สืออีเหนียงทำเป็นไม่สนใจ แล้วหันไปสนใจกานฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ตนแทน เจิ้นหนานโหวฮูหยินกำลังพูดคุยกับนาง
“ครั้งก่อนที่เจ้าบอกว่าแน่นหน้าอก ดีขึ้นแล้วหรือยัง” เจิ้นหนานโหวฮูหยินเป็นคนตัวเล็กและผ่ายผอม อายุราวสี่สิบกว่าปี มองดูผู้คนด้วยดวงตาที่เฉียบแหลม ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น แต่กลับดูสง่างามกว่ากานฮูหยินเสียอีก “สองสามวันก่อนข้าก็แน่นหน้าอก บอกให้ท่านหมอโจวช่วยทำยาประสาทสองร้อยเม็ด ทานแล้วก็รู้สึกว่าดีขึ้น ประเดี๋ยวกลับไปข้าจะบอกคนนำมาให้เจ้า เจ้าลองทานดู”
นางพูดเบาๆ และอ่อนโยน คำพูดที่พูดออกมาไม่ได้ดูสนิทสนมแล้วก็ไม่ได้ดูเป็นกันเอง แต่เมื่อฟังดูแล้วกลับมีความอุ่นใจ
สืออีเหนียงคิดว่าความสัมพันธ์ของนางและกานฮูหยินต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
เป็นเช่นนั้นจริงๆ สายตาของกานฮูหยินมีความขมขื่น พูดขึ้น “ข้าเป็นโรคหัวใจ ทานยาหรือไม่ทานยาก็ไม่ต่างกัน” นางพูดเรื่องส่วนตัวออกมาอย่างตรงไปตรงมา
สืออีเหนียงแอบตกใจ
คิดไม่ถึงว่ากานฮูหยินจะเปิดใจกับตนขนาดนี้ นี่ถือเป็นการยืนยันการคาดเดาของนาง
เจิ้นหนานโหวฮูหยินเหลือบมองมาที่สืออีเหนียง
กานฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็แนะนำสืออีเหนียงให้เจิ้นหนานโหวฮูหยินรู้จัก “สืออีเหนียงอ่อนโยนและมีน้ำใจ ข้าถูกชะตากับนางเป็นอย่างมาก” จากนั้นก็แนะนำเจิ้นหนานโหวฮูหยินให้สืออีเหนียงรู้จัก “ตอนที่ข้าพึ่งแต่งงานมาอยู่ที่เยี่ยนจิง ไม่รู้จักใครสักคน โชคดีที่มีพี่หญิงหวังคอยแนะนำ”
ถึงแม้ว่าจะเจอกับหวังฮูหยินเป็นครั้งแรก แต่ในเมื่อกานฮูหยินจริงใจกับตนขนาดนี้ ตนก็ต้องจริงใจกับกานฮูหยิน
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับเจิ้นหนานโหวฮูหยิน
เจิ้นหนานโหวฮูหยินย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงเช่นกัน ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็ว่า ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงยอมเป็นเจ้าภาพให้คนอื่น” ยังคงไม่เปิดใจให้กับสืออีเหนียง
กานฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินไท่ฮูหยินบอกว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ จึงเสนอตัวเป็นเอง”
ที่แท้แล้วกานฮูหยินเป็นคนเสนอตัวเอง ตนคิดว่าไท่ฮูหยินขอร้องกานฮูหยินเสียอีก
สายตาของสืออีเหนียงมีความซาบซึ้ง
เจิ้นหนานโหวฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม มองซ้ายมองขวาแล้วพูดว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นคุณหนูของข้า” จากนั้นก็พูดว่า “ที่แท้ก็กำลังพูดคุยกับคุณนายใหญ่สกุลหลินนี่เอง” พูดจบก็ยิ้มให้สืออีเหนียงด้วยความรู้สึกผิด “ข้าขอตัวไปทักทายก่อนนะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า เจิ้นหนานโหวฮูหยินก็เดินออกไปหาโจวฮูหยิน
กานฮูหยินพูดกับนางเบาๆ “นางกับพี่หญิงใหญ่ของเจ้าสนิทกันมาก แต่โจวฮูหยินกับพี่หญิงใหญ่ของเจ้าไม่ค่อยสนิทกัน”
สืออีเหนียงตกใจ
ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่อยากพูดถึงหยวนเหนียงต่อหน้านาง นี่เป็นครั้งแรกที่นางไม่เพียงแต่ได้ยินคนพูดถึงหยวนเหนียงต่อหน้านางอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางรู้จักคนที่สนิทสนมกับหยวนเหนียง
อดไม่ได้ที่จะมองไปทางเจิ้นหนานโหวฮูหยิน จากนั้นก็ได้ยินเสียงขององค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงดังเข้ามาในหู “สะใภ้สี่สกุลสวี มาให้ข้าดูหน่อยสิ”
สืออีเหนียงรีบเก็บสีหน้า ยิ้มแล้วเดินไปหาองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง
องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงจับมือนางแล้วสำรวจมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “ชุดนี้เจ้าเป็นคนตัดเองหรือ”
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงจะถามเช่นนี้
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว หรือว่าข้างนอกกำลังลือกันว่าตัวเองเชี่ยวชาญเรื่องการตัดเสื้อผ้า?
