เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเรียนในหอสามัญได้ไม่ทันไรจะมีความรอบรู้ถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
ยิ่งกว่านั้น ต่อให้นางจะเป็นผู้ชนะในการประลองยุทธ์ แต่นางก็เป็นคนไร้ค่าแห่งเมืองหลวงที่คนเขาเล่าลือกันมิใช่หรือ ดูจากปฏิกิริยาตอบสนองของนางแล้ว นางดูไม่เหมือนกับศิษย์ใหม่ที่ไม่รู้อะไรเลย
ตู๋ซูเฟิงตระหนักถึงเรื่องนี้ได้เช่นกัน เขาใช้ดวงตาคู่นั้นมองนางกลับไป แล้วกล่าวด้วยเสียงอันอบอุ่นว่า ”ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าเจ็ดไม่เป็นอะไรแล้ว”
เขารู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นกังวลเรื่องอะไรอยู่
จากนั้นเขาก็อธิบายต่อ ”เด็กคนนี้กลัวน้ำมาตั้งแต่เด็ก พออาเจวี๋ยรู้เรื่องเข้า เขาก็ดำลงไปในทะเลลึกเพื่อนำเอาแกนกลางมังกรมาให้เขา”
แกนกลางมังกรเป็นแกนกลางของเทพมังกร มันสามารถยกระดับพลังปราณของมนุษย์ให้เพิ่มขึ้นได้ และบางครั้งก็ยังทำหน้าที่ช่วยชีวิตยามเมื่ออยู่ใต้น้ำได้อีกด้วย
แม้เขาจะจมน้ำเป็นเวลานาน แต่ตราบใดที่สามารถพาตัวเขาขึ้นมาจากน้ำได้ อวัยวะภายในของเขาก็จะไม่ได้รับความเสียหาย และจะกลับมาแข็งแรงมีชีวิตชีวาหลังจากขับน้ำที่อยูในตัวออกมาได้ทันเวลา
แต่เมื่อดูจากท่าทางไม่มีชีวิตชีวาของเจ้าเจ็ดแล้ว ก็รู้ว่าเขาเกลียดการอยู่ใต้น้ำมากเพียงใด เขาบ้วนน้ำออกมาอีกสองอึกติดต่อกัน และดูไม่พอใจยิ่งนัก ”ไม่เห็นมีปลาเลย!”
เอ่อ…
“ในอุโมงค์จะมีปลาได้อย่างไรกัน” ตู๋ซูเฟิงเริ่มรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยเบะปาก แล้วพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”แกนกลางมังกรไม่อร่อยเท่าเนื้อมังกรขอรับ”
“เจ้าเคยกินเนื้อมังกรมาก่อนหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางโน้มตัวลงไปจัดผมสีดำของเด็กชายที่เปียกโชก
เจ้าเจ็ดส่งเสียงตอบรับในลำคอ ”ตอนนั้นพี่สามลากมังกรกลับมาด้วยขอรับ ข้ากินเนื้อของมันอยู่หลายวันเลยทีเดียว เนื้อของมันอร่อยมากๆ เลยขอรับ!”
ลากมังกรกลับมาด้วย…
ลากมังกรกลับมาด้วยอย่างนั้นหรือ!?
