ตอนที่ 334 อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์
ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านมายี่สิบวันแล้วนับตั้งแต่วันสิ้นสุดการสอบเข้ามัธยมปลาย ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องไปที่โรงเรียนเพื่อรับผลการสอบเข้าระดับมัธยมปลาย หลินม่ายรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
หลังมื้ออาหารเช้า เธอแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะเดินทางไปที่โรงเรียน
เธอคิดว่าตัวเองมาเร็วพอแล้ว แต่ไม่นึกว่าบรรดาเพื่อนร่วมชั้นเกือบทุกคนจะมาถึงเร็วกว่าเสียอีก นักเรียนเกือบทุกคนกำลังจับกลุ่มพูดคุยกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ
นักเรียนหญิงคนหนึ่งถอนหายใจ “ถ้าครั้งนี้ชั้นสอบเข้าชั้นมัธยมปลายไม่ได้ ฉันก็คงไม่มีโอกาสได้เรียนต่อแล้ว”
นักเรียนหญิงอีกคนถามด้วยความเห็นใจ “แล้วถ้าเธอสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาได้ล่ะ?”
เด็กสาวคนนั้นถอนหายใจอย่างอ้างว้าง
เพื่อนสาวอีกหลายคนเงียบกริบ
พวกหล่อนมั่นใจว่าตัวเองสามารถสอบเข้าเรียนในระดับมัธยมปลายได้ แต่ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถสอบเข้าเรียนในระดับปวช.
ยุคสมัยนี้ การสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาไม่ได้ง่ายไปกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย
ระเบียบการรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนอาชีวศึกษาใช้ระบบเดียวกันกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แถมยังได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐเป็นรายเดือนอีกด้วย
หมายความว่านักเรียนไม่จำเป็นต้องควักเงินส่วนตัวเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน นอกจากจะประหยัดเงินแล้ว การได้เงินอุดหนุนจากรัฐยังช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวไปได้มาก
ในทางกลับกัน นักเรียนชั้นมัธยมปลายจะไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากทางรัฐ และยังมีค่าใช้จ่ายสูง ใช่ว่าทุกคนจะสามารถจ่ายได้
เด็กสาวคนหนึ่งเหลือบไปเห็นหลินม่าย ก็ทักทายขึ้นมาด้วยความอิจฉา “หลินม่าย เธอต้องสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาได้แหงเลย ต่อให้สอบไม่ผ่านก็เรียนต่อมัธยมปลายได้ แต่คงต้องกังวลเรื่องค่าเทอมเหมือนกับพวกเรา”
เพื่อนร่วมชั้นน้อยคนนักที่รู้ว่าหลินม่ายออกไปตั้งแผงลอยขายเสื้อผ้า แต่หล่อนคนนี้กลับไม่รู้
หล่อนมักจะได้ยินจากอาจารย์ที่ปรึกษาว่าหลินม่ายต้องทำงานหาเลี้ยงชีพพร้อมกับเล่าเรียนไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตจึงค่อนข้างลำบากมาก
แค่นึกภาพว่าเธอมีฐานะยากจนก็รู้สึกสงสารแล้ว จึงพูดอย่างนั้นออกไป
แต่ยังไม่ทันที่หลินม่ายจะอ้าปากตอบ เด็กสาวอีกคนหนึ่งที่เจอเธอที่ตลาดกลางคืนก็กำลังรู้สึกเสียใจว่าตัวเองอาจไม่สามารถเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปลายได้ และอาจไม่สามารถเรียนต่อโรงเรียนอาชีวศึกษา
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเพื่อนร่วมชั้น หล่อนก็จำได้ว่าว่านฮุ่ยเคยบอกว่าหลินม่ายใช้มารยาหญิงเพื่อจับศาสตราจารย์ฟาง ดังนั้นศาสตราจารย์ฟางจึงคอยช่วยเหลือเธอทุกวิถีทาง
คิดได้แบบนั้นก็รู้สึกเปรี้ยวปากราวกับกินมะนาวเข้าไปหลายตะกร้า ตามด้วยรู้สึกหมั่นไส้
หล่อนอดไม่ได้ที่จะพูดค่อนแขวะ “หล่อนไม่ลำบากอย่างที่พวกเธอคิดหรอก ต่อให้หล่อนสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาไม่ได้ อย่างน้อยศาสตราจารย์ฟางก็ยังช่วยให้หล่อนได้เรียนต่อมัธยมปลาย แต่พวกเธอล่ะมีใครบ้าง?”
