“แฮ่ก…”
หลังจากที่ริมฝีปากถูกถอนออกไปสักระยะอินซอบถึงสามารถลืมตาขึ้นได้ และสายตาที่เกิดอาการตาลายก็ค่อยๆ กลับมามองเห็นได้อย่างชัดเจน เขาสบตากับชายหนุ่มที่ก้มมองตนด้วยความมึนเมาในความเร่าร้อน
“…พอได้เห็นหน้าแบบนี้แล้วผมมีความสุขจัง”
แม้จะเป็นคำพูดที่เหมือนกับเมื่อสักครู่นี้ แต่กลับได้ยินต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง อีอูยอนจูบปากอินซอบเบาๆ อีกครั้ง จากนั้นก็พูดต่อว่า
ผมมีความสุขจริงๆ
“ผมเองก็มีความสุขเหมือนกันครับ”
อินซอบเอ่ยตอบเบาๆ เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย เพราะลมหายใจที่ไม่เพียงพอกับความร้อนที่พุ่งขึ้นมา
อีอูยอนสอดแขนของตัวเองเข้าไปใต้รักแร้ของอินซอบและกอดอีกฝ่ายแน่น จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด นี่เป็นนิสัยของเขา เมื่อเดินเข้ามาในประตูบ้านหลังจากที่ต้องไปถ่ายละครจนไม่ได้อยู่บ้านหลายวัน อีอูยอนจะกอดอินซอบไว้ ซุกจมูกกับซอกคอและสูดลมหายใจเข้าไปเสมอ ราวกับเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ตอนนั้น
อินซอบลูบผมของอีอูยอนอย่างเบาๆ สัมผัสเย็นๆ ของเส้นผมที่เคลื่อนตัวผ่านซอกนิ้วทำให้อินซอบคลี่ยิ้มเงียบๆ
“ตั้งใจจะพูดเรื่องที่สำคัญขนาดไหนเหรอครับถึงได้ปีนหน้าต่างออกมาด้วยชุดนอน”
“เอ่อ ขอโทษครับ ผมไม่มีเวลาน่ะครับ”
อินซอบหน้าแดง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเสื้อผ้าของตัวเองไม่เรียบร้อยขนาดไหน เพราะอีอูยอนบอกว่าจะไป เขาจึงไม่สามารถคิดที่จะแต่งตัวให้เรียบร้อยได้
“ไหนลองพูดมาสิครับ”
อีอูยอนว่าพลางาผละออกจากอินซอบ อินซอบซึ่งมีผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับเป็นหลักฐานว่ากำลังจะนอนและอยู่ในชุดนอนอ้ำอึ้งและหลุบสายตามองด้านล่าง
“คือ ตอนนั้นแอรอน…”
อีอูยอนงับปลายจมูกของอินซอบ อินซอบตกใจร้องโอ๊ยและกุมจมูกตัวเองไว้
“ถ้าเรื่องที่ปีนหน้าต่างออกมาพูดคือเรื่องนั้น ผมจะกลับแล้วนะ”
“ผมไม่ได้จะพูดเรื่องแอรอนครับ ที่ผมจะพูดก็คือ…”
อินซอบรีบจับชายเสื้อของอีอูยอนไว้ อีอูยอนก้มมองนิ้วของอินซอบ
“ถ้าน้องชายของผมทำตัวเสียมารยาทกับคุณอูยอน ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เขาไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้นหรอกครับ แอรอนถึงจะเด็กกว่า แต่เพราะร่างกายอ่อนแอ เขาจึงพยายามปกป้องผมราวกับเป็นพี่ชาย จนบางครั้งก็ทำตัวก้าวร้าว เพราะฉะนั้น ที่ผมจะพูดก็คือ…”