นางระงับความสงสัยไว้ในใจแล้วตอบกลับด้วยความเคารพ “ทูลองค์หญิง อาจารย์เย็บปักถักร้อยที่จวนล้วนเป็นคนมีฝีมือ หม่อมฉันจึงแค่ลองตัดเสื้อผ้าเองสองสามชุดเท่านั้นเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องถ่อมตัว ฟังเจี่ยเอ๋อร์ของข้าชื่นชมเจ้าเป็นอย่างมาก”
ที่แท้ก็คือฟังเจี่ยเอ๋อร์…
สืออีเหนียงพูดอย่างอ่อนโยน “ก็แค่ถูกใจฟังเจี่ยเอ๋อร์พอดีเพคะ”
“ไม่ง่ายเลยที่จะถูกใจฟังเจี่ยเอ๋อร์ของข้า” องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงยิ้ม “ได้ยินมาว่าเจ้ายังสอนฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เย็บปักถักร้อยเช่นนั้นหรือ ไปสอนฟังเจี่ยเอ๋อร์ของข้าสักวันสิ ให้ช่างเย็บปักของข้าได้เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง! อาจารย์ของสำนักเย็บปักถักร้อยจะได้ไม่ไปๆ มาๆ จวนข้า ทำให้ข้าตาลาย”
นางเอ่ยชื่นชมเกินไปแล้ว
สืออีเหนียงรีบพูดว่า “องค์หญิงชมเกินไปเพคะ!”
ไท่ฮูหยินเองก็พูดอย่างถ่อมตน “นางก็แค่เป็นคนฉลาด หากพูดถึงงานปัก แน่นอนว่าอาจารย์ของสำนักเย็บปักถักร้อยต้องมีฝีไม้ลายมือมากกว่าอยู่แล้วเพคะ”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว หากยังชื่นชมสืออีเหนียงอีกก็คงจะเป็นการดูถูกสำนักเย็บปักถักร้อยเกินไป
องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงหัวเราะ
ป้าตู้ที่อยู่ข้างๆ เห็นเช่นนี้ก็รีบบอกให้สาวใช้ยกอาหารเข้ามา
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงก็พาโจวฮูหยินขอตัวลา
หวงฮูหยิน ถังฮูหยินและเจิ้งไท่จวินก็พากันขอตัวกลับจวน แต่คุณนายใหญ่สกุลหลินกลับไม่ได้กลับไปพร้อมกับหลินฮูหยิน แต่กลับอยู่จนถึงคนสุดท้าย
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็เดินออกมาจากโถงบุปผา เดินไปบนทางเดินของโถงเตี่ยนชวน ผ่านสวนหลังจวนไปส่งคุณนายใหญ่สกุลหลินที่ประตูด้วยตัวเอง
คุณนายใหญ่สกุลหลินเดินไปกับนางช้าๆ
“ข้าถามฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์แล้ว นางบอกว่าวันนั้นจ้งหรานฝึกวาดภาพดอกซ่อนกลิ่นอยู่ที่สวนหลังจวนตลอด ตอนที่นางไปหา จ้งหรานก็กำลังฝึกวาดภาพอยู่ที่ศาลาในสวนหลังจวน ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็บอกว่าตัวเองอยากวาดพัดดอกซ่อนกลิ่น แต่ไม่เคยวาดได้สวยเลย จ้งหรานจึงเลือกภาพเก่าออกมาให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ เรื่องอื่นฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้พูด เขาก็ไม่ได้ถาม”
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าคุณนายใหญ่สกุลหลินยังคิดเรื่องนี้อยู่
นางคิดว่าเรื่องนี้มันจบไปแล้ว
“ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็แค่แก้ไขปัญหาชั่วคราวเท่านั้น” สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจินเจี่ยเอ๋อร์เองก็ไม่ได้คิดอะไร พี่น้องอย่างพวกนางยังไม่พูดอะไร เราก็อย่าพูดถึงเลยดีกว่าเจ้าค่ะ”
แต่ใครจะรู้ว่าคุณนายใหญ่สกุลหลินจับไม่ยอมปล่อย “ต่อมาข้าก็ถามน้องชายคนเล็กแล้ว ตอนนั้นจ้งหรานเป็นคนมารายงานเอง หรือว่ามีคนส่งเขามา น้องชายคนเล็กบอกว่า มีคนส่งเขาไป เขาไม่รู้ว่าที่จวนมีแขก”
สืออีเหนียงนึกถึงแววตาที่ผิดหวังคู่นั้น
เซ่าจ้งหรานกลับมาหาคุณนายใหญ่สกุลหลิน บรรดาบ่าวรับใช้ก็ต้องบอกเขาว่ามีใครมาเป็นแขกที่จวนบ้าง
หากจะบอกว่าเซ่าจ้งหรานไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเจินเจี่ยเอ๋อร์เลย ไม่ว่าเช่นไรนางก็ไม่มีทางเชื่อ!
