“ไม่ต้องห่วง ดูหน้าตาเจ้าสิ ข้าไม่มีทางสนใจเจ้าอยู่แล้ว” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยเผยรอยยิ้มออกมา
หานอวี้โมโห ”เจ้าพูดมาให้ชัดๆ เสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า หน้าตาข้ามีอะไรผิดปกติหรือ”
“หน้าตาของเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก” เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจ ”งดงามเกินไปราวกับดอกไม้เลยทีเดียว”
มุมปากของหานอวี้กระตุก เขาเยาะ ”ข้ามีเสน่ห์ดึงดูดได้ทั้งบุรุษและสตรี เจ้าคงไม่เข้าใจหรอก บอกมาได้แล้วว่าทำไมเจ้าต้องตามข้ามา แล้วทำไมเจ้าต้องทำตัวมีลับลมคมในถึงเพียงนี้ด้วย”
“การทดสอบของเจ้าเมื่อครู่นี้คืออะไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยลดเสียงเบาลง
หานอวี้มองนาง ”เมื่อครู่นี้มีสัตว์อสูรลมกรดตัวเล็กๆ อยู่ที่นี่ ทำไมหรือ ของเจ้าไม่ใช่สัตว์อสูรลมกรดรึ”
สัตว์อสูรลมกรดตัวเล็กๆ หรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา มาตรฐานของการทดสอบนี้จะแตกต่างกันเกินไปหน่อยหรือเปล่า
เสี่ยวไป๋อาจจะพูดถูก ที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ
แต่ไม่รู้ว่าความรุนแรงของมันอยู่ในระดับไหน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าแม้กระทั่งหน่วยพิฆาตวิญญาณเองก็…
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำมือเข้าหากัน แต่สีหน้าของนางยังคงราบเรียบไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลง ริมฝีปากบางของนางกระตุกขึ้น ”ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ข้าก็แค่ถามเท่านั้น ถือเสียว่าเป็นความห่วงใยที่ข้ามีให้เจ้าก็แล้วกัน”
“ความห่วงใยที่มีต่อข้าหรือ” หานอวี้หัวเราะชั่วร้าย เขายื่นมือออกไปวางบนไหล่ของนาง น้ำเสียงของเขาฟังดูมีเลศนัย ”สิ่งที่เจ้าเรียกว่าความห่วงใยนั้นย่อมไม่ใช่ความห่วงใยอย่างแน่นอน เจ้าเป็นคนไม่จริงใจเอาเสียเลย”
องค์ชายเจ็ดมองมือของหานอวี้ แล้วขว้างไม้ท่อนยาวใส่เขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่น่าประหลาดใจที่อีกฝ่ายกลับหลบได้ และหันหน้ากลับมามองเด็กชายตัวน้อยผู้มีชีวิตชีวาราวกับเสือป่าทันที
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยไม่พูดอะไร เขาแกว่งไม้ท่อนนั้นใส่หานอวี้หมายจะโจมตีเป็นครั้งที่สอง!
หานอวี้ร้องลั่นขณะหลบการโจมตีนั้น ”เจ้าเจ็ด! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ”
“เจ้าสมควรถูกตัดหัวเสียบประจานเพราะมายุ่มย่ามกับพี่สะใภ้สามของข้า” เด็กชายตัวน้อยหยุดเคลื่อนไหว เขาจับแท่งไม้ที่เอามาจากพระราชวังใต้ดินแท่งนั้นตั้งขึ้น และขยับนิ้ว จากนั้นตาข่ายขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าใส่หานอวี้!
หานอวี้นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ เขาลื่นล้มลง แล้วจากนั้นร่างสูงใหญ่ของเขาก็ถูกตาข่ายคลุม ”เฮ้ย เจ้าเจ็ด ถ้าเจ้าเป็นลูกผู้ชายก็ปล่อยข้าไป แล้วมาสู้กันตัวต่อตัวโดยไม่ใช้อาวุธดีกว่า!”
