ทันใดนั้นฝ่ามือของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา แสงนั้นค่อยๆ รวมตัวกันและกลายเป็นร่มพับสีดำคันหนึ่ง หมอกสีดำที่หน้าตาเหมือนกับใยแมงมุมอันเปราะบางนั้นกลับถูกร่มสีดำคันนั้นป้องกันเอาไว้ได้อย่างไร้ความปรานี
สัตว์อสูรครึ่งปีศาจหน้าเปลี่ยนสี พร้อมกันนั้นร่างของมันที่ลอยอยู่กลางอากาศก็สั่นอย่างรุนแรง!
หมอกสีดำที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของมัน มาตอนนี้กลับถูกแยกออกจากกัน
ราวกับว่าหมอกสีดำแห่งการทำลายล้างนั้นหั่นร่างของมันเป็นชิ้นๆ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับมันช่างรุนแรงนัก!
“บัดซบ!”
สัตว์อสูรครึ่งปีศาจสบถพลางจ้องมองร่มสีดำที่มีแสงประหลาดเปล่งออกมาอย่างดุร้าย!
ใครหน้าไหนมันบังอาจมาหาเรื่องข้า สัตว์อสูรครึ่งปีศาจยื่นมือออกไปด้วยความเดือดดาล หมายจะใช้เล็บที่แหลมคมดั่งใบมีดของตัวเองทำลายดอกบัวทองคำนั้น
แต่เมื่อปลายเล็บของสัตว์อสูรครึ่งปีศาจตัวนั้นสัมผัสเข้ากับร่มสีดำ มันก็ต้องชักมือกลับด้วยความตกใจทันที ดวงตาของมันเบิกกว้าง และมองดูเล็บที่มันภาคภูมิใจมาโดยตลอดถูกคนที่ทำตัวเป็นเตียงใช้มีดสั้นตัดออก!
เป็นไปไม่ได้! อาวุธของมนุษย์ไม่มีทางทำร้ายมันได้!
“เจ้ารู้ถึงผลลัพธ์ของการมารบกวนพวกข้าตอนดึกดื่นเช่นนี้หรือเปล่า” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยตวัดมองไปทางอสูรตัวนั้นอย่างเยือกเย็น พร้อมทั้งส่งสายตาเฉยชากลับไปให้มัน ที่ด้านหลังของนางมีหยวนหมิง ปีศาจรับใช้ผู้น่าเกรงขามปรากฏอยู่ มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เส้นผมสีเงินของเขาปลิวสยายอยู่เบื้องหลัง
สัตว์อสูรครึ่งปีศาจหน้าถอดสี!
มันแตกตื่น และคิดหาทางหนี!
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นความตั้งใจของมัน นางก็หัวเราะออกมา นางกางร่มและขยับนิ้วไปมาเล็กน้อย ทั้งที่มือข้างหนึ่งของนางยังอุ้มองค์ชายเจ็ดตัวน้อยอยู่ สายลมร้องหวีดหวิว พร้อมกันนั้นใบไม้แห้งจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปลิวเข้าปกคลุมร่างของสัตว์อสูรครึ่งปีศาจตัวนั้นเอาไว้
“อ๊าก!” สัตว์อสูรครึ่งปีศาจแผดเสียง ทันใดนั้นร่างกายน่าเกลียดน่ากลัวของมันก็กลับกลายไปเป็นกลุ่มควันสีเขียว แล้วหยวนหมิงก็ดูดกลืนสารอาหารทั้งหมดนั้นลงท้องไป
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเจ้าของดวงตาราวกับเสือถึงกับตาโต เดิมที เขาคิดว่าจะมีโอกาสช่วยนาง แต่ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้สามจะไม่จำเป็นต้องใช้เขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ในอดีตนั้น ทุกครั้งที่พวกเขาบังเอิญพบกับสัตว์อสูรในระหว่างการสำรวจ พี่สามมักจะปล่อยให้เขาวิ่งเข้าหาสัตว์อสูร ขณะที่ตัวเองเดินตามหลังเขามาอย่างสบายใจเฉิบ
นอกจากนางจะทำอาหารอร่อยแล้ว ข้าเดิมพันเลยว่าพี่สามจะต้องเลือกพี่สะใภ้สามมาเพราะเห็นว่านางสู้เก่งด้วยแน่ๆ
ใช่แล้ว พี่สามรสนิยมดีจริงๆ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่ แต่นางก็เลิกคิ้วขึ้นเมื่อดวงตาวาววับนั้นจ้องมองนางโดยไม่คิดจะหลบตา ”อะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรขอรับ” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเชิดคางขึ้น แล้วจ้องนางต่อ
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีอะไร!
