Side Story < A Love Marriage > 1-7
“เฮ้อ”
อีอูยอนถอนหายใจ และลูบแหวนด้วยความเคยชิน
‘เอ่อ คุณอูยอน’
เขานึกถึงน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกอย่างระมัดระวัง
‘มีอะไรครับ’
‘ช่วยบอกไซซ์แหวนของคุณหน่อยได้ไหมครับ’
‘ดูดไปขนาดนั้นยังเดาไซซ์แหวนไม่ได้อีกเหรอครับ พอเลิกเป็นสตอล์กเกอร์แล้ว คุณก็เลิกสนใจในตัวผมไปเลยเหรอ’
อินซอบหน้าแดงเพราะคำพูดแหย่เล่นนั้น
‘ขะ ขอโทษครับ ไม่ใช่ว่าไม่สนใจนะครับ…แต่ผมไม่รู้ไซซ์ที่แน่นอน…’
พอเห็นอินซอบที่พูดขอโทษราวกับแก้ตัว ช่วงล่างของอีอูยอนก็ตึงแน่น
‘จะรู้ไซซ์ที่ถูกต้องไปทำไมเหรอครับ รู้แล้วจะเอาไปทำอะไร’
‘เอ่อ แหวนน่ะครับ’
‘แหวนอะไรเหรอ’
‘ผมจะซื้อให้อีกรอบครับ คราวนี้ผมจะซื้อแหวนคุณภาพดีในไซซ์ที่ถูกต้องให้ครับ’
‘อืม ไม่เอาอะ’
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของอินซอบก็นิ่งไปด้วยความอับอาย
‘เอ่อ ถ้า…ถ้าทำให้อารมณ์ไม่ดี ผมขะ…’
เขาจูบปากของอินซอบราวกับกัด คำพูดขอโทษที่พูดพึมพำออกมาถูกบดขยี้อยู่ในปาก เขารู้สึกดีมากๆ และเอ่ยตอบหลังจากโลมเลียอยู่แบบนั้นสักพัก
‘ผมชอบแหวนวงนี้ครับ คุณไม่จำเป็นต้องซื้อวงที่เหมาะสมให้อีกครั้งหรอก’
‘แต่…’
‘อ้าปากหน่อยครับ’
เขารั้งอินซอบที่รู้สึกผิดจนทำอะไรไม่ถูกไว้และจูบอีกสักพัก หลังจากนั้นถ้ามีโอกาส อินซอบก็จะลองหาขนาดนิ้วของอีอูยอน บางครั้งอีกฝ่ายก็แอบตื่นขึ้นมากลางดึกและใช้เส้นด้ายวัดขนาดเส้นรอบวงของนิ้วอีอูยอน ก่อนจะหงายหลังลงไปเพราะอีอูยอนลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน และบางครั้งก็ทำเป็นแอบลูบนิ้วของอีอูยอนที่อ่านหนังสืออยู่เพื่อเดาขนาดนิ้ว อีกฝ่ายทำถึงขนาดเอานิ้วของตัวเองมาเทียบข้างๆ เพราะกะขนาดด้วยสายตามาสักพักแล้วก็ยังกะไม่ได้สักที
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้น เขาจะถามว่า “อยากรู้ไซซ์ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” และเอานิ้วของตัวเองสอดใส่เข้าไปในช่องทางของทั้งหมดของอินซอบ สุดท้ายอินซอบก็ยังคงให้แหวนวงใหม่เป็นของขวัญไม่สำเร็จ
อีอูยอนลูบแหวนที่ได้รับที่ฮาวาย แหวนวงนี้เป็นแหวนราคาถูกที่ขายในร้านขายของที่ระลึก ด้วยตัวแหวนที่หยาบและดีไซน์ที่เชยจึงไม่มีทางที่เขาจะชอบเลย ถ้าอินซอบไม่ได้ให้ มันจะเป็นแหวนที่เขาคงไม่เอามาสวมตลอดชีวิต
ยื่นของแบบนี้ให้แล้วบอกว่าเป็นแหวนขอแต่งงานงั้นเหรอ
