เวลาสามสิบนาทีที่กำหนดถูกขยายออกไปโดยไม่คาดคิด หลังจากนั่งชิงช้าวนไปสองสามรอบ เขายังสามารถเล่นม้าหมุน และเล่นเกมยิงปืนได้อีกด้วย
“อะ นี่ครับ”
อีอูยอนยื่นไอศกรีมให้
“ขอบคุณครับ”
อีอูยอนออกมาจากคันทรี่แฟร์และขับรถไปที่ร้านโดนัทบนถนนหมายเลขสี่ และหันมาถามในตอนนั้นเองว่าตนอยากกินอะไร ก่อนจะสั่งของแบบเดียวกันให้
“…คุณอูยอนไม่กินเหรอครับ”
อีอูยอนยกกาแฟของตัวเองให้ดูแทนคำตอบ อินซอบเขินกับการกินไอศกรีมคนเดียวเล็กน้อย และก้มหน้ากัดไอศกรีมกินต่อ
“อร่อยไหมครับ”
“ครับ”
อีอูยอนใช้นิ้วโป้งเช็ดริมฝีปากบนของอินซอบ
“เปื้อนน่ะ”
อีอูยอนเอาไอศกรีมที่เปื้อนนิ้วของตนให้ดูพลางยิ้ม อินซอบรีบกินไอศกรีมทั้งหน้าแดงเรื่อ โชคดีที่เขารู้สึกว่าความร้อนวูบวาบที่เคยพุ่งขึ้นมาจนถึงลำคอหายไปบ้างแล้ว
“คุณเดินเที่ยวเล่นตอนกลางคืนบ่อยไหมครับ”
“ไม่ครับ ไม่บ่อย”
อินซอบส่ายหน้า ไม่บ่อยนักที่อินซอบและเจนนี่จะได้เดินเที่ยวกันในย่านที่คึกคักจอแจ แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะบ้านของเจนนี่เข้มงวด แต่ร่างกายของเขาเองก็อ่อนแอจนมีวันที่ป่วยเยอะกว่าวันที่ไม่ป่วยด้วยเช่นกัน ดังนั้นบางครั้งหากพวกเขาทั้งสองคนแอบออกมาข้างนอกตอนกลางคืนก็จะตื่นเต้นและดีใจราวกับได้ผจญภัย
“แต่ความชำนาญที่เห็นไม่ใช่ของคนที่ปีนหน้าต่างออกมาแค่ครั้งหรือสองครั้งเลยนะครับ”
“…ผมเล่นแถวบ้านครับ”
อีอูยอนหัวเราะเบาๆ และจิบกาแฟเข้าไปอึกหนึ่ง
“นี่เป็นครั้งแรกเลยครับที่ออกมาตอนดึกขนาดนี้”
“ใส่ชุดนอนออกมาด้วย?”
“ครับ”
ดวงตาที่กลมโตของอินซอบหยีจากการยิ้ม อินซอบกัดไอศกรีมกินอย่างระมัดระวังและพูดต่อ
“เพราะออกมาเที่ยวเล่นแบบนี้ในเวลานี้ ผมเลยรู้สึกเหมือนตัวเองทำเรื่องที่ไม่ดีมากเลยล่ะครับ”
อีอูยอนก้มมองอินซอบ แม้จะสวมเสื้อคลุมอยู่ แต่ก็มองเห็นหัวนมเล็กๆ ผ่านชุดนอนที่หลวมโพรกอย่างวับๆ แวมๆ
“…เป็นอะไรไปครับ”
อินซอบรู้สึกถึงสายตาจึงเอ่ยถาม
“ทำเรื่องไม่ดีจริงๆ กันไหม”
“ครับ?”