อีอูยอนปิดปากอินซอบด้วยจูบ มือที่ใหญ่โตของเขาสอดเข้ามาจับผมของอินซอบอย่างรุนแรง
“ผม บอก ว่า อย่า พูด เรื่อง ของ ไอ้ เวร นั่น ไง”
คำพูดของชายหนุ่มเหมือนถูกพูดผ่านริมฝีปากที่กดลงมาอย่างแรงกับลิ้นที่ขยับเข้าออก อินซอบส่ายหน้าและพยายามพูดความตั้งใจของตัวเอง แต่อีอูยอนกลับไม่ยอมให้โอกาส เขาไม่ให้แม้กระทั่งเวลาที่จะหายใจ อีอูยอนผลักอินซอบให้นอนลงไป สุดท้ายพอตัวของอินซอบลงไปนอนแผ่ อีอูยอนจึงถอนริมฝีปากออก
“…แฮ่ก…แฮ่ก”
เขารู้สึกถึงหน้าอกที่ขยับขึ้นลงอย่างถี่รัว อีอูยอนก้มมองริมฝีปากของอินซอบที่แดงก่ำเงียบๆ
แค่การปลุกเร้าเพียงเท่านี้ อินซอบยังทำอะไรไม่ถูก เขาตอบสนองไปตามที่ลูบ ดูด และขยี้ และตอบสนองแม้กระทั่งเสียงที่กระซิบที่หู
ดังนั้นอีอูยอนจึงรู้สึกถึงความสุขที่รุนแรงทุกครั้งที่แตะต้องอินซอบ ความปรารถนาอันโหดร้ายที่อยากจะแตะต้องและทำให้คนที่ใสซื่อบริสุทธิ์แปดเปื้อนตามใจตัวเองก่อตัวขึ้น เขาอยากถอดชุดนอนนั่นออก และมีเซ็กซ์ที่ไร้ความปรานีหน้าบ้านที่มีครอบครัวที่อีกฝ่ายรักนอนหลับอยู่
“…ขอโทษครับ”
อินซอบเอ่ยขอโทษอีอูยอน อีอูยอนพูดอะไรไม่ออก
“คุณคงจะไม่สบายใจกับที่แบบนั้น แต่เป็นเพราะผม…ขอโทษนะครับ”
“…”
บางครั้งเขาก็หายใจไม่ออกกับความมีศีลธรรมของอินซอบ จนบางครั้งเขาก็รู้สึกอ่อนล้าเพราะไม่รู้ว่าจะแสดงปฏิกิริยาออกไปอย่างไรดี
อีอูยอนถอนหายใจและเสยผมขึ้นไป
“…บอกว่าขอโทษเหรอครับ”
“ครับ”
“จงใจทำแบบนั้นเหรอครับ จะให้ผมรู้สึกผิดจนตายเหรอ?”
“เปล่านะครับ ไม่ใช่แบบนั้น เพราะผมรู้สึกผิดจริงๆ…”
นี่ไม่ใช่คำที่พูดออกมาเฉยๆ และไม่ใช่คำที่พูดออกมาเพื่อแสดงถึงความมีมารยาทและเพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์ต่างๆ ด้วย อินซอบรู้สึกผิดจากใจจริง ในดวงตากลมโตคู่นั้นไม่เคยสะท้อนการโกหกแบบไหนออกมาให้เห็นเลย
“…คุณอินซอบขอโทษผมได้ยังไง”
น้ำเสียงของอีอูยอนถูกกดให้ต่ำลง
“ก็ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่าไม่ชอบไปพิธีศพนี่ครับ”
อีอูยอนที่ผูกเนกไทสีดำกับชุดไว้ทุกข์หลังจากได้รับข่าวการเสียชีวิตของผู้กำกับภาพยนตร์ที่รู้จักเคยพูดแบบนั้น
‘เรื่องอื่นผมพอจะทำให้ได้ แต่ผมไม่สบายใจกับพิธีศพจริงๆ ครับ’
เขาไม่ได้รู้สึกชอบ ไม่ชอบ หรือรำคาญ แต่รู้สึกไม่สบายใจ อินซอบกะพริบตาปริบๆ หลังจากได้ยินคำพูดที่อีอูยอนไม่มีวันพูดออกมาง่ายๆ และเอ่ยถามว่า “หมายความว่าอะไรเหรอครับ” บางครั้งเขาก็ต้องถามถึงคำพูดของอีอูยอนซ้ำอีกรอบ เพราะวิธีการคิดของอีกฝ่ายต่างกับคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
