อวิ๋นปี้ลั่วควบคุมอารมณ์ของตน แล้วค่อยๆ เดินไปยังลานกลางสำนัก
ลูกศิษย์จากหอทั้งสี่คือหอชั้นเลิศ หอชั้นเยี่ยม หอชั้นดี และหอสามัญต่างมารวมตัวกันที่ลานกลางสำนัก
ภาพนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยนึกถึงหนังเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่นางเคยดูสมัยยังเด็ก โดยเฉพาะวันนี้ที่พวกนางจะได้ทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
ลูกศิษย์ทุกคนสวมเสื้อสีเขียวทับด้วยเสื้อคลุมสีขาว พวกเขายืนเรียงแถวต่อกันโดยแบ่งตามหอของตน
อาจารย์ทุกคนยืนอยู่ด้านหน้า พวกเขากำลังอธิบายสิ่งที่จำเป็นให้ลูกศิษย์ทั้งหลายฟังอย่างละเอียด
ไม่ว่าอย่างไรสัตว์เหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ หากพวกมันเกิดโมโหขึ้นมา พวกมันจะก้าวร้าวและสามารถทำอันตรายพวกเขาได้
ดังนั้นการฝึกฝนพวกมันให้เชื่องจึงเป็นหนึ่งในทักษะที่ท้าทายและสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยพาองค์ชายเจ็ดตัวน้อยไปส่งที่ที่ศิษย์คนอื่นๆ จากหอชั้นเลิศอยู่ก่อนเป็นอันดับแรก
ทันทีที่อวิ๋นปี้ลั่วมาถึง นางก็สังเกตเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยได้อย่างรวดเร็ว นางเดินเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย นางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยดวงตาปราศจากความลังเล แล้วกระซิบบอกนางด้วยเสียงที่สามารถได้ยินกันเพียงแค่สองคนว่า ”ได้ยินมาว่าตอนนี้องค์ชายอยู่ในสำนักไท่ไป๋”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักฝีเท้าลงอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นนางก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นปี้ลั่ว แล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”แล้วอย่างไรหรือ”
“ข้าก็แค่อยากบอกเจ้าเท่านั้น” อวิ๋นปี้ลั่วตอบอย่างสุภาพเกินจำเป็น พร้อมกับรอยยิ้มมีมารยาท นี่เป็นการกระทำที่ทำให้นางดูเฉลียวฉลาดกว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ”ข้าเพียงแค่สงสัยเท่านั้นว่าแม่นางเวยเวยรู้เรื่องขององค์ชายมากเพียงใด”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองอวิ๋นปี้ลั่ว ในเวลาเดียวกันนั้นสายตาของนางก็ลึกล้ำขึ้น
วินาทีนั้นอวิ๋นปี้ลั่วเกือบคิดไปเสียแล้วว่าความคิดของนางถูกอีกฝ่ายรู้ทัน และนั่นทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก นางรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าพระพักตร์ของอดีตฮ่องเต้ ไม่ว่านางจะมีรูปโฉมงดงามเพียงใด แต่สำหรับอดีตฮ่องเต้แล้ว นางก็เป็นแค่เพียงข้ารับใช้ที่เขาไม่มีวันอนุญาตให้เข้าใกล้องค์ชายเท่านั้น
อวิ๋นปี้ลั่วหลุบตาลง แล้วพูดต่อ ”เมื่อองค์ชายสนใจใครแล้ว แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็จะปฏิบัติต่อคนคนนั้นเหมือนเป็นเหยื่อของเขา ข้าเดาว่าชิงจ้านคงจะเล่าเกี่ยวกับอดีตของข้ากับองค์ชายให้แม่นางเวยเวยฟังแล้ว ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรจะพูดหรือไม่ แต่ในเวลานั้นข้าทำผิดไป และองค์ชายก็ยังไม่อาจก้าวข้ามเรื่องนั้นไปได้ แต่ตอนนี้ในที่สุดข้าก็กลับมาแล้ว ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายแม่นางเวยเวย แต่อย่างไรองค์ชายก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ”
หลังจากพูดจบ นางก็หลีกทางให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย
นางดูเหมือนหญิงสาวผู้แสนอ่อนโยน ทั้งสุภาพและไร้พิษสง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว และเดินผ่านนางไป
ท้องของนางยังรู้สึกปวดอยู่ และนางยังคิดไม่ออกเลยว่าเนื้อหาของการทดสอบรอบถัดไปนั้นคืออะไร ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลาพอที่จะมาอ้อยอิ่งกับบทสนทนานี้