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของหล่อนนั้นชัดเจนมาก เพื่อนร่วมชั้นได้ยินแบบนั้นแล้วต่างก็มองไปที่หลินม่ายด้วยความสงสัยและประหลาดใจ
บางคนถึงกับส่งสายตาดูถูกเหยียดหยาม
สายตาเหล่านั้นบ่งบอกชัดว่าคนอย่างหลินม่ายนั้นน่ารังเกียจแค่ไหน
หลินม่ายเลิกคิ้วก่อนจะแสยะยิ้มเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง และมองไปยังเด็กสาวที่ชื่อหูต้าหง “ศาสตราจารย์ฟางเขาเป็นแฟนฉัน การที่เขาช่วยเหลือให้ฉันได้เรียนต่อชั้นมัธยมปลายก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าเธอมีความสามารถพอ งั้นก็หาแฟนสักคนที่ดีพอ ๆ กับศาสตราจารย์ฟางสิ แล้วให้เขาช่วยฝากเธอเข้าเรียน จะได้ไม่ต้องมาพูดจาแขวะคนอื่นแบบนี้”
เธอไม่สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดของหูต้าหง ยังคงพูดเหน็บแนมอย่างเจ็บแสบ “เธออิจฉาฉันไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ถึงยังไงฉันก็ช่วยให้เธอสอบเข้าไม่ได้หรอก”
คนที่อกแตกตายเพราะความโกรธไม่จำเป็นต้องชดใช้ เธออาจคิดว่าตัวเองแน่ แต่ฉันแน่กว่า
พอหลินม่ายพูดประโยคเหล่านี้ออกจากปาก เพื่อนร่วมชั้นที่ส่งสายตาดูถูกเธอเมื่อกี้นี้ก็ได้สติกลับคืน
ในเมื่อศาสตราจารย์ฟางเป็นแฟนของหลินม่าย เขาจะสนับสนุนให้เธอได้เรียนต่อก็ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก
แล้วทำไมถึงต้องดูถูกเธอด้วย? เหยียดหยามเธอไปเพื่ออะไรกัน?
มันเป็นแค่การคล้อยตามคำพูดของหูต้าหงเท่านั้น
หูต้าหงจะอิจฉาหลินม่ายก็ช่างเถอะ แต่การที่หล่อนยุยงให้คนอื่น ๆ พลอยเกลียดหลินม่ายไปด้วยนี่หมายความว่ายังไงกัน?
บรรดานักเรียนเห็นว่าหูต้าหงโกรธจนหน้าแดงเพราะถูกหลินม่ายตอกหน้า ก็รู้สึกขบขันและสะใจเอามาก ๆ
หูต้าหงโกรธเป็นฟืนไฟ ยังคงกลอกตาและโต้กลับ “เธอแกล้งป่วยเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ จากนั้นก็จงใจจับศาสตราจารย์ฟาง ล่อลวงให้เขายอมคบกับเธอ เธอทำเรื่องน่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้แล้ว ยังกล้าประกาศสถานะกับเขาอย่างไร้ยางอายอีกเหรอ!”
หลินม่ายสาวเท้าเข้าไปใกล้หล่อนสองก้าว จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เธอตาบอดหรือไง? ไม่เห็นเหรอว่าฉันยังสวยยังสาว ฉันเนี่ยนะต้องลงทุนแกล้งป่วยเพื่อที่จะเข้าหาศาสตราจารย์ฟาง? แค่ฉันยืนอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็แทบจะเหลียวหลังมองตามด้วยความสนใจแล้ว ถามหน่อยเถอะว่าเธอไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน?”
พอพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็หัวเราะสองครั้งก่อนจะโบกมือไปมา “อ้อ! อาจเป็นเพราะหน้าตาเธอจืดชืดเกินไปก็ได้ เลยไม่เคยมีผู้ชายที่ไหนมาคลั่งไคล้ตัวเอง น่าสงสารจังเลยนะ…”
หูต้าหงถูกพูดแทงใจดำครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้หล่อนโกรธจนเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
หลินม่ายหรือจะยอมให้อภัยง่าย ๆ
เธอเปลี่ยนสีหน้ากลับมาจริงจัง ก่อนจะแค่นเสียงข่มขู่ “เธอกล้ามากนะที่ใส่ร้ายว่าฉันพยายามจะจับศาสตราจารย์ฟาง ฉันจะบอกเรื่องนี้กับเขา แล้วให้เขามาจัดการเธอซะ!”
หูต้าหงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
ไม่ว่าหล่อนกับหลินม่ายจะมีปากเสียงกันรุนแรงแค่ไหน หล่อนก็ไม่กลัว
ถึงหลินม่ายจะแก่กว่าหล่อนแค่ปีหรือสองปี แต่ก็ยังนับว่าอายุไล่เลี่ยกัน
เพื่อนย่อมไม่กลัวเพื่อนด้วยกันเอง
แต่ศาสตราจารย์ฟางกลับแตกต่างออกไป เขาแก่กว่าหล่อนหลายปี ไม่ว่าอย่างไรก็นับเป็นเพื่อนไม่ได้
นอกจากนี้เขายังเป็นถึงศาสตราจารย์ ถ้าเขาสอนบทเรียนให้หล่อนขึ้นมาจริง ๆ หล่อนจะทนแบกรับได้อย่างไร!
ขณะเดียวกัน ว่านฮุ่ยก็เดินเข้ามาในห้องเรียน
ราวกับมองเห็นเทวดามาโปรด หูต้าหงรีบชี้นิ้วไปที่หล่อนแล้วพูดเสียงดัง “ฉันเปล่าใส่ร้ายเธอนะ ว่านฮุ่ยต่างหาก หล่อนบอกฉันว่าเธอแกล้งป่วยเพื่อจับศาสตราจารย์ฟาง”
จากนั้นก็ชี้ไปที่เหยียนเหวินเล่อซึ่งเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับว่านฮุ่ย “ฉันไม่ได้โกหกจริง ๆ ถ้าเธอไม่เชื่อฉัน เธอไปถามเหยียนเหวินเล่อได้เลย ตอนนั้นเขาก็อยู่กับฉัน ต้องได้ยินสิ่งที่ว่านฮุ่ยพูดแน่”
สีหน้าท่าทางของว่านฮุ่ยเปลี่ยนไปทันที
หล่อนทั้งตื่นตระหนกและสับสน ก่อนเธอมาถึงที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงมาทับแบบนี้ล่ะ?
ใบหน้าของเหยียนเหวินเล่อมืดมน ถามหลินม่ายว่า “เธอเคยแกล้งป่วยเพื่อจับศาสตราจารย์ฟางจริงไหม?”
หลินม่ายพยักหน้า “ศาสตราจารย์ฟางเป็นฝ่ายจีบฉันก่อน ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าหาเขาด้วยซ้ำ แล้วทำไมฉันต้องลงทุนทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นด้วยล่ะ?”
ใบหน้าเหยียนเหวินเล่อยิ่งมืดคล้ำลงกว่าเดิม จากนั้นก็หันหน้ากลับไปถามว่านฮุ่ยที่กำลังตื่นตระหนก “เธอใส่ร้ายเพื่อนร่วมชั้นหลินม่ายใช่ไหม? ทำไมเธอต้องทำแบบนั้นด้วย?”
ว่านฮุ่ยแอบคิดในใจอย่างโกรธเคือง ใครใช้ให้อีกฝ่ายเป็นเด็กใหม่แล้วกลบรัศมีของฉันจนมิดกันล่ะ ที่ฉันใส่ร้ายหลินม่าย มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น ก็เพื่อที่ฉันจะได้กลายเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนยังไงล่ะ!