‘เพราะมันเหมือนจะมีความจำเป็นที่จะต้องมีความรู้สึกร่วมกันน่ะครับ แต่ผมไม่มีความจำเป็นนั้นเลย ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะทำถึงขั้นไหน’
นี่เป็นการพูดที่สามารถฟังดูน่ากลัวได้
แต่อินซอบกลับรู้สึกสงสารอีอูยอนก่อนเป็นอันดับแรก เขาคงจะมีชีวิตอยู่โดยที่ต้องทนกับความรู้สึกไม่สบายใจที่ไม่มีใครเข้าใจได้เลยมาทั้งชีวิตสินะ
ทุกครั้งที่อีอูยอนพูดเรื่องแบบนั้นกับตน อินซอบจะเป็นห่วงมาก เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายทั้งเด็กและน่าสงสาร
“เพราะผมชอบที่มีคุณอีอูยอนอยู่ข้างๆ ผมน่ะครับ ดังนั้น…ผมก็เลยคิดน้อยไป”
อินซอบรับรู้ถึงช่วงเวลาต่างๆ ที่อีอูยอนทนกับความวุ่นวายและความไม่สบายใจ และเอาใจใส่ตัวเองดี ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ลืมที่จะส่งดอกกุหลาบที่คุณยายเคยบอกว่าชอบมาให้ที่พิธีศพ เรื่องที่ทำอาหารที่เขาชอบให้ในตอนเช้า เรื่องที่อ่านหนังสือที่เขาชอบให้ฟังทุกครั้งที่เป็นไข้ และเรื่องที่มักจะสั่งหนังสือมาเก็บไว้ในห้องหนังสือให้หากเจอหนังสือของนักเขียนที่เขาชอบ ทั้งหมดนี้เป็นความอ่อนโยนเล็กๆ น้อยๆ ที่จะไม่สามารถรู้ได้เลยถ้าไม่เอาใจใส่
เขาไม่ควรคิดว่าเรื่องพวกนั้นเป็นสิ่งที่สมควรจะทำอยู่แล้ว
“เพราะฉะนั้นผม…”
อีอูยอนกอดอินซอบไว้
ขอโทษครับ
การสำนึกผิดที่เหมือนเป็นการสารภาพรักดังอยู่ที่ใบหู อีอูยอนฝังหน้าของตัวเองลงกับไหล่ของอินซอบ อินซอบลูบผมของอีกฝ่ายเงียบๆ บางครั้งเขาก็คิดว่าผู้ชายที่ตัวสูงกว่าตนหนึ่งช่วงหัวทำตัวเหมือนเป็นน้องชาย ท่าทางอ่อนแอที่แสดงให้เขาเห็นแค่คนเดียวนั้นน่ารัก นี่เป็นความลับที่ไม่สามารถบอกใครได้
อีอูยอนอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ผมจะไปขอโทษน้องชายของคุณด้วยตัวเองครับ”
“แอรอนน่ะเหรอครับ”
“มันเป็นความจริงที่ผมแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมออกไป ผมจะไปขอโทษในส่วนนั้นเองครับ”
ตอนนั้นหลังจากอีอูยอนออกไป อินซอบยังยืนอยู่ที่ชานบันไดครู่หนึ่ง
“ปีเตอร์”
แอรอนเรียกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ตอนที่น้องกำลังจะพูดต่อ พ่อกับแม่ก็เปิดประตูเข้ามาพอดี หลังจากนั้นพวกญาติๆ ก็ทยอยกันเข้ามา เย็นวันนั้นเขากินข้าวกับครอบครัวและไว้อาลัยคุณยาย พอทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้วในช่วงดึก อินซอบก็ขึ้นไปบนห้องของตัวเอง ในระหว่างที่คิดว่าจะโทรศัพท์หาอีอูยอนดีไหมอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาสิแอรอน”