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างตรงไปตรงมา “เพราะว่ามีเรื่องสู่ขอก่อนหน้านี้ ต่อมาก็มีเรื่องพัด ข้าจึงคิดไปไกล ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าคงจะคิดมากไปเองแล้ว”
“ไม่ต้องพูดถึงเจ้า แม้แต่ข้า ตอนที่ได้ยินก็ยังโมโหจนตัวสั่น” คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ยังเสียใจที่ตัวเองมาพูดเรื่องแต่งงานกับเจ้า ต่อมารู้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดจึงรีบมาอธิบายให้เจ้าฟัง” พูดจบนางก็ถอนหายใจ “เราไม่ใช่สกุลญาติกัน ข้าขอพูดกับเจ้าตามตรง หากพูดถึงเรื่องอื่น จ้งหรานของเราไม่ได้แย่เลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สกุลเซ่าของเราเคยเป็นสกุลใหญ่สกุลโตแห่งซังโจวมาก่อน แค่นิสัย ความรู้และหน้าตาของจ้งหราน ใช่ว่าข้าชมตัวเอง มันไม่ได้หาได้ง่ายๆ แล้วอีกอย่างท่านปู่ของเค้าเคยเป็นถึงรองผู้บัญชาการกว่างซี ตระกูลก็มีกิจการค้าขาย แต่เพราะเขาเป็นบุตรชายคนโตของสกุล ต่อไปต้องอยู่ดูแลกิจการของสกุลที่ซังโจว เพราะเหตุนี้ ไม่ว่าเขาจะดีแค่ไหน เกรงว่าไท่ฮูหยินก็คงจะไม่ตอบตกลง ดังนั้นตอนที่น้องชายคนเล็กมาบอกข้า ข้าก็ไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ว่าน้องชายคนเล็กของข้าขอร้อง จ้งหรานรู้เช่นนี้ เขาก็แค่หน้าแดง ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร ข้าจึงมาฟังความคิดของเจ้าก่อน”
นางหยุดเดินแล้วมองสืออีเหนียงอย่างจริงจัง
“ต่อมาข้าฟังน้ำเสียงของเจ้าแล้ว รู้ว่าเจ้าไม่เห็นด้วย นึกถึงฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ของข้าแต่งงานออกไปอยู่ไกลข้าก็ยังเสียใจ…กลับไปข้าก็ไปบอกพวกเขา บอกว่าพวกเจ้าปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ ตอนนั้นน้องชายคนเล็กข้าเมื่อได้ยินยังขอร้องให้ข้าออกหน้าพูดอีกครั้ง แต่จ้งหรานรู้เช่นนี้กลับบอกข้าว่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก ข้าคิดว่าจ้งหรานอับอาย รู้ว่าถูกปฏิเสธจึงไม่สบายใจ ข้าจึงไม่ได้ถามอะไร ต่อมาเจ้าพูดถึงเรื่องพัด…” คุณนายใหญ่สกุลหลินพูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าคิดว่าสองคนนั้นไม่รู้ความ ขอร้องให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์แอบส่งของให้ ดังนั้นข้าถึงไปเค้นถามน้องชายคนเล็กของข้า ถามว่าทำไมต้องสู่ขอให้จ้งหราน ท่านพ่อของเขารู้เรื่องนี้หรือไม่ สุดท้ายน้องชายคนเล็กของข้าบอกว่า เคยเขียนจดหมายไปบอกแล้ว ท่านพ่อของเขาบอกว่าให้ข้าช่วยตัดสินใจ สำหรับเรื่องที่ว่าทำไมถึงต้องสู่ขอเจินเจี่ยเอ๋อร์…” นางหยุดพูด “เพราะข้าพูดอ้างถึงบิดาของข้า น้องชายคนเล็กถึงได้ยอมบอกข้าว่าเพราะพวกเขาเคยเจอเจินเจี่ยเอ๋อร์” พูดพร้อมกับสังเกตสีหน้าของสืออีเหนียงอย่างระมัดระวัง
สืออีเหนียงแสร้งทำสีหน้าตกใจ
แต่คุณนายใหญ่สกุลหลินนึกถึงพิธีขึ้นปิ่นปักผมในวันนี้…เดิมทีตนอยากจะหาโอกาสไปพูดเรื่องนี้ต่อหน้าไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง แต่เมื่อเห็นบรรยากาศของวันนี้แล้วก็เปลี่ยนใจ คิดว่าหากสืออีเหนียงเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ก็คงจะมีความมั่นใจมากกว่านี้