อินซอบตกใจเบิกตาโต ดวงตานั้นเป็นดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ และไม่เคยทำสิ่งที่เรียกว่าเรื่องที่ไม่ดีเลยทั้งชีวิต
อีอูยอนที่อยากจะลากอีกฝ่ายไปที่สวนสาธารณะใกล้ๆ และมีเซ็กซ์แบบเอ้าท์ดอร์จนหมดแรงเกิดไม่มีแรงขึ้นมาทันที มันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ต่อให้เขาจะสร้างแผนการอะไรก็ไม่สามารถทำให้ความดีของอินซอบมีตำหนิได้เลย
“ผมจะซื้อไอศกรีมช็อกโกแลตให้อีกอันหนึ่ง คุณกินให้หมดนะครับ กินให้เหมือนกับเป็นคนที่ไม่ดีที่สุดไปเลย”
อินซอบหัวเราะ มันเป็นเสียงหัวเราะที่ไพเราะและนุ่มนวล อีอูยอนยืนถือกาแฟและมองอินซอบอย่างเหม่อลอย พอได้สูดเอาอากาศที่อุ่นนิดๆ ของคืนกลางฤดูร้อนเข้าไป เขาก็รู้สึกจั๊กจี้ในลำคอ
“เอ่อ คุณอีอูยอนครับ”
“ทำไมถึงเรียกอย่างนั้นล่ะครับ มันทำให้คนใจสั่นนะ”
“…ผมขอร้องอะไรสักอย่างได้ไหมครับ”
“อืม จะลองคิดดูแล้วกัน”
พออีอูยอนจงใจยิ้มอย่างแกล้งเล่นและตอบรับ ดวงตาของอินซอบก็สั่นไหว
ฉิบหาย ถ้าคุณสั่งให้ตายที่นี่เดี๋ยวนี้ ผมก็คงจะตาย คุณโคตรจะสวยจริงๆ ให้ตายสิ
อีอูยอนถามว่า “อะไรเหรอครับ”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ”
อินซอบพูดอ้อมแอ้มและก้มหน้า อินซอบที่หงอยลงไปในทันทีนั้นน่ารักจนเขารู้สึกจั๊กจี้ในท้อง
“เรื่องอะไรล่ะ พูดให้ผมฟังหน่อยสิครับ”
อีอูยอนยื่นหน้าเข้าไปหาอินซอบพลางเอ่ยถาม พอเขาตื๊อถามว่า “นะ? นะ?” อีกหลายครั้งเข้า อินซอบก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น” และเงยหน้าขึ้นมา
***
“…ขอโทษครับ”
“เรื่องอะไรเหรอ”
อีอูยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ อินซอบเอ่ยถาม
“คุณไม่ชอบที่แบบนี้แท้ๆ แต่…”
อินซอบกระซิบด้วยเสียงเล็กๆ มันคือความจริง เขาเกลียดโบสถ์ เขาไม่เคยมาที่โบสถ์ด้วยความตั้งใจของตัวเองนอกเสียจากใครสักคนจะตาย แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากมาเพราะใครสักคนตายด้วย
“ไม่เป็นไรครับ รีบอธิษฐานเถอะ”
คำพูดที่อินซอบผู้เอ่ยปากพูดได้อย่างยากลำบากพูดคืออยากไปโบสถ์แถวนี้ ดูเหมือนเขายังติดใจกับการที่ไม่สามารถอธิษฐานให้จบได้เพราะเกิดเป็นลมในวันที่มีพิธีศพเสียก่อน และอีอูยอนก็รับฟังคำขอของอินซอบด้วยความยินดี
ภายในโบสถ์ตอนกลางดึกไม่มีใครอยู่เลยสักคน
อินซอบจับจองที่นั่งตรงมุมโบสถ์ เขานั่งประสานมือและเริ่มอธิษฐาน อีอูยอนนั่งอยู่ข้างๆ และจ้องมองอินซอบที่อธิษฐาน ริมฝีปากเล็กนั่นขยับทุกครั้งที่กระซิบอะไรบางอย่าง
เขาเคยได้ยินว่าถ้าคบกันไปนานๆ ตาที่เคยมืดบอดในตอนแรกจะสว่างขึ้น แต่ทำไมเขาถึงไม่เบื่อง่ายๆ แม้จะคบกันมาหลายปีแล้วล่ะ ไม่สิ ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งดูสวยหรือเปล่า แม่งเอ๊ย
อินซอบที่รับรู้ได้ถึงสายตาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
อินซอบเอ่ยถาม
“อะไรเหรอครับ”
อีอูยอนที่นั่งพิงเก้าอี้ในโบสถ์หันกายไปหาอินซอบพลางถามกลับ
“คุณมองผมอยู่ตลอดเลย…อยากจะพูดอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่ได้มองนี่”