ภาพเหตุการณ์ราวกับอยู่ในภาพเขียนปรากฏขึ้นตรงหน้าของทุกคนทันที องค์ชายสามในชุดเสื้อคลุมแขนยาวดูสูงส่งและสง่างามกำลังลากมังกรจากใต้ทะเลลึกขึ้นมาบนพื้นดิน โดยมีหยดน้ำนับล้านนับพันหยดสาดกระเซ็นเป็นเบื้องหลัง และไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้แม้แต่คนเดียว
“สมกับเป็นองค์ชาย” อวิ๋นปี้ลั่วยิ้มอย่างอ่อนหวาน แล้วหันหน้าไปสบตากับเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจนาง นางสางเส้นผมสีดำที่ปรกอยู่บนหน้าผากของตัวเองกลับไปด้านหลังด้วยท่าทางหล่อเหลา เผยให้เห็นใบหน้าเมล็ดแตงโม[1] นางกำลังคิดว่าความจริงแล้วนั่นก็เป็นวิธีการที่ตรงกับลักษณะนิสัยขององค์ชายสามยิ่งนัก เขาไม่ได้ทำเพียงแค่ล้างบางรังมังกร แต่ยังถึงขนาดลากมันขึ้นมาจากทะเล แล้วพากลับบ้านอย่างเย่อหยิ่งด้วย ต่อให้เขามีกิเลนอัคคีเป็นสัตว์พาหนะ แต่เขาก็ไม่ควรทำตัวอหังการถึงเพียงนั้น
แล้วในอนาคตพวกนางจะดำลงไปใต้ทะเลลึกได้อย่างไร
พวกนางคงได้ถูกสับเป็นชิ้นๆ ภายในเวลาไม่กี่นาทีแน่…
ปฏิกิริยาแรกของหานอวี้ตอนที่เขาได้ยินเรื่องของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคือการเยาะยิ้มอย่างเย็นชา
ตู๋ซูเฟิงมองคบไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ในมือของเขา ”อีกไม่นานฟ้าก็คงจะสว่าง คราวนี้พวกเจ้ากลับไปนอนกันจริงๆ ได้แล้ว แต่แน่นอนว่าการทดสอบนี้ยังไม่สิ้นสุด ข้าตั้งตารอที่จะได้เห็นสมรรถภาพของพวกเจ้าในการทดสอบรอบถัดไปอยู่”
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกนางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และพาร่างอันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของตนกลับไปที่หอของตัวเองเสียที
“ท่านเจ้าสำนัก” เฮ่อเหลียนเวยเวยเรียกตู๋ซูเฟิงหลังจากที่เห็นว่าทุกคนกลับไปแล้ว
ตู๋ซูเฟิงหันกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ”มีอะไรหรือ เจ้ายังสงสัยอะไรอยู่อีกหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจับมือเด็กชายเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปหาเขา ”ข้าอยากถามท่านเกี่ยวกับการทดสอบรอบแรกสักหน่อย ทุกคนต้องสู้กับสัตว์อสูรลมกรดเหมือนกันหมดหรือ”
“ใช่แล้ว” น้ำเสียงของตู๋ซูเฟิงนั้นอบอุ่น ”การทดสอบจะเริ่มจากง่าย และค่อยๆ ยกระดับความยากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เจ้าสามารถปรับตัวได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง ”แต่สิ่งที่ข้ากับเจ้าเจ็ดเจอไม่ใช่อสูรลมกรด แต่เป็นสัตว์อสูรลวงตา”
“สัตว์อสูรลวงตาหรือ?!” ตู๋ซูเฟิงขมวดคิ้วแน่น ”พวกข้าไม่ได้นำสัตว์อสูรประเภทนั้นมาใช้ในการทดสอบนี้ อย่าว่าแต่การทดสอบระดับแรกเลย แม้กระทั่งในระดับที่สูงขึ้นไป พวกข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่พวกข้าควบคุมไม่ได้แน่” มันต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”ข้าก็ไม่คิดว่าสัตว์อสูรประเภทนั้นควรจะอยู่ในสำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทดสอบของหน่วยพิฆาตวิญญาณ”
ความหมายของนางนั้นชัดเจนยิ่งนัก และแน่นอนว่าคนฉลาดอย่างตู๋ซูเฟิงย่อมเข้าใจความหมายของนาง สายตาของเขาดำทะมึน ”ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน หน่วยพิฆาตวิญญาณไม่ควรมีปัญหาภายในเกิดขึ้น”
ทุกครั้งที่ความมืดยามค่ำคืนจางหาย และดวงตะวันฉายแสงขึ้นทางทิศตะวันออก ย่อมนำมาซึ่งความสับสนวุ่นวายเสมอ
ท่ามกลางพุ่มไม้ที่มีขนาดแตกต่างกันไปนั้น
สัตว์อสูรลวงตาเอนตัวเข้าหาขาของชายคนหนึ่ง มันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ”นายท่านขอรับ”
“ทำไม ภารกิจล้มเหลวหรือ” ชายคนนั้นมองมัน แล้ววางหมากในมือของตนลงบนกระดานหมากรุก
“สมกับเป็นนายท่าน มิมีสิ่งใดที่นายท่านมิรู้” สัตว์อสูรลวงตากล่าวประจบประแจง และเอ่ยต่ออย่างระมัดระวังว่า ”ผู้หญิงคนนั้นดูประหลาดทีเดียว แต่ข้าก็บอกไม่ได้ขอรับว่าทำไม แต่อย่างไรนางก็ฆ่าพี่น้องของข้าไป ข้าจะไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่! เมื่อถึงเวลานั้น…”
ฟุ่บ!