แต่แรงจูงใจแอบแฝงเหล่านี้ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้
ว่านฮุ่ยใช้ไหวพริบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว “ฉัน… ฉันไม่ได้ใส่ร้ายเธอนะ ฉันก็ได้ยินคนอื่นเขาพูดมาอีกที”
จากนั้นก็หันมาพูดกับหลินม่ายด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “นักเรียนหลินม่าย ฉันต้องขอโทษด้วย เป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่ควรเชื่อข่าวลือพวกนั้นแล้วเอามาเผยแพร่ไปทั่ว ทำให้เธอต้องเดือดร้อน”
หลินม่ายถามกลับด้วยรอยยิ้ม “เธอขอให้ฉันให้อภัยเธองั้นเหรอ?”
ว่านฮุ่ยพูดอย่างไม่แน่ใจ “แล้วเธอจะไม่ยอมยกโทษให้ฉันเหรอ?”
ดวงตาเรียวเล็กที่มีเปลือกตาแค่ชั้นเดียวนั้นเต็มไปด้วยความคับแค้นและงงงวย ราวกับว่าหลินม่ายกำลังกลั่นแกล้งตัวเองถึงไม่ยอมให้อภัยง่าย ๆ
“ฉันยกโทษให้เธอได้เสมอ แต่เธอต้องบอกฉันมาตามตรงว่าเธอไปฟังข่าวลือพวกนั้นมาจากใคร”
ว่านฮุ่ยพยายามคิดอย่างหนัก แล้วตอบกลับด้วยความรู้สึกผิด “ฉัน… ฉันจำไม่ได้”
หลินม่ายยังคงยิ้ม แต่สายตาของเธอคมกริบเชือดเฉือน “จำไม่ได้เหรอ? เธออ้างว่าตัวเองหลงเชื่อข่าวลือ แต่กลับบอกไม่ได้ว่าไปฟังข่าวลือมาจากแหล่งไหน คิดว่าฉันกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ จะเชื่อหรือไง?”
หลังจากพูดแบบนี้ เธอก็ไม่สนใจว่านฮุ่ยอีก เดินไปยังที่ของตัวเองแล้วหย่อนก้นนั่ง
เหยียนเหวินเล่อมองว่านฮุ่ยด้วยสายตาเย็นชา ในใจเต็มไปด้วยความผิดหวัง “เธอจำไม่ได้ว่าได้ยินมาจากใครงั้นเหรอ? ฉันกลับจำได้ว่าเธออ้างว่าตัวเองได้ยินมาจากเพื่อนวัยเด็กของหลินม่ายที่อาศัยอยู่ข้างห้องของตัวเองนี่ ทำไมเธอไม่กล้าบอกไปตามตรงล่ะ? ฉันว่าเธอเป็นคนแต่งข่าวลือพวกนั้นขึ้นมาเองมากกว่า เธอนี่มันหน้าซื่อใจคดจริง ๆ!”
“ฉันไม่ได้ทำนะ ฉันไม่ได้ทำ ฉันผิดไปแล้ว”
ถึงแม้ว่านฮุ่ยจะปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เหยียนเหวินเล่อก็ไม่สนใจหล่อนอีกต่อไป
เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าหลินม่าย ก่อนจะโค้งคำนับอย่างเคร่งขรึม “ฉันขอโทษนะหลินม่าย ตอนนั้นฉันเองก็หลงเชื่อข่าวลือที่ว่านฮุ่ยแต่งขึ้นเหมือนกัน ฉันขอยอมรับความผิดพลาดนั้นต่อหน้าเธอ”
หลินม่ายยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว คราวหน้าคราวหลังก็อย่าเชื่อข่าวลืออะไรง่าย ๆ อีกก็แล้วกัน”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คิดจะเอาอุบายเด็กมัธยมมาเล่นงานม่ายจื่อมันง่ายไปหน่อยมั้ง ม่ายจื่อเกิดมาแล้วหนึ่งชาตินะ
ไหหม่า(海馬)