เขาหัวเราะออกมา แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ตัวเขากลับชอบแหวนวงนี้จากใจจริงๆ เขาจะนึกถึงอินซอบขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อมองแหวน ภาพของอินซอบที่เข้าไปในร้านขายของที่ระลึกโดยที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นและรีบเลือกแหวนในสภาพเหงื่อตก ภาพที่อีกฝ่ายเอาแหวนใส่กระเป๋าไว้ในวันนั้นและลอบสังเกตตนตลอดการกินข้าว และภาพตอนที่อีกฝ่ายสวมแหวนให้ พอเห็นว่าแหวนไม่ถูกไซซ์ก็ลนลาน
คุณยื่นของแบบนี้มาให้ด้วยความรู้สึกแบบไหนนะ
เขาไม่เข้าใจการมองสิ่งของเป็นของล้ำค่า สิ่งที่เรียกว่าสิ่งของจะมีปัจจัยที่สามารถทำให้เป็นแบบนั้นได้ยังไง
“…”
อีอูยอนใช้ปลายนิ้วลูบแหวนที่มีตำหนิเล็กๆ ซึ่งเขาไม่เคยถอดเลยตั้งแต่ได้มา
เสียงเรียกเข้าดังขึ้น เป็นอินซอบนั่นเอง อีอูยอนดับบุหรี่และรับโทรศัพท์
“อืม คุณอินซอบ”
[เอ่อ สวัสดีครับ]
เสียงของอินซอบที่ได้ยินจากปลายสายทำให้เขารู้สึกว่าความปวดที่บีบรัดศีรษะอยู่หายไปเล็กน้อย
“กำลังทำอะไรอยู่ครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามอย่างหน้าด้านราวกับเป็นคนโทรศัพท์ไปเสียเอง
[กำลังจะนอนครับ แต่เพราะคิดถึงคุณอีอูยอนก็เลยโทรมา]
“งั้นเหรอครับ ผมเองก็กำลังคิดถึงคุณอินซอบเหมือนกัน”
เยี่ยมไปเลยนะ อินซอบหัวเราะเบาๆ ให้กับการพูดเล่นของอีอูยอน ความเจ็บปวดที่บีบรัดตรงหัวใจกระจายตัวออกไปราวกับเป็นรอยร้าวเล็กๆ
[คุณอูยอนกำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ]
“เพิ่งอาบน้ำเสร็จครับ ตอนนี้นอนอยู่”
เขาไม่ได้โกหกทั้งหมด เขาอาบน้ำและกำลังจะนอน แต่พอตั้งสติได้ เขาก็ขับรถมาถึงหน้าบ้านของอินซอบแล้ว
“วันนี้คุณอินซอบทำอะไรบ้างครับ”
[ผมไปบ้านคุณยายกับพวกน้องๆ มาครับ เพราะยังเหลือของที่ต้องจัดการอยู่]
“ไม่ได้ร้องไห้อีกใช่ไหมครับ”
อินซอบทำได้เพียงอ้ำอึ้ง และไม่สามารถตอบคำถามที่โยนมาราวกับล้อเล่นได้
“ผมบอกแล้วไงว่าห้ามร้องไห้ในที่ที่ไม่มีผมอยู่ด้วย ไม่ได้ฟังที่พูดจริงๆ สินะ”
[ขอโทษครับ…ผมร้องไห้นิดหน่อยครับ]
เดิมทีอีกฝ่ายเป็นคนเจ้าน้ำตาและมีจิตใจที่อบอุ่น อินซอบจึงต้องการเวลาอีกนิดเพื่อจัดการความรู้สึก บางทีแอรอนคงจะพูดถูก อินซอบต้องการเวลาที่จะใช้กับครอบครัวสักระยะหนึ่ง
ตัวเขาไม่สามารถช่วยโอบกอดความเศร้าและความเหงาของอินซอบได้ และสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถเลียนแบบให้เหมือนได้
“ดีใจไหมครับที่ได้เจอครอบครัว”
อินซอบตอบคำถามของอีอูยอนอย่างตรงไปตรงมาว่า “ครับ”
“กลับมาอยู่อเมริกาอีกครั้งไหมครับ”
เมื่อได้ยินคำถามที่อีอูยอนเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน อินซอบก็ถามกลับว่า “ครับ?”
