลื่อนย้ายหนึ่งจุดที่ยังใช้งานได้อยู่เช่นกัน ทว่ากลับแตกต่างกับวงแหวนปราณซากวาฬ ตรงที่บนวงแหวนปราณนี้มีเส้นใยที่ผสมผสานกันจนแผ่ขยายไปถึงพื้นน้ำทะเล ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก

สิ่งที่เชื่อมโยงกันไว้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นจุดรวมปราณวิญญาณทุกแห่งบนโลก ซึ่งมันดึงปราณวิญญาณนิดๆ หน่อยๆ จากภายในของมันออกมาอย่างต่อเนื่อง และหลอมรวมเข้ากับวงแหวนปราณ

หากหวังเป่าเล่อไม่มีแผนที่จะให้ระบบสุริยะรวมเข้ากับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หลังจากพินิจพิเคราะห์ เขาคงเลือกที่จะเมินเฉยต่อการจัดวางของที่นี่แล้วเลือกที่จะจากไป ทว่าตอนนี้กลับทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว

เมื่อได้วิเคราะห์และประเมินผล หลังจากที่ระบบสุริยะรวมเข้ากับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ จะมีปราณวิญญาณขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว วงแหวนปราณของที่นี่จะสูบปราณวิญญาณเข้ามามากเกินกว่าจะบรรยายได้ในตอนนี้ ถึงเวลานั้น…หวังเป่าเล่อก็ไม่กล้าเสี่ยงว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

นี่เป็นเหตุผลที่เขาปิดผนึกจุดค้นพบทั้งหลายแห่งบนโลกในคราวนี้ ดังนั้นหลังจากตั้งสติ หวังเป่าเล่อจึงนวดคลึงหว่างคิ้วแล้วคารวะไปทางฝั่งรูปปั้นหินแกะสลัก

“ท่านผู้ฝึกตน ข้าไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วที่แห่งนี้จะเป็นสิ่งดีๆ หรือสิ่งชั่วร้ายต่อสหพันธรัฐของข้า เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น จึงได้ปิดผนึกวงแหวนปราณ ตัดการเกี่ยวข้องกับโลกภายนอกอย่างห้ามใจไม่ไหว ท่านผู้อาวุโสโปรดอภัยให้ข้าด้วย” ระหว่างที่พูด หวังเป่าเล่อจึงยกเท้าก้าวไปข้างหน้า ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง…

ทว่าวินาทีที่ก้าวที่สามกำลังจะแตะลงบนพื้น กระบี่ศิลาที่อยู่บนหลังของรูปปั้นแกะสลักหินพลันเกิดเสียงดังกระหึ่ม ปราณกระบี่ระเบิดออกทันที กลายเป็นสายธารสีรุ้งพุ่งตรงเข้าใส่หวังเป่าเล่อจนเกิดเสียงดังฉวัดเฉวียนตามมา

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงถอยหลังออกไปถึงเจ็ดก้าวภายในรวดเดียว หลังจากออกจากเขตต้องห้ามของวิหารแล้ว ปราณกระบี่เล่มนั้นดูเหมือนจะไม่สามารถระงับเจตนาสังหารได้ ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะถอยออกไปไกลเพียงใด ปราณชั่วร้ายก็ยังคงไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าต่อให้จะไกลสุดขอบฟ้าก็จะต้องฆ่าเขาให้ได้ เมื่อเห็นว่ากำลังจะมาถึงตรงหน้าหวังเป่าเล่อ แววตาเขากลับฉายความเยือกเย็นออกมา

“ดูเหมือนจะเป็นสิ่งชั่วร้ายแล้วล่ะ!” ขณะที่พูด หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นกะทันหัน วินาทีนั้นคันธนูขนาดมหึมาพลันปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือของเขา ครั้นเอาคันธนูออกมา ก้นทะเลพลันเกิดเสียงดังสนั่น ระบบสุริยะยังสั่นสะเทือนไปทั่ว ดวงอาทิตย์เริ่มมืดมัว ตัวแม่นางน้อยที่สวมหน้ากากที่กำลังรำลึกความหลังกับปรมาจารย์จักรพิภพผู้นั้นอยู่บนกระบี่สำริดโบราณก็สีหน้าแปรเปลี่ยน จ้องมองมายังทิศทางของโลกเป็นตาเดียวกัน

“นั่นมัน…”

“คันธนูจักรพิภพ!” นัยน์ตาแม่นางน้อยเผยความเครียดขรึมออกมาขณะเอ่ยออกมาเบาๆ ที่ก้นทะเลลึกใต้พิภพตรงข้ามกับรูปปั้นหินของวิหาร หวังเป่าเล่อง้างสายธนูด้วยมือขวา พร้อมคำรามออกมา พลังบ่มเพาะทั่วทั้งร่างกายปะทุออกมาเต็มที่ เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลที่อยู่ด้านหลังเกิดส่องแสงเจิดจ้า ดาวเคราะห์เต๋าที่ก่อตัวขึ้นก็เกิดเปล่งประกาย ภายใต้การหลอมรวมของพลังบ่มเพาะทั้งหมด ท้ายที่สุดหวังเป่าเล่อจึงได้ง้างสายธนูออก!