อีอูยอนยิ้มอย่างหน้าตาเฉยและตอบกลับ อินซอบใช้ปลายนิ้วดันแขนของอีอูยอนเบาๆ และทำให้หันกลับไปมองด้านหน้าพร้อมกับบอกว่า “อย่าแกล้งสิครับ”
เขาไม่ได้แกล้ง แต่กำลังคิดไม่ดีอยู่ต่างหาก
อีอูยอนเท้าคางและมองอินซอบที่กำลังอธิษฐานนิ่งๆ
บางทีอาจจะเป็นเพราะใส่ชุดนอน อีกฝ่ายจึงดูเด็กกว่าปกติ ขนอ่อนตรงติ่งหูสะดุดตาเป็นพิเศษ นิ้วมือที่ประสานกัน ริมฝีปากที่ขยับทุกครั้งที่พูดบทสวดซ้ำๆ ขนตายาวที่เรียงตัวชิดกันเป็นแพ รอยกระจางๆ และหัวนมกับหน้าท้องที่มองเห็นผ่านชุดนอนหลวมๆ
หน้าท้องที่แบนราบจะปรากฏรูปร่างของแก่นกายให้เห็นอย่างง่ายดายเมื่อสอดใส่แก่นกายที่แข็งตัวอย่างเต็มที่เข้าไป และหากเขากระซิบพร้อมกับใช้ฝ่ามือกดมันเอาไว้ อินซอบก็จะร้องไห้ออกมาในที่สุดด้วยใบหน้าที่งดงามอย่างมาก
อีอูยอนค่อยๆ กลืนน้ำลาย
บอกว่ารู้สึกเหมือนทำเรื่องไม่ดี เพราะใส่ชุดนอนและกินไอศกรีมในเวลานี้อย่างนั้นเหรอ งั้นเรามาทำเรื่องที่ไม่ดีจริงๆ กันได้หรือเปล่าล่ะ ถ้าเป็นการมีเซ็กซ์ในโบสถ์ก็น่าจะดีนะ
อีอูยอนใช้สายตาคาดคะเนเก้าอี้ตัวยาวของโบสถ์อย่างคร่าวๆ มันมีขนาดพอดีกับการจับอินซอบนอนและสอดใส่เข้าไป
“…ห้ามแกล้งนะครับ”
อินซอบลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมามองอีอูยอนและกำชับอีกครั้ง
“ไม่แกล้งครับ”
อีอูยอนจงใจทำหน้าตาจริงจังและเอ่ยตอบ อินซอบจึงเริ่มอธิษฐานอีกครั้ง
พูดอะไรกับคนตายยาวขนาดนั้นน่ะ
อีอูยอนมองอินซอบโดยไม่พูดอะไร และใช้นิ้วจิ้มแก้มของอีกฝ่าย อินซอบขมวดคิ้วพลางลืมตาขึ้น
“ปกติคุณอธิษฐานยาวขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“ขอโทษครับ เกือบจะเสร็จแล้วล่ะครับ”
“พูดอะไรเหรอ”
“ครับ?”
“ผมถามว่าพูดอะไรขณะอธิษฐานเหรอครับ”
เขาไม่เคยสงสัยว่าคนอื่นมองโลกอย่างไรมาก่อน เขาคิดแค่ว่ามันเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยสมองที่คิดต่างกันไป แต่เขากลับสงสัยในความคิดของอินซอบอยู่บ่อยๆ
พอเห็นว่าอินซอบเบิกตาเล็กน้อย เพราะเป็นคำถามที่คาดไม่ถึง ก่อนจะค่อยๆ เผยยิ้ม
“ผมขอบคุณน่ะครับ”
“คนตาย แต่คุณขอบคุณเหรอครับ”
“เปล่าครับ หมายถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันคนคนนั้นน่ะครับ ผมบอกว่าขอบคุณที่ทำให้ได้เจอกันและอธิษฐานครับ”
มีสิ่งที่เขาได้รู้ขณะใช้ชีวิตร่วมกันอินซอบมาหลายปี ความดีของอินซอบไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเอาชนะได้ และไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถเลียนแบบหรือมีได้ด้วย
“ผมกำลังพูดขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคุณยาย ขอบคุณที่คุณยายรักผม…และขอบคุณที่เป็นครอบครัวให้ผมในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ครับ และผมก็อธิษฐานให้ครอบครัวมีความสุขและแข็งแรง”
บางครั้งเขาก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งอย่างสมบูรณ์ในโลกที่อินซอบแสดงให้เห็น ครอบครองทุกพื้นที่โดยไม่มีช่องว่างแม้แต่ช่องเดียว…
“…จะอยู่ที่นี่ไหมครับ”
“ครับ?”