“เรื่องนี้ ต้องโทษที่ข้าประมาทเกินไป” คุณนายใหญ่สกุลหลินหน้าแดง “น้องชายคนเล็กของข้าก็โตกว่าจ้งหรานแค่ห้าหกปี แล้วจ้งหรานก็เป็นหลานชายของข้า ข้ามักจะคิดว่าพวกเขาเป็นเด็กอยู่เสมอ ข้าชอบตามใจพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาไปเดินเล่นที่สวนหลังจวนบ่อยๆ ไม่ได้ห้ามพวกเขาเอาไว้
มันอาจจะเป็นพรมลิขิต
น้องชายคนเล็กของข้าบอกว่า มีครั้งหนึ่งพวกเขาและจ้งหรานกำลังจะไปเดินเล่นที่สวนหลังจวน สุดท้ายไปเจอกับฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กำลังเล่นอยู่กับบรรดาคุณหนูที่ศาลาข้างๆ เด็กผู้หญิงสองสามคนหัวเราะคิกคัก บางคนก็เก็บดอกไม้ในสวน บางคนก็ปล่อยว่าว แล้วยังมีบางคนนั่งพูดคุยกันในศาลา มีแค่เด็กผู้หญิงที่สวมชุดสีขาวพระจันทร์ กำลังกำชับให้สาวใช้ชงชาให้ทุกคน ตอนนั้นจ้งหรานก็พูดกับน้องชายคนเล็กของข้าอย่างไร้มารยาทว่า สตรีคนนี้เพียบพร้อม น้องชายคนเล็กของข้าจึงคิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมา”
คุณนายใหญ่สกุลหลินถอนหายใจ “จ้งหรานเห็นว่าน้องชายคนเล็กของข้าเป็นคนตรงไปตรงมาเขาจึงเล่าให้น้องชายคนเล็กของข้าฟังหมดทุกอย่าง น้องชายคนเล็กจึงพูดความจริงกับข้า บอกว่าอยากให้เราสองสกุลได้ดองกัน เพราะเซ่าหรานเองก็เป็นคนดี หากข้าเป็นคนไปพูด สกุลของพวกเจ้าคงจะตอบตกลง ต่อมาพวกเจ้าก็ปฏิเสธ ถึงแม้ว่าในใจข้าจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว พวกเจ้าอาจจะคิดว่าเขาไม่มีความสามารถ เป็นลูกเขยที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเป็นห่วงบุตรสาว ไม่ยอมให้นางแต่งออกไปอยู่ไกลบ้าน…แต่หากข้ามาขอร้องบ่อยๆ พวกเจ้าอาจจะคิดว่ามันแปลกๆ และหากมีข่าวลือออกไปว่าเขาเคยเจอเจินเจี่ยเอ๋อร์ มันจะทำให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เสื่อมเสียชื่อเสียง ดังนั้นข้าจึงบอกว่าพวกเจ้าไม่เห็นด้วย เขาก็ไม่ได้พูดอะไร…ข้าคิดว่าเขาสามารถคิดแทนเจินเจี่ยเอ๋อร์ได้เช่นนี้ ก็ถือว่าเขาเป็นคนมีหัวใจ แต่กลับบังเอิญเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็คงจะเป็นพรมลิขิต ข้าจึงได้มาพูดเรื่องแต่งงานครั้งนี้กับเจ้าอีกครั้ง”
แต่สืออีเหนียงกลับฟังอะไรออก นางพึมพำ “คุณชายเซ่า รู้หรือไม่ว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวของอนุภรรยา”
คุณนายใหญ่สกุลหลินตอบกลับอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “สถานะของเจินเจี่ยเอ๋อร์ น้องชายคนเล็กของข้าเป็นคนไปสืบมา”
เช่นนี้ก็หมายความว่า ก่อนที่จะเกิดเรื่องพัดขึ้น เซ่าจ้งหรานรู้อยู่แล้วว่าการแต่งงานครั้งนี้ต้องไม่สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงเหลือบมองไปที่เรือนหลักด้วยความเสียใจ!
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ รอให้ท่านโหวกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างอ่อนโยน แล้วยังมีกลิ่นอายของความไตร่ตรอง
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจ
ในเมื่อสามารถปรึกษากันได้ เช่นนั้นก็คงมีทางออก
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเรารอท่านโหวกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถิด!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า ส่งคุณนายใหญ่สกุลหลินไปที่หน้าประตูฉุยฮวา
มีสาวใช้เข้ามารายงาน เมื่อเห็นสืออีเหนียงนางก็รีบย่อเข่าลง “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”