แม้จะไม่ใช่พระจันทร์เต็มดวง แต่ก็ง้างออกได้ประมาณเจ็ดในสิบส่วน ส่วนอัญมณีที่มีลักษณะคล้ายดารานิรันดร์ที่ฝังอยู่บนคันธนูนั้นก็จรัสแสงอย่างรวดเร็วเช่นกัน หนึ่งเม็ดในนั้น…สว่างไสวขึ้นทันตา!

แม้ว่าจะไม่ได้สว่างไสวไปเสียทั้งหมด แต่มันก็ยังเปล่งแสงอ่อนๆ ทำให้รอบตัวหวังเป่าเล่อสาดซัดเปลวเพลิงแห่งดารานิรันดร์ออกมา ต้นกำเนิดของเปลวเพลิงนี้ก็คือคันธนูนี้!

เป็นอย่างที่แม่นางน้อยได้พูดไว้ คันธนูคันนี้…เป็นคันธนูจักรพิภพจำลองคันนั้นที่หวังเป่าเล่อพบในแหวนคลังเวทที่ใส่ขวดจิ๋วลึกลับและกระดาษรูปมนุษย์ไว้ด้วยกัน!

แม้จะเป็นของจำลอง แต่อานุภาพของมันก็ยังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้ ต่อให้เป็นหวังเป่าเล่อในตอนนี้ ก็อาจประสบความสำเร็จได้เพียงครั้งเดียว คือตอนที่อยู่ในสถานะทรงพลังที่สุดภายใต้การรวมกับร่างต้นแบบ

ร่างอวตารในตอนนี้ทำได้เพียงเจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น…แรงกดดันที่แผ่กระจายออกมา ก็ทำให้ปราณกระบี่ที่ลอยเข้ามาใกล้หยุดชะงักลงตรงหน้าหวังเป่าเล่ออย่างฉับพลัน ราวกับกำลังลังเล

“ข้าแค่กำจัดพลังที่กระจัดกระจายออกมารอบนอกวงแหวนปราณเท่านั้น เพื่อไม่ให้วงแหวนปราณเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา ไม่ทำอะไรอย่างอื่นหรอก!”

หวังเป่าเล่อจ้องมองไปที่สายธารสีรุ้งที่กลายเป็นปราณกระบี่ แต่ยังไม่ปล่อยสายธนู ความดุดันในตาได้สะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจของเขา ไม่กี่อึดใจต่อมา สารธารสีรุ้งพลันหันกลับแล้วพุ่งตรงไปยังกระบี่ศิลา ความกดดันที่แผ่ออกมาจากกระบี่ก็หายไปเช่นกัน

แม้ปราณกระบี่จะหายไป ทว่าหวังเป่าเล่อยังไม่อาจมองข้ามได้ เขายังคงถือธนูแล้วเดินไปยังรูปปั้นหินทีละก้าว เมื่อเขาเข้าใกล้ รูปปั้นหินยังคงไม่ขยับเขยื้อน จนหวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในวิหาร รูปปั้นหินก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่มัวรีรอ ก่อนจะยกเท้าขวาไปทางวงแหวนปราณแล้วกระทืบเท้าลงอย่างแรง ทำให้เกิดเสียงอึกทึกดังกึกก้องในระหว่างพลังบ่มเพาะทำงาน วงแหวนปราณของวิหารพังทลายลงทันใด เส้นใยเหล่านั้นที่หลุดออกมาทั้งหมดก็ขาดไปในเวลาเดียวกัน หลังจากตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังเป่าเล่อจึงค่อยออกจากบริเวณวิหาร เขาไม่ได้ปล่อยคันธนูจักรพิภพไปจนกระทั่งถอยห่างออกไปหลายร้อยจั้ง

เขาลังเลที่จะใช้คันธนูนี้อยู่ไม่น้อย เขายิงมันออกมาแค่ครั้งเดียวก็ทำให้ตัวเองอ่อนแอลงมาก ดังนั้นหากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายหรือไม่มีตัวเลือกอื่น เขาก็ไม่เต็มใจที่จะยิงมัน