“ข้าชนะเจ้าแล้ว ทำไมข้าต้องไปสู้กับเจ้าตัวต่อตัวด้วย” เด็กชายกดสายตาลงมองเขาจากตำแหน่งที่สูงกว่า แล้วใช้เท้าของตนเหยียบลงบนศีรษะของหานอวี้ เขาเอ่ยเสียงเบาขณะย่ำลงบนนั้นสองครั้ง ”ลองเจ้าทำตัวรุ่มร่ามกับพี่สะใภ้สามของข้าอีกครั้งดูสิ”
หานอวี้ครวญคราง ”หัวข้า!”
องค์ชายเจ็ดจอมบงการไม่สนใจเขาแม้แต่นิดเดียวขณะลากขาของเขา แล้วจับเอาฝั่งหนึ่งของตาข่ายโยนขึ้นไปบนกิ่งไม้ จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไป ขึงตาข่ายอันนั้นแน่นก่อนจะกระโดดลงมาบนพื้น!
ร่างของหานอวี้ถูกขึงห้อยหัวลงมาจากกิ่งไม้
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยใช้มือเพียงข้างเดียวยกหินก้อนใหญ่ขึ้น แล้วนำมันมาวางทับตาข่ายอันนั้นเอาไว้ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ!
ไม่รู้ว่าอวิ๋นปี้ลั่วคิดอะไรอยู่ตอนที่นางมองดูภาพนี้ มีเพียงดวงตาของนางเท่านั้นที่ปรากฏความมืดมิดให้เห็นเลือนราง
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะผ่านการทดสอบแรกมาได้ อีกทั้งยังสนิทสนมกันดีเสียด้วย” ตู๋ซูเฟิงเดินออกมาจากที่ที่เขาเพิ่งจะหายตัวไปเมื่อครู่พร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย
หนังตาของหานอวี้ที่ห้อยหัวอยู่บนนั้นถึงกับกระตุก ท่านสรุปออกมาได้อย่างไรว่าพวกเขาสนิทสนมกันดี
เจ้าเจ็ดที่หัวรุนแรงนั่นก็ยังไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้ดีเลยด้วยซ้ำ!
ราวกับตู๋ซูเฟิงจะสามารถอ่านใจของหานอวี้ได้ เขาถอนหายใจออกมา ”เจ้าเจ็ด ปล่อยนายน้อยหานลงมาเสีย” หลังจากพูดจบ เขาก็มองเฮ่อเหลียนเวยเวยและคนที่เหลือ พลางเอ่ยว่า ”วันนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนกันก่อนก็แล้วกัน ตามข้ามาสิ มีทางลัดอยู่ใต้ดิน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ทำไมท่านไม่บอกเรื่องนั้นมาตั้งแต่แรกเล่า!
ด้วยเหตุนี้ศิษย์ใหม่ทุกคนจึงเดินตามตู๋ซูเฟิงเข้าไปในป่ารกทึบ
หานอวี้ที่ยังอยู่ในตาข่ายก็ถูกองค์ชายเจ็ดลากตัวไปพร้อมกัน
ท่าทางตอนที่องค์ชายเจ็ดลากเขานั้นดูเปี่ยมด้วยอำนาจ ภาพที่เขาถือซาลาเปาเนื้อไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ลากผู้ชายตัวโตไปพร้อมกันนั้นดูน่าขันทีเดียว
ทางใต้ดินเส้นนี้ยาวมาก ไม่มีใครมั่นใจว่าตัวเองจะไม่หลงทางหากไม่มีตู๋ซูเฟิงนำทางให้
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทดสอบให้ตู๋ซูเฟิงฟัง เพราะการเอ่ยเรื่องนั้นต่อหน้าผู้คนมากมายย่อมไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม นางทำเพียงครุ่นคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ในใจ
“แม่นางเวยเวยกับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยดูสนิทสนมกันดีทีเดียว”
นางไม่รู้สึกตัวตอนที่อวิ๋นปี้ลั่วขยับตัวเข้ามา น้ำเสียงของนางอ่อนโยนนุ่มนวล นางดูเยือกเย็น แต่ในนั้นกลับมีน้ำเสียงขบขันอันยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้าไปมองด้านข้าง แต่นางไม่ได้ตอบ ริมฝีปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูทั้งเฉยชาและเย้ยหยัน