“ผมคิดว่าอยู่ที่นี่ก็ไม่แย่อะไร ถ้าคุณอินซอบชอบ”
[ไม่ครับ ผมยังเรียนไม่จบเทอมเลยนะครับ แล้วคุณอีอูยอนก็มีงานที่เกาหลีด้วย…]
อินซอบเอ่ยตอบอย่างตกใจ
“หลังจากนี้น่ะ ตอนที่คุณอินซอบเรียนจบแล้ว และผมก็ขายไม่ได้เพราะเป็นนักแสดงที่ไม่มีชื่อเสียง”
[ทำไมคุณอูยอนถึงจะเป็นนักแสดงที่ไม่มีชื่อเสียงล่ะครับ ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกครับ]
อินซอบพูดอย่างเด็ดขาดมาก แต่แน่นอนว่าน่าจะกำลังพูดด้วยใบหน้าที่ไม่ได้มีความเด็ดขาดเลยแม้แต่นิดเดียว
สวยฉิบหาย
อีอูยอนกลั้นยิ้มพลางถามกลับไปว่า “งั้นเหรอครับ”
[ครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนั้นเลยนะครับ]
“แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีบทเข้ามานะครับ ผมยังคิดเลยว่าจะต้องลาออกเร็วๆ นี้หรือเปล่า”
อีอูยอนพูดในสิ่งที่หากกรรมการผู้จัดการคิมได้ยินคงต้องจับต้นคอและทรุดลงไปเลยอย่างต่อเนื่อง
[ไม่หรอกครับ อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ ผมเคยได้ยินว่าพวกงานต่างๆ ล้วนแต่ได้มาจากโชคชะตาทั้งนั้น รออีกหน่อยก็ได้ครับ และไม่ว่าใครจะพูดยังไง คุณอีอูยอนก็เป็นนักแสดงที่ดีที่สุดอยู่ดีครับ สำหรับผม…]
ในที่สุดอีอูยอนก็กลั้นไว้ไม่ไหวและหัวเราะออกมา อินซอบร้องเอ๊ะ และแสดงท่าทีมึนงงออกมาจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์
[…อย่าแกล้งสิครับ]
เขาได้ยินเสียงที่พึมพำอย่างบึ้งตึง
“งั้นใครใช้ให้น่ารักขนาดนั้นล่ะ”
อีอูยอนเอนตัวพิงเบาะคนขับและโต้ตอบด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
[นิสัยไม่ดีเลยครับ ทำไมถึงแกล้งผมอยู่เรื่อยเลย]
“คบกับคนนิสัยไม่ดีก็ต้องเตรียมตัวไว้ประมาณนี้สิครับ ต่อไปจะทำยังไงล่ะ ตอนนี้คุณต้องอยู่กับคนนิสัยไม่ดีไปทั้งชีวิตแล้วนะ”
[ผมจะเตรียมพร้อมครับ เพราะฉะนั้น…ผมจะทำให้ดีครับ]
ความจริงใจที่ตอบกลับคำพูดที่เอ่ยออกไปอย่างล้อเล่นทำให้อีอูยอนหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ค่อยๆ ใช้มือที่มีขนาดใหญ่โตลูบหน้า
คนที่จะต้องทำให้ดีไม่ใช่อินซอบ แต่ทุกครั้งอินซอบก็…
“คุณอินซอบ”
[คุณอูยอน…]
คนทั้งคู่เอ่ยเรียกกันและกันพร้อมกัน อีอูยอนจึงบอกว่า “พูดก่อนเลยครับ” และล่าถอยไป
[คือว่า…]
รถมอเตอร์ไซต์วิ่งเสียงดังผ่านรถที่อีอูยอนจอดไว้ก่อนที่อินซอบจะทันได้พูดจบ
[…]
“…”
เกิดความเงียบที่ชวนให้อึดอัดใจขึ้น ไม่มีทางที่อินซอบจะไม่ได้ยินเสียงนั้นในระยะเท่านี้