“รู้ได้ยังไง”
แอรอนเปิดประตูเข้ามา อินซอบตบเตียงเพื่อบอกให้อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ แอรอนยิ้มและนั่งลงข้างๆ อินซอบ
“ขอโทษที่มารบกวนดึกๆ นะ พี่คงจะเหนื่อย”
“ไม่เหนื่อยหรอก แล้วนายโอเคไหม”
แอรอนขยี้ผมอินซอบแทนคำตอบ อินซอบหัวเราะเบาๆ ให้กับสัมผัสขี้เล่นนั้น การใช้มือหยอกเย้าของน้องที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เขารู้สึกว่ากลับถึงบ้านแล้วจริงๆ
“ผมมีเรื่องจะพูดด้วย”
“อื้อ”
แอรอนที่ยังลังเลเอ่ยปากพูดราวกับตัดสินใจได้แล้ว
“คนคนนั้น อีอูยอนน่ะ”
เขาคิดว่าถึงเวลาแล้วสินะ ปฏิกิริยาที่อีอูยอนแสดงออกมาไม่ใช่ท่าทีของคนปกติ อินซอบพยักหน้าเงียบๆ
“…ถึงจะรู้ว่าพี่จัดการเองได้ แต่ผมไม่อยากให้พี่สนิทกับคนคนนั้นมากไป”
แอรอนพูดความคิดภายในใจของตนออกมาอย่างระมัดระๆวัง
“ถึงจะไม่รู้จักคนคนนั้นดี แต่เขาไม่ปกตินะ การพูดแบบนั้นน่ะ”
“แอรอน”
อินซอบเรียกชื่อน้องชายของตัวเอง
ตอนเด็กๆ แอรอนเป็นนักเรียนตัวอย่างที่มีชื่อเสียง ต่างจากเขาที่มักจะถูกลูกของเพื่อนบ้านแกล้ง หรือล้อเลียนอยู่เสมอ อีกฝ่ายาเรียนดี เล่นกีฬาเก่ง มีมารยาท และเป็นเด็กดี
เรื่องที่ทำให้แอรอนคนนั้นโกรธได้มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับปีเตอร์ แอรอนมักจะปกป้องพี่ชายที่ตัวเล็กและอ่อนแอกว่าตัวเองราวกับเป็นน้องเสมอ มีหลายครั้งที่เขาไปหาเด็กที่ล้อเลียนพี่ชาย และใช้กำปั้นต่อยจนจมูกหัก
“ฉันรู้สึกขอบคุณนายอยู่เสมอเลย จริงจังนะ”
“ปีเตอร์”
“ทุกครั้งที่ฉันโดนต่อยตีหรือกลั่นแกล้ง นายจะไปสู้แทนให้ตลอดเลยนี่นา แถมยังโดนดุเพราะปล่อยเอาไว้และไม่ยอมบอกพ่อแม่ไปตรงๆ ด้วย”
อินซอบพูดว่า “ฉันจำตอนนั้นได้นะ” และยิ้มร่า ตัวเขาก็ยืนรับโทษอยู่ข้างๆ แอรอนที่ถูกลงโทษ จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ไปที่ร้านมิลค์เชคใกล้ๆ บ้าน และซื้อมิลค์เชคกับมันฝรั่งทอดกินเสมอ
“แอรอน” อินซอบเอ่ยเรียกชื่อของน้องชาย
“ตอนนี้ไม่ต้องสู้แทนฉันแล้วก็ได้”
รอยยิ้มปรากฏในดวงตากลมโตของอินซอบ
“ฉันสามารถแก้ปัญหาเองได้แล้ว แล้วฉันก็อยากทำแบบนั้นด้วย”
คำพูดที่นุ่มนวลและหนักแน่นทำให้แอรอนได้รู้ความจริงว่าตัวเองไม่สามารถทำลายความตั้งใจของพี่ชายได้ แม้จะดูอ่อนแอ แต่ก็ดื้อกว่าใคร เขารู้เรื่องนั้นดีเพราะอยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิต
“…เข้าใจแล้ว”
แอรอนตอบราวกับถอนหายใจ
