หลังจากขับไล่สาวใช้ทั้งหลายที่อยู่หน้าประตูออกไป หลี่อี๋เหนียงมองดูรอบๆ พบว่าไม่มีใคร นางค่อยเดินเข้าไปในห้อง เมื่อเดินเข้ามานางก็พูดเตือนทั้งสองคน ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คราวหน้าห้ามพูดถ้อยคำเช่นนี้อีก”
ตระกูลจย่าเป็นตระกูลที่สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมดีงามมาจากบรรพบุรุษ แม้จย่าหว่านรั่วและจย่าหว่านหรูจะเป็นบุตรีอนุภรรยา ทว่าพวกนางล้วนได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว พวกนางก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจพูดพร่ำเพรื่อได้
แม้จะรู้ตื่นลึกหนาบางเป็นอย่างดี แต่การถูกอนุภรรยาตำหนิเช่นนี้สีหน้าของพวกนางก็ไม่สบอารมณ์ ต่างตอบรับด้วยความหงุดหงิด “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่อี๋เหนียงไม่ตำหนิที่พวกนางไร้มารยาท นางรู้ดีว่าตนเป็นเพียงอนุภรรยา พวกลูกๆ เป็นคุณหนู ตนจะมีสิทธิ์ใดไปร้องขอให้พวกนางเคารพตน
เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของทั้งสอง จึงพูดปลอบ “แม้คุณหนูเชียนเสวี่ยจะไม่ให้พวกเจ้าสองคนเข้าไปปรนนิบัติรับใช้ในจวน แต่ก็ไม่ได้ยื่นคำขาด พวกเจ้าทั้งสองยังมีความหวัง อีกไม่กี่วันก็ถึงวันเข้าพิธีปักปิ่นของคุณหนูเชียนเสวี่ยแล้ว นางกำพร้าพ่อแม่ พิธีปักปิ่นย่อมต้องให้ฮูหยินเป็นเจ้าภาพ เมื่อถึงเวลาฮูหยินต้องพาพวกเจ้าไปด้วยแน่นอน พวกเจ้าวางตัวให้ พยายามสนิทสนมกับนาง ไม่อาจทำเหมือนวันนี้ นั่งนิ่งราวกับขอนไม้…ไม่แน่ ในวันนั้นหัวหน้าตระกูลหนิงอาจจะมาด้วยก็ได้…”
ออกจากจวนจย่า ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันเริ่มอ่อนล้า นางจึงให้อาอู่ขับรถม้ากลับจวนกั๋วกง
ผู้คนห้อมล้อมมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ เดินจากประตูจวนไปยังเรือนในด้วยความยิ่งใหญ่
เมื่อเดินไปถึงหน้าเรือนเสวี่ยหว่าน กุ่ยซาหยุดฝีเท้า หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง กอดกระบี่แล้วยืนอยู่ตรงต้นไม้ที่ห่างจากประตูเรือนสิบเมตร
มั่วเหยียนและมั่วสิงนำองครักษ์สองกลุ่มที่พาออกนอกจวน เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปในเรือน แน่นอนว่าย่อมไม่เดินตามนางเข้าไป ทั้งสองมองตากัน พยักหน้าเล็กน้อย แล้วนำคนของตนเดินออกลาดตระเวน
สตรีสองคนที่ติดตามไปด้วย เมื่อกลับถึงเรือนเสวี่ยหว่าน พวกนางก็ทำงานของตนอย่างรู้หน้าที่
มั่วเชียนเสวี่ยเดินอย่างอรชร นอนพิงอยู่บนตั่งไม้ภายในห้องหลักของเรือนใน มั่วเหนียงออกคำสั่งกับพวกสาวใช้ “คุณหนูใหญ่เหนื่อยแล้ว พวกเจ้าไปพักเถอะ”
“เจ้าค่ะ” ชูอีสืออู่และสาวใช้ทั้งสี่คนทำความเคารพพร้อมกันขณะที่พวกนางกำลังจะเดินออกไป แต่ทันใดนั้นเอง มั่วเชียนเสวี่ยกลับเด้งตัวลุกขึ้นนั่งกะทันหัน แววตาของนางทอประกายระยิบระยับ พูดเสียงดัง “ช้าก่อน”
มีคำพูดบางอย่างที่นางไม่อาจพูดบนรถม้า แต่เมื่อกลับถึงจวนแล้ว ต้องพูดให้ชัดเจน
มั่วเหนียงพูดด้วยความฉงน “คุณหนูใหญ่มีอะไรให้รับใช้หรือเจ้าคะ”
มั่วเหนียงพูดบ่นอยู่ในรถม้านานครึ่งค่อนวัน แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับเงียบ นางจึงเข้าใจว่ามั่วเชียนเสวี่ยเหนื่อยแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงหยุดพูด
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม “หมัวมัว ท่านพ่อและท่านแม่รักใคร่กันหรือไม่” มั่วเชียนเสวี่ยถามขึ้นกะทันหันเช่นนี้ ไม่ใช่มั่วเหนียงเท่านั้นที่ตกตะลึง บรรดาสาวใช้ก็ดวงหน้าแดงระเรื่อเช่นเดียวกัน
มั่วเหนียงดึงสติกลับมา ดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ “คุณหนูใหญ่ เรื่องนี้ต้องให้บ่าวพูดด้วยหรือ คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้ดี สามีภรรยาที่รักใคร่กันมากที่สุดในใต้หล้าคือท่านกั๋วกงและฮูหยินเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยถามอีก “ท่านพ่อเคยมีอนุภรรยาหรือไม่”
มั่วเหนียงไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูของตนจึงถามเรื่องเหล่านี้ ส่ายหน้าด้วยความฉงน “ไม่เคยมีเจ้าค่ะ”
แม้กระทั่งมั่วเหนียงยังไม่รู้เจตนาของมั่วเชียนเสวี่ย นับประสาอะไรกับชูอีสืออู่และสาวใช้ทั้งสี่คน แค่ว่าคุณหนูไม่ได้ถามพวกนาง ทั้งยังไม่ให้พวกนางออกไป จึงทำได้เพียงกัดฟันยืนด้วยความเคารพอยู่ด้านล่างเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงฟังคุณหนู
มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้ว ความขุ่นเคืองแล่นผ่านดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ย “เช่นนั้น หมัวมัวอยากให้เชียนเสวี่ยมีความสุขหรือไม่”
มั่วเหนียงไม่รู้ว่าตนทำผิดอย่างไร แต่นางไม่ใช่คนโง่ เมื่อคิดเชื่อมโยงดูแล้วนางก็รู้ว่าเพราะเหตุใดมั่วเชียนเสวี่ยจึงหงุดหงิด นางรู้สึกน้อยอกน้อยใจทันที
“คุณหนูใหญ่พูดอะไรกันเจ้าคะ บ่าวคิดเผื่ออนาคตของคุณหนู บ่าวปรารถนาที่จะให้คุณหนูมีความสุข ปรารถนาที่จะให้คุณหนูสุขภาพแข็งแรงและมีชีวิตที่สงบสุข”
ครุ่นคิดดูแล้วมั่วเหนียงเป็นคนที่จงรักภักดีอย่างแท้จริง มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้ว พูดชักนำด้วยความใจเย็น “หากท่านพ่อมีอนุภรรยา จวนกั๋วกงมีสตรีอื่นเข้ามาในจวน เช่นนั้นความรักของพวกท่านจะแน่นแฟ้นหรือไม่ ท่านแม่จะยังมีความสุขหรือไม่…”
มั่วเหนียงคล้ายจะเข้าใจความหมายของมั่วเชียนเสวี่ย นางก้มหน้าลงไม่พูดสิ่งใด
หากวันนั้นไม่ใช่เพราะท่านกั๋วกงหนักแน่น แล้วฮูหยินก็หาอนุภรรยามาให้ท่านกั๋วกงจริงๆ เช่นนั้นท่านกั๋วกงก็ย่อมไม่อาจอยู่ในเรือนของฮูหยินตลอดทุกคืนวัน ฮูหยินต้องเศร้าโศกมากแน่นอน จวนกั๋วกงก็คงไม่สงบสุข
นอกจากนี้ ฮูหยินก็มีคุณหนูใหญ่เพียงคนเดียว หากหญิงชั้นต่ำที่รับมามีบุตรชาย เช่นนั้นผลที่ตามมายากจะคาดการณ์
มั่วเหนียงรู้สึกละอายเล็กน้อย นางพบว่าตนมองข้ามเรื่องสำคัญ
นางปรารถนาที่จะให้คุณหนูอยู่ในตระกูลหนิงอย่างมั่นคง ทั้งยังปรารถนาที่จะให้คุณหนูของตนเป็นที่ยอมรับของตระกูลหนิงหลังจากแต่งเข้าตระกูล แต่กลับลืมไปว่าสิ่งที่คุณหนูต้องการมากที่สุดคือ…ความสุขและความรัก
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นสีหน้าเสียใจของมั่วเหนียง นางอารมณ์เย็นลงเล็กน้อย
“เซ่าชิงเคยบอกว่าชีวิตนี้จะมีข้าเพียงคนเดียว ถึงแม้ตอนพูดประโยคนี้ จะเป็นตอนที่อยู่ในหมู่บ้านหวังจยา ทว่า สุภาพชนให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญา!”