แต่กระนั้น
อวิ๋นปี้ลั่วก็พูดถูก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นนางเป็นเหยื่อจริงๆ…
“แม่นาง อวิ๋นปี้ลั่วไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด” เสี่ยวไป๋หรี่ตา ”ข้าสัมผัสได้ว่านางมีกลิ่นอายที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ดังนั้นเจ้าต้องระวังนางเอาไว้เป็นพิเศษ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบรับอย่างลวกๆ ก่อนที่นางจะหาที่นั่งของตัวเองเจอ
อวิ๋นปี้ลั่วมองนางจากระยะไกล พร้อมกับรอยยิ้มบาง ลึกลงไปในใจนั้น นางไม่เคยคิดเลยแม้แต่นิดเดียวว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเป็นภัยต่อนางได้
ถึงแม้ว่าองค์ชายจะแต่งงานกับนาง แต่จากที่เฮยจูว่ามา การแต่งงานนั้นมีขึ้นเพียงเพื่อทำให้อดีตฮ่องเต้พอใจเท่านั้น
คุณหนูคนอื่นๆ จากหอชั้นเลิศที่มาจากตระกูลขุนนางต่างก็คิดเช่นเดียวกัน
ดังนั้น หลังจากที่เห็นอวิ๋นปี้ลั่วเผชิญหน้ากับเฮ่อเหลียนเวยเวย
แม้ว่าความจริงแล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยจะมีสถานะเป็นพระชายาสาม แต่พวกนางก็เลือกที่จะอยู่ข้างเดียวกับอวิ๋นปี้ลั่วโดยไม่รู้ตัว
ความจริงแล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือพวกนางล้วนแต่อยู่ข้างเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์
ตอนที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แนะนำอวิ๋นปี้ลั่วให้พวกนางรู้จัก นางยังบอกอีกว่าฐานะของอวิ๋นปี้ลั่วนั้นพิเศษกว่าคนอื่น
ดังนั้นลูกศิษย์ทุกคนจึงคิดว่าอวิ๋นปี้ลั่วอาจจะเป็นองค์หญิงสักพระองค์อย่างแน่นอน เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถึงได้ปฏิบัติกับนางด้วยความสุภาพถึงเพียงนี้
เมื่อเทียบกับพระชายาสามที่อาจถูกไล่ออกจากตำแหน่งได้ทุกเมื่ออย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว การที่พวกนางจะเลือกอยู่ฝั่งของอวิ๋นปี้ลั่วที่มีฐานะ ‘ไม่ธรรมดา’ อย่างชัดเจนนั้นย่อมเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากกว่า
“พี่อวิ๋น คนขี้เหร่บางคนก็ไม่ชอบคุยกับคนหน้าตาสะสวยเจ้าค่ะ ความอิจฉาริษยาย่อมทำให้นางดูขี้เหร่ยิ่งขึ้นไปอีก”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะพี่อวิ๋น ท่านต้องรอบคอบเข้าไว้นะเจ้าคะ ตอนนี้ฐานะของนางไม่เหมือนเดิมแล้ว หากนางตั้งใจจะทำให้ใครสักคนต้องเสียหน้าละก็ ข้ามั่นใจว่าพี่อวิ๋นต้องเป็นคนแรกที่นางหมายตาเอาไว้แน่นอน”
“บรรดาผู้อาวุโสเป็นคนรับพี่อวิ๋นเข้ามา นางไม่มีสิทธิ์แตะต้องพี่อวิ๋นแม้แต่ปลายเล็บหรอก พวกเจ้าเลิกพูดถึงนางได้แล้ว ในอีกไม่ช้าพวกเราต้องอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กันแล้วนะ พวกเจ้าพร้อมหรือยัง”
“แน่นอน แต่ข้ามั่นใจว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราอัญเชิญออกมาคงจะไม่แข็งแกร่งเท่าของพี่อวิ๋นหรอกกระมัง พวกเราจะรอดูนะเจ้าคะว่าพี่อวิ๋นจะทำให้ทุกคนตกตะลึงได้เพียงใด”
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้า นางมีพลังปราณสูงถึงเพียงนั้น นางจะต้องสามารถอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่านั้นออกมาได้อย่างแน่นอน สัตว์อสูรวายุที่ขายอยู่ในตลาดคงไม่สามารถทำให้พวกเราประหลาดใจได้อีกแล้ว ข้ารอที่จะได้เห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างกิเลนอัคคีโผล่ออกมามากกว่า”
“กิเลนอัคคีหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก กิเลนอัคคีเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ไม่มีใครสามารถอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลออกมาได้”