“แล้วกับคุณยุนอารึมเป็นยังไงบ้าง เป็นไปได้ด้วยดีเหรอเปล่า”
ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ที่เห็นตลอดเวลาที่กินข้าวไม่มากหรือน้อยไปกว่าเพื่อน
“ไม่รู้สิ”
แอรอนพึมพำอย่างบึ้งตึงก่อนจะกุมหัวและพูดถึงความกังวลเกี่ยวกับการมีแฟนออกมา แอรอนออกไปจากห้องในช่วงกลางดึก เขาบอกราตรีสวัสดิ์อินซอบพร้อมกับบอกว่าตัวเองไม่ชอบคนคนนั้นจริงๆ
“…ไม่ชอบแอรอนเหรอครับ”
“โคตรเกลียดเลยล่ะครับ”
อีอูยอนยิ้มและพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างไม่ลังเล เขารู้สึกเฉยๆ กับน้องชายของคนอื่น แต่แสดงออกถึงความเป็นศัตรูกับแอรอนจนผิดปกติ
“ไม่ต้องขอโทษก็ได้ครับ”
แอรอนเองก็เหมือนกัน แอรอนไม่พอใจอีอูยอนมากเป็นพิเศษ ต่างจากน้องชายที่เป็นฝาแฝด เขาไม่อยากสร้างสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจโดยการให้สองคนนี้เจอกัน
“ผมไม่ได้ขอโทษที่ไม่ชอบมันหรอกนะ…”
อีอูยอนใช้มือที่มีขนาดใหญ่ลูบแก้มตัวเอง เขาหลุบตามองด้านล่างและพูดต่อราวกับเขินอายนิดหน่อย
“…ผมกลัวว่าคุณจะลำบากใจน่ะ”
“…”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณอินซอบลำบากใจนะครับ แต่ผมเป็นแบบนั้นเพราะผมก็แค่เป็นคนนิสัยไม่ดีเท่านั้นเอง…ขอโทษครับ”
ตัวเขาเองเป็นขยะที่ปฏิเสธการไว้อาลัยครอบครัวของคนรักด้วยการบอกว่าไม่ใช่ความชอบ แม้จะเห็นรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดที่เขาแสดงออกไป อินซอบก็คงไม่เลิกรัก มิหนำซ้ำอีกฝ่ายคงจะค้นพบว่าเป็นความผิดของตัวเองและขอโทษอย่างแน่นอน แม้จะไม่สามารถเดินตามความมีศีลธรรมที่คล้ายจะทำให้หายใจไม่ออกได้ แต่เขาต้องมีมารยาทให้ได้มากที่สุด
“ผมจะไปขอโทษต่อหน้าครับ”
อีอูยอนดึงมืออินซอบเข้ามาจูบและพูดต่อ
“…ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณอะไรล่ะ ผมโล่งใจนะครับที่คุณไม่ทิ้งคนอย่างผม”
อินซอบหัวเราะให้กับคำพูดที่เย้าหยอกนั้น อีอูยอนเอียงคอและถามว่า “จะทิ้งไหมครับ”
“โอกาสนั้น…มันหายไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“อื้อ ใช่”
อีอูยอนจูบมืออินซอบอีกครั้งและพูดต่อ
“แล้วมันก็เป็นโอกาสสุดท้ายด้วยครับ เพราะฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบและคอยดูแลผมนะครับ”
อีอูยอนกัดนิ้วนางของอินซอบเบาๆ และจ้องมองรอยฟันที่เหลืออยู่บนนิ้วที่ขาวซีด
“…ครับ ได้ครับ”
คำตอบนั้นฟังดูเหมือนเป็นคำสาบาน อีอูยอนทำตายิ้มและมองอินซอบ
“ว่าแต่ตอนนั้นเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่าครับ”
“ครับ?”