ทันทีที่นางพูดออกไป มั่วเหนียง ชูอีและสืออู่ที่ทราบเรื่องต่างตกตะลึง สีหน้าของสาวใช้ทั้งสี่คนก็ยิ่งชวนมอง
มั่วเชียนเสวี่ยพูดต่อ “แน่นอน ข้าเองก็รู้ดีว่าวันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว ด้วยตำแหน่งของเขาในตอนนี้ การที่จะมีข้าเพียงคนเดียวเป็นเรื่องยากยิ่งนัก แต่ข้าเชื่ออย่างสุดซึ้งว่า แม้วันข้างหน้าจะถูกบีบให้รับอนุภรรยา ข้าก็เชื่อใจเขา เชื่อว่าเขาจะต้องให้คำอธิบายที่ดีกับข้าอย่างแน่นอน ชื่อเสียงของกุลสตรีต่างๆ เป็นเพียงของนอกกายที่ให้คนไม่เกี่ยวข้องดูเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับข้า แล้วมีประโยชน์กับข้าอย่างไร สำหรับเรื่องตำแหน่ง ในใจของเซ่าชิงมีข้า ยืนอยู่ข้างข้า เช่นนั้นข้าย่อมมีทุกอย่าง หากใจเขาไม่มีข้า ข้ามั่วเชียนเสวี่ยจะเอาตำแหน่งในตระกูลหนิงไปเพื่อการใด ทั้งยังต้องอาศัยสตรีอื่นมาทำให้ตนถูกรักเนี่ยนะ ช่างน่าตลกยิ่งนัก! ความรักที่ได้มาด้วยวิธีการเช่นนี้ มีความจริงใจเท่าใดกัน”
พวกบุรุษลวงโลก ปากบอกว่ารักและเคารพภรรยาเอก แต่ยามค่ำคืนกลับขยันไปหาสตรีอื่น…
แค่เพียงคิดถึงเรื่องเหล่านี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็รับไม่ได้แล้ว สีหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน หากมีวันนั้นจริงๆ หากหนิงเซ่าชิงนอนในเรือนของสตรีอื่น นางยินดีที่จะสละหนิงเซ่าชิง แล้วใช้ชีวิตในแบบที่ตนต้องการตามลำพัง ไม่มีทางที่จะอดทนไปวันๆ อย่างแน่นอน
เพียงนึกถึงว่าหากมีวันนั้นจริงๆ ตนต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เบื้องหลังสีหน้าเย้ยหยันนี้ กลับเป็นความเศร้า
โลกประหลาดบ้านี้ ไม่ให้คนมีชีวิตที่ดี และยังไม่ให้คนได้ครองรักกัน
มั่วเชียนเสวี่ยน้ำตาคลอเบ้า ความเศร้าแผ่ซ่านอย่างน่าประหลาดใจ ทำให้ทุกคนในห้องต่างเศร้าไปด้วย มั่วเหนียงตื่นจากภวังค์ แต่ไม่รู้ว่าควรปลอบคุณหนูอย่างไร
มั่วเชียนเสวี่ยกัดฟันแน่นและกลั้นน้ำตาเอาไว้ “ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เขาไม่ได้เป็นฝ่ายขอมีอนุภรรยา เหตุใดข้าต้องทำเรื่องเช่นนั้นแล้วสร้างปัญหาให้เขา ทั้งยังสร้างเรื่องให้ตนด้วย เปิดโอกาสให้ผู้อื่น….ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ขอเพียงคิดอยากจะใช้สามีร่วมกับข้า คนนั้นก็คือศัตรูของข้า ปณิธานในชีวิตนี้ของข้าคือ มีความรักเช่นเดียวกับท่านพ่อและท่านแม่…ครองคู่กันชั่วนิรันดร์”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” พูดจบ มั่วเหนียงคุกเข่าลง สีหน้าเคร่งขรึม คล้ายกำลังกล่าวคำสาบาน “ชีวิตนี้ บ่าวขอเพียงคุณหนูใหญ่มีความสุข ปรารถนาเพียงคุณหนูใหญ่มีความสุข จะไม่มีวันสนใจความคิดและสายตาของผู้อื่นอีก จะไม่ทำความผิดเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ ผู้ใดมีความคิดที่ไม่ควร จะได้เห็นดีกับบ่าวแน่”