ฉิบ ทำตัวแปลกๆ หลายครั้งแล้วนะ
อีอูยอนพ่นคำด่าอยู่ในใจและนั่งตัวตรง
[อยู่ที่ไหนครับ]
“ถนนหน้าบ้านครับ”
หน้าต่างห้องของอินซอบถูกเปิดออก อีอูยอนลงจากรถและเดินไปใต้หน้าต่าง ส่วนอินซอบก็ยื่นหัวกลมๆ ออกมานอกหน้าต่าง นั่นเป็นใบหน้าที่เขาได้เห็นในรอบสามวัน
“ทำไมไม่บอกล่ะครับ”
อินซอบวางโทรศัพท์ลงและเอ่ยถาม อีอูยอนก็เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าเหมือนกัน
“ผมผ่านมาหลังจากเสร็จธุระน่ะครับ แต่เพราะมันดึกมากแล้ว ผมเลยจงใจที่จะไม่บอก”
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกสิครับ”
ตอนที่เห็นอินซอบอยู่ในชุดนอน ท้องน้อยของเขาก็ตึงแน่น ใจจริงเขาอยากจะปีนต้นไม้ขึ้นไปถอดชุดนอนของอินซอบออกและมีอะไรกันทั้งแบบนี้ เขาจะจับอินซอบนอนคว่ำหน้าลงกับโต๊ะที่ใช้เขียนจดหมายพร้อมกับนึกถึงเขาไปด้วยจนถึงเช้า ยิ่งแอรอนได้ยินเสียงแปลกๆ และเปิดประตูห้องเข้ามาดูก็ยิ่งดี
“แค่เห็นหน้าแบบนี้ผมก็มีความสุขแล้วครับ”
“ผะ ผมก็มีความสุขเหมือนกันครับ”
อินซอบพยักหน้าอย่างตั้งใจพลางเอ่ยตอบ อีอูยอนเหลือบมองต้นมะเดื่อ มันสูงพอที่จะสามารถปีนขึ้นไปได้ด้วยการก้าวเท้าแค่ไม่กี่ครั้ง ทันใดนั้นตัวที่ผอมแห้งของอินซอบในชุดนอนก็โผล่เข้ามาในสายตา ดูเหมือนเขาจะผอมลงมากกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน
“นอนได้แล้วครับคุณอินซอบ”
“ครับ? จะไปแล้วเหรอครับ”
เพราะคำพูดที่เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน อินซอบจึงเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“ดึกแล้วครับ พรุ่งนี้ผมมีธุระแต่เช้า”
เขาไม่ได้มีธุระ บางทีถ้ากลับไปตอนนี้ เขาคงได้ช่วยตัวเองพร้อมกับดูรูปอินซอบไปด้วยทั้งคืนแน่ๆ
“เอ่อ…”
อินซอบทำหน้าหงอย
แม่ง แค่เขาทำหน้าโง่เง่าแบบนั้น ไอ้นั่นของเราก็เหมือนจะตั้งขึ้นมาแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะหลงอีกฝ่ายขนาดไหน
“ฝันดีครับ”
พออีอูยอนเอ่ยลา อินซอบก็บอกว่า “แป๊บหนึ่งครับ” และหายไปด้านใน ผ่านไปไม่นานเขาก็โยนรองเท้ากีฬาข้างหนึ่งออกมานอกหน้าต่าง และอีกข้างก็ตามมาหลังจากนั้น
“จะทำอะไรครับ”
อีอูยอนเงยหน้ามองด้านบนพลางเอ่ยถาม อินซอบเอานิ้วมาแตะที่ปากพร้อมกับส่งเสียงชู่ว์ และทำเป็นสั่งให้เขาเงียบ ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งยังไม่ปิดไฟ
“จะกระโดดลงมาเหรอ?”