“เรื่องนั้นก็ใช่ว่าจะถูกเสียทีเดียว พี่อวิ๋นอาจจะเป็นคนพิเศษที่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็ได้ นอกจากนางจะเป็นเลิศในด้านพลังปราณแล้ว พี่อวิ๋นก็ยังมีฝีมือวรยุทธ์ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน อีกอย่างนางก็ไม่เหมือนกับใครบางคน เพราะก่อนหน้านี้นางเคยอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สำเร็จมาแล้ว”
แม้ไม่ต้องเอ่ยชื่อ แต่ทุกคนก็รู้ว่าพวกนางหมายถึงใคร
ถึงจะไม่มีใครสามารถเหยียดหยามเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเปิดเผยได้เหมือนกับที่พวกเขาเคยทำ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าต่อให้นางจะเป็นผู้ชนะการประลองยุทธ์ แต่นางก็ไม่เคยเรียนการอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ยิ่งกว่านั้น ร่างของนางก็ไม่มีพลังปราณแผ่ออกมาเลย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจจะจบลงเหมือนกับตอนที่นางแตะลูกแก้ว ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนั่นเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ดีว่าคนพวกนั้นต้องการสื่ออะไร นางเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย หากพวกเขาตั้งใจดูให้ดี ก็จะเห็นถึงการดูถูกที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้น
นางยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับไขว้ขาน้อยๆ ท่าทางของนางแสดงถึงเอกลักษณ์ของคนที่นางเป็นได้ดีทีเดียว มันทั้งงดงามและหล่อเหลาอยู่ในที
จิ่งอู๋ซวงเห็นภาพนั้นตอนที่เขาเดินเข้ามาท่ามกลางฝูงชน เขาได้เห็นสัดส่วนเว้าโค้งและงดงามบนร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยตาตัวเอง
จากนั้นเหล่าคุณหนูก็พักบทสนทนาอาบยาพิษของตนไป และเริ่มเปิดประเด็นใหม่ขึ้นพูดคุย พวกนางเปลี่ยนมาคุยกันเรื่องคำอธิษฐานที่พวกตนจะขอให้กับเหล่าสามัญชนตอนอยู่ในวัด
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาตอนที่นางได้ยินเรื่องของผู้ประสบภัยจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น คุณหนูเหลียงที่ดูเหมือนจะเจ็บปวดไม่แพ้กันจับมือของนางเอาไว้ด้วยความเห็นใจ
แม้แต่อวิ๋นปี้ลั่วก็ยังขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจออกมา
นี่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยดูเหมือนคนใจร้ายและไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเมื่อเทียบกับพวกนาง
มันช่างน่าขันทีเดียว เพราะหากเพียงแค่พวกนางยอมกินรังนกน้อยลงสักถ้วยเดียวก็คงสามารถรวบรวมเงินเป็นค่าใช้จ่ายทั้งเดือนให้กับชาวบ้านสักคนได้แล้ว
ไม่มีใครบังคับว่าใครต้องช่วยใคร
แต่ก็มักจะมีคนที่ชอบเสแสร้งทำเช่นนั้นอยู่เสมอ
คนพวกนั้นจะคว้าเอาทุกโอกาสที่จะได้แสดงตนว่าตัวเองเป็นคนจิตใจสูงส่งไว้
ในความเป็นจริงนั้น บรรดาคุณหนูเหล่านี้ทำเช่นนี้ก็เพราะที่นี่มีจิ่งอู๋ซวงผู้หล่อเหลาอยู่ด้วย
เขาสมควรถูกยกย่องให้เป็นชายหนุ่มที่ปราศจากคู่แข่งมาเทียบเคียง
เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ เขาก็ดูเหมือนจะเอาชนะความงดงามของดอกไม้และต้นไม้ทุกต้นบนโลกได้แล้ว
คุณหนูจำนวนหนึ่งถึงกับหน้าแดงเมื่อเขาก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าอันสม่ำเสมอ พร้อมกับฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เฮ่อเหลียนเวยเวย ”เจ้าขาดเรียนคาบแรกไป ท่านอาจารย์บอกว่าเขาจะอบรมเจ้าทีหลัง จะว่าไปแล้ว เจ้าไปไหนมาหรือ ทำไมเจ้าถึงมาสายล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งใจจะตอบคำถาม
แต่แล้ว น้ำเสียงเย็นชาอันแสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นตัดบทนางอย่างรวดเร็ว ”ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้สนับสนุนทางการเงินของข้าไปอยู่ที่ไหนมา”