อวิ๋นปี้ลั่วหรี่ตา นางหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ”คงจะดีกว่านี้ถ้าแม่นางเวยเวยแบ่งปันเรื่องราวของท่านให้ข้าฟังบ้าง ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่รู้จักนิสัยขององค์ชาย และอยากจะทำความสนิทสนมกับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยบ้างก็เท่านั้น แต่ข้ายังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ อย่างไรเสียเด็กๆ ก็ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่ดูเหมือนว่าองค์ชายเจ็ดตัวน้อยจะรักการกินมากกว่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เคยชอบการพูดคุยกับคนที่ซ่อนเข็มเอาไว้ในคำพูดของตน คำพูดที่ออกมาจากปากของคนประเภทนั้นล้วนแต่มีสองความหมายเสมอ
ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่อวิ๋นปี้ลั่วพูด นางกำลังพยายามจะบอกว่านางคุ้นเคยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดีเพียงใด
เรื่องพวกนี้ล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากความอิจฉาริษยาทั้งสิ้น
นางไม่ต้องการที่จะทะเลาะกับใครเพียงเพราะเรื่องนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมอ่อนข้อให้
เมื่อมีคนมาท้าทายนาง แล้วนางจะไม่โต้ตอบได้อย่างไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากบางของตน แล้วมองอวิ๋นปี้ลั่วอย่างมีเลศนัย นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า ”ข้าเป็นพี่สะใภ้สามของเขา จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะสนิทกับข้า ข้าคิดว่าแม่นางอวิ๋นคงไม่สามารถทำเช่นเดียวกับที่ข้าทำได้ ดังนั้นข้าจึงไม่มีเรื่องราวอันใดจะแบ่งปันร่วมกับเจ้าทั้งนั้น”
อวิ๋นปี้ลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง
หยวนหมิงที่กำลังแอบฟังอยู่รู้สึกพอใจยิ่งนัก ”ข้าเดาว่านางจะต้องรู้สึกอึดอัดใจไปตลอดวันแน่หลังจากได้ฟังสิ่งที่เจ้าพูด แม่นาง เจ้านี่มันใจร้ายชะมัด เจ้าจงใจบอกนางว่าไม่มีสิ่งใดที่นางสามารถทำได้ ทั้งที่เจ้าก็รู้อยู่เต็มอกว่านางเล็งตำแหน่งพระชายาสามของเจ้าอยู่”
“ข้าเรียนรู้แล้วว่าข้าจะเอาแต่ทะเลาะวิวาทหรือเข่นฆ่าตลอดเวลาไม่ได้ ดังนั้นทำไมข้าไม่พูดจาดีๆ เมื่อเจอกับปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการพูดคุยเล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยจัดคอเสื้อของตนอย่างเกียจคร้าน แล้วเดินต่อไป
อวิ๋นปี้ลั่วมองนางจากทางด้านหลังพร้อมกับกำผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือแน่น นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะสาวเท้าตามมา
แต่…
ในวินาทีต่อมา กำแพงหินโปร่งแสงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย โดยแยกพวกนางกับตู๋ซูเฟิงออกจากกันราวกับอยู่คนละโลก
เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกถึงคำพูดที่ตู๋ซูเฟิงเคยบอกพวกนางเอาไว้ตอนที่เข้ามาในพระราชวังใต้ดิน ”การทดสอบของพวกเจ้าสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา”
ฮ่าๆ มันจะไม่ปุบปับไปหน่อยหรือ
แน่ใจหรือว่าการทดสอบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของท่านเจ้าสำนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับตู๋ซูเฟิงมองหน้ากัน ระหว่างพวกนางมีกำแพงหินโปร่งแสงนั้นคั่นเอาไว้
ปฏิกิริยาแรกของนางคือการหันกลับไปอุ้มเด็กชายตัวน้อยที่หยิ่งผยองราวกับเสือคนนั้นขึ้น
หานอวี้เองก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป เขาหรี่ดวงตาสีน้ำตาลของตนลงเล็กน้อย
ร่างอีกสองร่างที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเริ่มพากันตื่นตระหนก พวกเขาชี้นิ้วไปที่แง่งหินหน้าตาเหมือนก๊อกน้ำที่อยู่ข้างๆ แล้วร้องว่า ”พวกเจ้าดูนี่สิ!