“เจ้าอยากกินเนื้อหรือ” นี่เป็นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดออก
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยอธิบายกับเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยท่าทางสง่างามว่า ”ข้าเพียงแค่สงสัยว่าพี่สามเลือกท่านมาเพื่อช่วยเขาต่อสู้กับสัตว์อสูรหรือเปล่าขอรับ ส่วนเรื่องเนื้อนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ข้าคิดอยู่ในใจตลอดเวลาอยู่แล้ว”
ต่อสู้กับสัตว์อสูรหรือ… นี่พวกเราไม่ได้อยู่ในเขตที่มีอสูรโผล่มาเป็นปกติเสียหน่อย
คิดอยู่ในใจตลอดเวลาหรือ เอาล่ะ นางคิดผิดเอง นางไม่ควรใช้ตรรกะของคนธรรมดามาเชื่อมโยงกับคนเห็นแก่กินเลย
อย่างไรก็ตาม…
เจ้าตัวเมื่อครู่นี้มันอะไรกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยอุ้มเด็กชายเอาไว้พร้อมกับทุ่มสมาธิไปที่การมองของตัวเอง นางได้ยินเสียงของหยวนหมิงดังขึ้นในหูว่า ”มันคือสัตว์อสูรลวงตา เป็นสัตว์อสูรชนิดหนึ่ง แต่แปลกชะมัด การทดสอบที่หน่วยพิฆาตวิญญาณจัดขึ้นมันยากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน พวกเขาถึงกับปล่อยสัตว์อสูรลวงตาใส่เราทันทีที่เรามาถึงเลยหรือ พวกเขาไม่กลัวหรือว่าพวกเจ้าจะถูกสัตว์อสูรลวงตาตัวนั้นจับกลืนลงท้องเอาได้ บางครั้งพวกมันก็จะสร้างภาพลวงตาทุกรูปแบบขึ้นมาเพื่อล่อลวงผู้คน การจะเอาตัวรอดจากมันย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว โชคดีที่พวกเจ้าพบตัวมันได้อย่างทันท่วงที มิฉะนั้นหากโดนมันดึงเข้าไปในภาพลวงตาละก็ พวกเจ้าคงได้จบเห่แน่ แต่สัตว์อสูรลวงตานี้จะไม่ออกล่าตัวเดียว และพวกมันน่าจะมีอย่างน้อยสองตัว ตัวหนึ่งคอยสร้างภาพลวงตา ส่วนอีกตัวคอยกินเหยื่อ ข้าคิดว่าน่าจะเหลือสัตว์อสูรอยู่อีกตัว”
“หนีไปแล้วหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสำรวจไปรอบๆ
หยวนหมิงพยักหน้า ”เป็นไปได้มากทีเดียว สัตว์อสูรลวงตาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เจ้าเล่ห์ที่สุดในบรรดาสัตว์อสูร แม่นาง ดูท่าว่าสองสามวันนี้เจ้าคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแล้วล่ะ เพราะสัตว์อสูรลวงตาเป็นสัตว์อสูรที่เจ้าคิดเจ้าแค้นที่สุด เจ้าสังหารหนึ่งในพวกมันไป ดังนั้นพวกมันย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่”
“เช่นนั้นข้าก็จะรอให้พวกมันมา” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ทั่วทั้งร่างของนางแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายออกมา
หยวนหมิงยิ้มเยาะ ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
“คงจะดีกว่า หากเจ้านำเรื่องนี้ไปถามคนที่ดูแลหน่วยพิฆาตวิญญาณ” น้ำเสียงเย็นชาดังกังวานขึ้นและทำลายความวุ่นวายนั้นลง
ความยินดีวาบขึ้นในดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย เสียงของนางแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชา ”เจ้าตื่นแล้วหรือ”
“ใช่” เจ้าแมวขาวกระโดดออกมาจากความมืด ดวงตาสีอำพันของมันเผยให้เห็นรัศมีของผู้เป็นราชา หลังจากเอาตัวรอดจากการเผชิญเคราะห์สวรรค์มาได้สำเร็จ ขนของมันก็เรียบลื่นเป็นประกายขึ้นกว่าเมื่อคราวก่อนนัก ราวกับว่าขนทุกเส้นนั้นถูกย้อมด้วยหิมะอันงดงาม ดูสูงส่งยิ่งนัก
ทันทีที่เห็นเจ้าแมวขาวกระโดดออกมา องค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็รู้ว่ามันไม่ใช่แมวธรรมดา มันน่าจะเป็นสัตว์ประเภทเดียวกันกับเสี่ยวเย่ที่เขาเก็บมา
เขายื่นมือออกไปโดยไม่คิดจะไว้หน้า แล้วดึงหูของเจ้าแมวขาวอย่างแรง พร้อมกับมองสำรวจมันทางซ้ายทีขวาที
เจ้าแมวขาวหน้าเปลี่ยนสี เจ้าเด็กดื้อนี่โผล่มาจากไหนกัน!