“ไม่ได้จะกระโดดครับ”
อินซอบยื่นตัวออกมานอกหน้าต่างและยื่นบนราว
“ออกมาทางประตูหน้าบ้าน…”
อินซอบโยนตัวใส่กิ่งไม้ที่แข็งแรงก่อนที่เขาจะทันได้พูดว่า “ไม่ดีกว่าเหรอ” การเคลื่อนไหวนั้นดูชำนาญ อีอูยอนหรี่ตาและจ้องมองคนรักที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้
“ชำนาญเหมือนทำมาแล้วหลายครั้งเลยนะครับ”
“เพราะบางทีผมออกมาเจอเจนนี่ตอนกลางคืนอยู่บ้างน่ะครับ”
แม้จะตายไปแล้ว แต่พูดเรื่องที่แอบออกไปเที่ยวเล่นกับผู้หญิงข้างนอกตอนกลางคืนอย่างหน้าตาเฉยเลยเหรอ เขาไม่สามารถพูดได้เลยว่ามันหยาบคายขนาดไหน
“ผมรับเองครับ ลงมาเลย”
อีอูยอนกางมือทั้งสองข้างออก
“ไม่เป็นไรครับ ผมลงได้ครับ ช่วยเอารองเท้า…อ๊าก”
อินซอบชี้รองเท้ากีฬา จากนั้นเขาก็เสียการทรงตัวจนตกลงมาข้างล่าง อีอูยอนรับเขาได้อย่างสบายๆ พอเห็นอินซอบตัวแข็งทื่อและกอดคอเขาไว้แน่นเพราะตกใจ อีอูยอนก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ผมน่าจะผ่านที่นี่บ่อยๆ ตอนซ้อมฟุตบอลนะครับ”
“…ครับ?”
อินซอบย้อนถามด้วยใบหน้ามึนงง อีอูยอนจูบหน้าผากอินซอบเบาๆ พลางเอ่ยตอบ
“จะได้ซ้อมรับลูกไปด้วยเลยไง”
ใบหน้าที่ยิ้มอย่างแหย่เล่นราวกับเป็นเด็กหนุ่มทำให้อินซอบหน้าแดงและเบนสายตาหนี
“…ปล่อยเถอะครับ”
อีอูยอนยิ้มพลางปล่อยอินซอบลง
“อยู่นิ่งๆ นะครับ”
อีอูยอนหยิบรองเท้ากีฬาที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมให้ทีละข้าง
“คุณอูยอน
อีอูยอนที่ผูกเชือกรองเท้ากีฬาที่หลุดอยู่ให้ตอบรับว่า “หืม?”
“ผมมีเรื่องจะบอกครับ”
อีอูยอนเงยหน้าขึ้น เขาเห็นริมฝีปากที่เม้นแน่น คล้ายกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่ อีอูยอนไม่ตอบและผูกปมของเชือกรองเท้าให้แน่น
“เสร็จแล้ว”
อีอูยอนค่อยๆ ลุกขึ้น ระดับสายตาที่สูงขึ้นในเวลาสั้นๆ ทำให้อินซอบต้องเงยหน้าขึ้น
“ไปกันเลยไหม”
“ครับ?”
“ก็คุณบอกว่ามีเรื่องจะพูด”
อีอูยอนยื่นมือออกมา อินซอบลังเลก่อนจะจับมือที่ถูกยื่นออกมาตรงหน้าตัวเองไว้ แล้วคนทั้งคู่ก็ขึ้นรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ บ้าน
“คุณอูยอน คือ…”
หลังจากปิดประตูฝั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว อีอูยอนก็โน้มตัวเข้าหาอินซอบ จากนั้นริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบกัน เพราะเป็นจูบที่เริ่มขึ้นโดยที่ไม่ได้หายใจเอาอากาศเข้าไปอย่างเหมาะสม อินซอบจึงหอบและกำชายเสื้อของอีอูยอนไว้
“อ๊ะ…อึก”
อินซอบสะดุ้งทุกครั้งที่ลิ้นขยับราวกับชำเราภายในโพรงปาก แขนที่แข็งแรงอุ้มอินซอบขึ้นมาราวกับจะรัดให้แน่น และกักขังไว้ใต้ร่างของตัวเอง การกระทำนั้นทำให้รู้สึกถึงน้ำหนักอย่างเต็มที่ อินซอบจึงต้องดิ้นรนอ้าปากออก
ลิ้นที่โลมเลียริมฝีปากล่างถูกสอดเข้ามาราวกับบุกรุกและบดขยี้ภายในโพรงปาก ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น ลำตัวที่ร้อนผ่าวของอีอูยอนก็จะแนบลงมาด้วย อารมณ์กำหนัดที่ถูกกดไว้ถูกส่งขึ้นมาตามลำคอของชายหนุ่ม เขากดร่างกายที่ผอมบางของอินซอบกับเบาะรถก่อนจะบดเบียดและลูบไล้ นี่เป็นการกระทำที่ใกล้เคียงกับการร่วมเพศมากกว่าการจูบ