“คุณแต่งตัวโป๊แบบนี้แล้วไปไหนมาไหนสองคนกับผู้หญิงกลางดึกหรือเปล่าครับ”
อีอูยอนว่าพลางใช้นิ้วดึงคอเสื้อชุดนอนของอินซอบเบาๆ เขามองเห็นหัวนมของอินซอบผ่านชุดนอนตัวหลวม
“เปล่าครับ ตอนนั้นผมใส่เสื้อนอกออกมาครับ แต่นี่ผมรีบจริงๆ…”
อินซอบดึงชุดนอนพลางเอ่ยตอบ เขามัวแต่กลัวว่าอีอูยอนจะกลับจนลืมคิดที่จะเอาเสื้อนอกออกมาด้วย
“แอบหนีพ่อแม่ออกมากลางดึกแล้วแต่งตัวสวยๆ ไปที่ไหนเหรอครับ”
“ก็เดินไปตรงนั้นตรงนี้…”
อีอูยอนถามอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ที่นั่นที่นี่น่ะคือที่ไหน”
“ไปดูหนังรอบดึก แล้วก็ไปกินไอศกรีมกับโดนัทที่ร้านโดนัทที่หัวมุมหมายเลข 4 ที่เปิดร้านจนถึงดึก แล้วก็…”
“แล้วก็”
อีอูยอนทำตายิ้มหนักขึ้น เขามองคนรักผู้น่ารักที่ทำตัวไม่สุภาพด้วยการเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาจะไม่หึงผู้หญิงที่ตายไปแล้วอย่างเคลิบเคลิ้ม
“อ๋อ ใช่แล้ว”
อินซอบพูดพึมพำต่อเพราะนึกขึ้นได้
“ช่วงนี้จะมีคันทรี่แฟร์จัดขึ้นแถวๆ นี้ด้วย ผมไปที่นั่นด้วยครับ”
“คันทรี่แฟร์เหรอ”
“ครับ ใหญ่พอสมควรเลย คุณอูยอนเคยไปไหมครับ”
“อืม สองสามครั้ง”
“ตอนเด็กๆ ผมไปกับครอบครัวบ่อยๆ แต่ตอนนั้นเป็นครั้งแรกเลยที่ได้ไปกับเพื่อน ผมตื่นเต้นมากเลยล่ะครับ”
คันทรี่แฟร์หรือก็คืองานเทศกาลประจำเมือง งานนั้นเป็นสถานที่ที่มีแสงระยิบระยับจากแสงไฟของเครื่องเล่นที่ดูบ้านนอก ขายของทำมือที่สกปรก และสามารถขี่สัตว์ที่มีกลิ่นเหม็นได้ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นที่ที่อีอูยอนเกลียด เขาเคยโดนพวกผู้หญิงอ้อนให้พาไปอยู่สองสามครั้ง และมันก็น่าเบื่อมากทุกครั้ง
“แล้วได้เที่ยวเล่นอย่างสนุกไหมครับ”
“ไม่ครับ ผมไม่ได้เข้าไป แล้วก็กลับบ้านเลย”
“ทำไมล่ะครับ”
“ผมเจอกลุ่มเด็กผู้หญิงที่ทางเข้าน่ะครับ พวกนั้นทำไอศกรีมเปื้อนเสื้อของเจนนี่…มันเป็นเสื้อที่เจนนี่รักที่สุดน่ะครับ”
อินซอบนึกถึงเจนนี่ที่มักจะใส่เสื้อที่รักที่สุดไปไหนมาไหนเหมือนเป็นเด็ก พอเสื้อเชิ้ตเปื้อนไอศกรีม เธอก็หน้าเสียและทำอะไรไม่ถูก
“ดังนั้นพวกเราก็เลยกลับน่ะครับ ถ้าตอนนั้นผมชวนเธอเข้าไปก็คงจะดี”
‘ไว้มากันใหม่ปีหน้าก็ได้’
เขาพูดกับเจนนี่ที่โกรธจนร้องไห้ เพราะว่าวันนั้นเป็นวันสุดท้ายของงานแฟร์ แต่โอกาสที่จะได้ไปที่แห่งนั้นอีกในปีหน้ากลับมาไม่ถึง
“…ผมเสียใจเรื่องนั้นอยู่นิดหน่อยครับ”
อินซอบยิ้มจางๆ อีอูยอนคิดอะไรอยู่พักหนึ่งแล้วเอื้อมมือออกมาคาดเข็มขัดนิรภัยตรงที่นั่งข้างคนขับให้
“เอ๊ะ? ทำไมครับ?”
“คุณอินซอบอุตส่าห์ปีนหน้าต่างมาในชุดนอน ก็ไม่ควรจะมีเรื่องให้รู้สึกเสียใจภายหลังสิครับ”
อีอูยอนสตาร์ทรถและขับรถออกไป อีอูยอนตอบคำถามของอินซอบที่ถามว่าจะไปไหนครับว่า “จับแน่นๆ นะครับ” และเร่งความเร็ว พอเห็นหน้าปัดความเร็วที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่ม อินซอบก็ใช้มือทั้งสองข้างกุมเข็มขัดนิรภัยไว้