ก่อนที่สัตว์อสูรลวงตาจะพูดจบ มันก็ต้องกลัวจนหัวหดเมื่อเห็นหมากตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาหา มันตัวแข็งค้างอยู่กับที่ ”นาย นายท่านขอรับ...”
“ข้าสั่งให้เจ้าทำร้ายนางหรือ” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน ดวงตาสีดำของเขาค่อยๆ เรืองแสงขึ้น
สัตว์อสูรลวงตาเห็นชายคนนั้นจ้องมาที่ตัวเองอย่างเย็นชาราวกับงูที่เปี่ยมด้วยพิษร้าย เจ้าสัตว์อสูรถึงกับไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
สัตว์อสูรลวงตาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ใบหน้าของมันซีดเผือด มันไม่กล้าขยับกรงเล็บสีดำของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
ท่ามกลางค่ำคืนมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ มีเพียงแค่ดวงตาสุกใสราวกับอัญมณีของชายคนนั้นเท่านั้นที่กระจ่างชัด ”ตามสัตว์อสูรลวงตาทั้งหมดมา ในเมื่อสัตว์อสูรตัวสองตัวทำอะไรนางไม่ได้ แต่หากเป็นทั้งฝูงก็คงสามารถทำอะไรได้บ้างกระมัง ในไม่ช้าสำนักไท่ไป๋จะให้ลูกศิษย์เรียนการอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง เมื่อถึงเวลานั้นค่อยลงมือ”
“แล้วแม่นางอวิ๋นล่ะขอรับ” สัตว์อสูรกางกรงเล็บของมันออก
ชายคนนั้นวางหมากลงบนตำแหน่งที่มันสมควรอยู่บนกระดานนั้นอย่างเงียบๆ ”นางเองก็มีสิ่งที่นางจำเป็นต้องทำ อีกอย่าง บอกนางด้วยว่าถ้านางอยากได้ตัวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไปก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทำลายแผนการของข้าก็พอ”
“ขอรับ” เงาดำทะมึนของสัตว์อสูรตนนั้นทาบทับลงบนผืนดิน ”แต่ถ้าพวกข้าออกจากป่าวิญญาณไปเป็นจำนวนมากละก็ ในไม่ช้าคนจากหน่วยพิฆาตวิญญาณคงจะสังเกตเห็นความผิดปกตินี้แน่ จากนั้นราชวงศ์ก็จะตามล่าและสังหารพวกเรานะขอรับ”
ชายคนนั้นวางหมากที่เขากำจัดได้ไว้ข้างกระดาน ”ราชวงศ์ต้องรับมือกับสี่ตระกูลใหญ่ พวกเจ้ากลัวอะไรหรือ”
“แต่องค์ชายสามที่เป็นเชื้อพระวงศ์มีกิเลนอัคคีติดตามรับใช้นะขอรับ หากมันปรากฏตัวขึ้น พวกข้าทุกตนคงได้จบสิ้นแน่ อีกอย่าง…” สัตว์อสูรดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ มันตัวสั่นระริก ”นายท่านขอรับ ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับว่าพวกเราเคยแพ้คนคนนั้นตอนที่ท่านยังเด็ก ดังนั้น…”
ตุ้บ
เขาวางหมากสีดำลงบนกระดาน
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้น มีเพียงปลายคางของเขาเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็นภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ”อย่าลืมว่าในตอนนั้นข้ายังไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้น ยิ่งกว่านั้น อวิ๋นปี้ลั่วก็สามารถถ่วงกำลังเขาไว้ได้ด้วย”
จริงด้วย! ดวงตาของสัตว์อสูรลวงตาเป็นประกายพร้อมกับเงาที่เคลื่อนไหวไปมา ”นายท่านพูดถูกแล้วขอรับ ข้าคิดมากจนเกินไป ข้าจะไปเรียกพวกมันทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
ชายคนนั้นพยักหน้า ความมืดมิดอันเงียบงันเป็นราวกับมือที่มองไม่เห็น มันกลืนกินทุกสิ่งไปอย่างเงียบเชียบ…
—————————
[1] ใบหน้าเมล็ดแตงโม หนึ่งรูปหน้าในอุดมคติของชาวจีน เป็นใบหน้าที่เล็กเรียว คางเชิดแหลมเล็กน้อย โหนกแก้มโค้งมน ใบหน้าเป็นรูปทรงวงรี และอวบอิ่มเหมือนไข่หรือเมล็ดแตงโม