หยวนหมิงหัวเราะอย่างไร้ความปรานี เพราะอย่างนี้เจ้าถึงไม่ควรที่จะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างปุบปับอย่างไรเล่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”ทำไมเจ้าถึงอยากให้ข้านำเรื่องนี้ไปถามกับคนที่รับผิดชอบหน่วยพิฆาตวิญญาณล่ะ”
“ที่สำนักไม่ควรมีสิ่งมีชีวิตอย่างสัตว์อสูรลวงตาอยู่ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์นำมันออกมาจากป่าวิญญาณได้ แม้กระทั่งหน่วยพิฆาตวิญญาณเองก็ยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยหลายอย่างด้วย เพราะสัตว์อสูรลวงตาแตกต่างจากสัตว์อสูรทั่วไป พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง และสามารถก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมได้เลยทีเดียว ไม่มีใครอยากพาพวกมันออกมาจากป่าวิญญาณหรอก นอกเสียจากว่าคนคนนั้นต้องการจะก่อความวุ่นวาย!”
ในฐานะทายาทของเผ่าไป๋เจ๋อ องค์ชายเผ่าแมวเช่นเขาย่อมรู้เรื่องสัตว์ต่างๆ ดีกว่าใคร
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว ”เจ้ากำลังจะบอกว่านี่ไม่ใช่การทดสอบของหน่วยพิฆาตวิญญาณหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว” เสียงของเสี่ยวไป๋ชัดเจนและเย็นชา ”ข้าคิดว่าน่าจะมีเรื่องผิดปกติบางประการเกิดขึ้นภายในนั้น”
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย ”ข้าเข้าใจแล้ว”
ปัง!
เสียงนั้นดังมาจากอีกทางหนึ่ง
เสี่ยวไป๋ละสายตาจากนาง ”เสียงนั้นน่าจะมาจากการทดสอบของคนอื่น ไปถามพวกเขาซะว่าพวกเขาได้พบกับสัตว์อสูรลวงตาเหมือนกับเจ้าหรือเปล่า”
“ได้” ระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอุ้มเด็กชายขึ้นสูงกว่าเดิม นางก็เห็นว่ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา พวกเขาดูเหมือนเพิ่งจะรับมือกับสิ่งที่ตัวเองเจอได้อย่างหวุดหวิด บางคนก็ดูหน้าตาซีดเซียว ในขณะที่บางคนก็ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเรื่องนั้น
ยกตัวอย่างเช่น หานอวี้
และอีกตัวอย่างหนึ่งคืออวิ๋นปี้ลั่ว
เมื่อมีทั้งสองคนอยู่ในกลุ่ม พลังในการต่อสู้ของพวกเขาจึงไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ทั้งคนที่ทำได้ดีและทำได้ไม่ดีในการทดสอบต่างก็ดูเหนื่อยล้าด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเดินเข้ามาอย่างไว้ท่าเท่านั้น บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขารู้ถึงความสามารถของนางแล้ว เลยไม่ได้เป็นกังวลกับเรื่องนั้นแต่อย่างใด
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น เมื่อหานอวี้เดินมาถึง นางก็แสร้งทำเป็นจับแขนเขาโดยบังเอิญ
หานอวี้มองนาง ยังคงดูอวดดีเหมือนเคย ”อะไรหรือ ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ควรใกล้ชิดสนิทสนมกันไม่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ก็ตาม เจ้าไม่รู้หรือ”