“อยู่ที่อเมริกาสักพักดีไหมครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แม้เมื่อกี้จะเป็นคำถามที่เอ่ยถามอย่างไม่จริงจังนัก แต่คราวนี้เป็นคำถามที่จริงจัง อินซอบอ่อนไหวกับความเครียดเป็นพิเศษ นี่เป็นคำพูดที่เขาได้ยินจนเบื่อทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล แม้จะอยากจับครอบครัวที่เกาะติดกับอินซอบโดยธรรมชาติแยกออกมา แต่เขาก็อยากให้อีกฝ่ายได้พักในที่ที่รู้สึกสบายใจจนกว่าจะจัดการกับความเศร้าได้
“ไม่ครับ ผมจะกลับเกาหลี”
อินซอบส่ายหน้า
“ผมไม่เป็นไร คุณใช้เวลากันครอบครัวสักพักเถอะครับ”
แม้จะทำให้รู้สึกไม่ดี แต่คำพูดที่แอรอนพูดนั้นถูกต้อง มันมีความสัมพันธ์ที่มีแค่ครอบครัวเท่านั้นที่สามารถเติมเต็มได้ ตัวเขาซึ่งขาดความสามารถในการรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นไม่สามารถปลอบอินซอบได้เลย และอินซอบต้องได้รับการปลอบโยนจากครอบครัว
“…คุณอีอูยอนก็เป็นครอบครัวของผมนะครับ”
อินซอบเอ่ยแย้งเล็กน้อย ริ้วสีแดงปรากฏบนแก้มของเขา พออีอูยอนไม่ตอบอะไร อินซอบหันหน้าไปอย่างลุกลี้ลุกลนและพึมพำราวกับแก้ตัว
“ถะ ถึงจะยังไม่ใช่ แต่ผมรู้สึกแบบนั้นครับ”
เสียงระฆังของโบสถ์ที่บอกเวลาดังขึ้น
ความรู้สึกของคนไม่ใช่สิ่งที่สามารถแยกแยะและตัดสินได้อย่างชัดเจน เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองมีใจให้ชเวอินซอบตั้งแต่ตอนไหน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงชอบ
แต่เขาก็รู้สึกถึงช่วงเวลาที่ตกหลุมรักได้ทุกครั้ง
เขารับรู้ถึงความรู้สึกแปลกๆ ที่เห็นอีกฝ่ายที่อยู่ตรงหน้าสวยขึ้นทุกครั้งที่กะพริบตา ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำสีหน้าอย่างไร และได้แต่มองอีกฝ่ายราวกับคนโง่ และความเจ็บปวดที่ซับซ้อนเกินบรรยายที่รู้สึกในอกเพราะท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่าย
“อินซอบ”
อินซอบเงยหน้าเพราะการเอ่ยเรียกที่แผ่วเบาของอีอูยอน
“คุณแต่งงานกับผมวันนี้ได้ไหม”
หลังจากถูกขอแต่งงาน ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ แม้จะสามารถมาอเมริกาและจัดการเอกสารต่างๆ ได้ และไปที่ไหนก็ได้ตอนนี้เพื่อจัดงานแต่งงาน แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
หลังจากพูดความรักลึกซึ้งที่เอ่อล้นขึ้นมาออกไป อีอูยอนก็กัดริมฝีปากที่แห้งผากเบาๆ
จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ ชเวอินซอบกับคนอย่างเรา…
“ครับ”
คำตอบที่ไม่มีความลังเลใดๆ ถูกส่งกลับมา อินซอบให้คำตอบอย่างชัดเจนราวกับอ่านความกังวลใจของอีอูยอนออก อีกฝ่ายทำให้ตนอยู่ในโลกของความกังวลใจแบบนั้นทุกครั้ง
“แต่งครับ”
อินซอบพยักหน้าพลางเอ่ยตอบอีกครั้ง เขากำมือที่มีเหงื่อซึมและกางออก จากนั้นก็รู้สึกถึงสัมผัสของโลหะที่สวมอยู่ที่นิ้วก้อย และตอนนี้ก็คุ้นชินกับมันแล้ว อีอูยอนหัวเราะและจับมือของอินซอบไว้