ตอนนี้เขาก็สามารถแก้ไขปัญหาให้สงบลงได้ แม้จะไม่ได้ทำลายวิหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายภาคหน้า ทว่าผลที่ได้ก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ ดังนั้นก่อนหวังเป่าเล่อจะจากไป เขามองย้อนกลับไปที่วิหารด้วยสายตาอันล้ำลึก แล้วหันหลังหายตัวลาจากไป

เขามาโผล่อีกทีที่นอกจุดค้นพบแห่งสุดท้ายของก้นทะเล จุดค้นพบแห่งนี้เป็นเนินเขาที่มีประตูหิน ขณะมองดูอักขระบนประตูหินซึ่งหมายถึงทะเลมหานคร ดวงตาของหวังเป่าก็ค่อยๆ หรี่ลง

แต่ทว่ามันต่างไปจากที่เขาคิด หรือประจันหน้ากับรูปปั้นหินและกระบี่ศิลานอกวิหารก่อนหน้านี้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นบนภูเขาของทะเลมหานครแห่งนี้ด้วย เมื่อหวังเป่าเล่อปรากฎกายอยู่ที่หน้าเนินเขา ประตูหินบนนั้นพลันเปิดออกด้วยตัวเอง!

ร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากในโถงประตูหน้าที่เปิดออก!

ครั้นหวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่เดินออกมาไม่ใช่มนุษย์จริงๆ เขาดูเหมือนชายชราในชุดคลุมสีเขียว แต่แท้ที่จริงเขาเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งที่ทำจากไม้

หุ่นเชิดนั้นถือของสองชิ้นไว้ในมือ อันหนึ่งเป็นแผ่นหยกโบราณธรรมดา ส่วนอีกอันเป็นถาดวงแหวนปราณ ด้วยความระแวงระวังของหวังเป่าเล่อ หุ่นเชิดจึงวางของสิ่งชิ้นนั้นไว้ตรงหน้าของเขา แล้วหันกลับไปในโถงประตูหน้าพร้อมสะบัดมือ โถงประตูหน้าที่อยู่บนเนินเขาโปร่งใสทันใด ทำให้หวังเป่าเล่อมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น

น่าประหลาดใจที่เนินเขานี้เป็นวิหารในถ้ำ ด้านในแทบจะไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากโต๊ะเก้าอี้หินเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือแท่นสังเวยที่ด้านบนว่างเปล่า เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งของแท่นสังเวยแล้วนั้น ก็เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างถูกตั้งอยู่บนแท่นสังเวย

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากไตร่ตรองและมองไปยังถาดวงแหวนปราณที่หุ่นเชิดส่งมาให้ คำตอบได้กระจ่างชัดในตัวมันเอง เพราะถาดวงแหวนปราณนี้ควรตั้งอยู่บนแท่นสังเวย อีกทั้งอีกฝ่ายได้บอกเขาด้วยตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่าในวิหารถ้ำไม่มีวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแล้ว

เรื่องนี้ช่างน่าพิศวงเสียจริง หลังจากหุ่นเชิดทำให้โถงประตูหน้าโปร่งใส มันจึงคารวะให้แก่หวังเป่าเล่อ ก่อนเดินเข้าไปในโถงประตูหน้า ต่อมาเนินเขานั้นก็ค่อยๆ กลับมาทึบอีกครั้ง

หลังจากมองดูทั้งหมดนี้ หวังเป่าเล่อจึงนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะยกมือขวาขึ้นสะบัด แผ่นหยกและถาดวงแหวนปราณก็มาอยู่ในมือ เขากวาดดูถาดวงแหวนปราณก่อน ทันใดนั้นรัศมีหลายร้อยจุดก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขา รัศมีเหล่านี้ครอบคลุมไปทั่วโลก และทุกแห่งเป็นวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทั้งสิ้น

เพียงแต่ว่าตอนนี้ รัศมีส่วนใหญ่ล้วนส่องแสงริบหรี่ราวกับจะสูญเสียประสิทธิภาพไป อีกทั้งถาดวงแหวนปราณก็ดูเหมือนจะเป็นแกนหลักในการควบคุมวงแหวนปราณเหล่านี้ด้วย

“มอบของพวกนี้ให้กับข้าเหรอ?” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วพลางมองดูแผ่นหยกอีกครั้ง ขณะที่ดวงจิตของเขากวาดมองเพื่อตรวจสอบ บันทึกประวัติศาสตร์ท่อนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในใจของเขา!

……………………………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท