เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 324 ลำบากและเหนื่อยยากเพียงใดก็คุ้มค่า (1)

ตอนที่ 324 ลำบากและเหนื่อยยากเพียงใดก็คุ้มค่า (1)

เคลือบแคลงสงสัยก็ส่วนเคลือบแคลงสงสัย แต่สุดท้ายฮ่องเต้ก็เลือกที่จะเชื่อเอาไว้ก่อน ขันทีคนสนิทที่ติดตามรับใช้เขามานานหลายสิบปี ทำงานละเอียดรอบคอบมาโดยตลอด ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ด้วยเหตุนี้สีหน้าของฮ่องเต้จึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย

“ให้คนไปส่งสาส์น ข้าจะเรียกหลูเจิ้งหยางมาเข้าพบ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หัวหน้าขันทีเดินออกไป ฮ่องเต้หยิบหมากขึ้นมา วางลงบนกระดาน พระพักตร์เผยรอยยิ้ม คล้ายพอใจกับการวางหมากในครั้งนี้

ละครที่ข้าชื่นชอบที่สุดคือพี่น้องฆ่ากันเอง ข้าไม่เชื่อว่าชาวบ้านชั้นต่ำที่เกิดในตระกูลพ่อค้า จะต้านทานความเย้ายวนของความน่าเกรงขามและอำนาจของโอรสสวรรค์ได้…

หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยจัดระเบียบใหม่ ระยะเวลาสิบกว่าวัน ภัตตาคารอวี่จี้ได้แปรเปลี่ยนจากภัตตาคารธรรมดาไร้ชื่อเสียง กลายเป็นภัตตาคารที่พอจะมีชื่อเสียงในเมืองหลวงได้

แน่นอนว่าหนึ่งในเหตุผลคือตอนที่พวกหวังเทียนเหลยเข้าเมืองหลวง พวกเขานำน้ำส้มสายชูที่ผลิตจากโรงงานเครื่องปรุงเซียนมั่วมาหลายไหตามคำสั่งของมั่วเชียนเสวี่ย เพิ่มอาหารที่รสชาติถูกปากให้กับภัตตาคาร

อีกหนึ่งเหตุผลคือเปลี่ยนเถ้าแก่ภัตตาคารอวี่จี้แล้ว เถ้าแก่คนปัจจุบันทำตามคำสั่งของมั่วเชียนเสวี่ยทุกอย่าง

ภัตตาคารอวี่จี้มีสามชั้น ในอดีตชั้นแรกคือโถงใหญ่ ชั้นสองคือห้องอาหารประมาณเจ็ดถึงแปดห้อง ชั้นสามบันไดคับแคบ เหตุเพราะกลัวว่าลูกค้าจะไม่อยากขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ทั้งยังไม่สะดวกกับการยกอาหารมาให้ลูกค้า ชั้นที่สามจึงเป็นชั้นสำหรับเก็บของ

ยืนบนที่สูง ทำให้มองเห็นได้ไกล! ทัวทัศน์บนชั้นสามนั้นมองเห็นได้กว้างไกล มองเห็นทั่วทั้งเมืองหลวง เป็นที่ชื่นชอบของปัญญาชน จะปล่อยว่างเช่นนี้ช่างน่าเสียดายจริงๆ

หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยรับช่วงดูแลต่อนางก็ให้คนยกข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ บนชั้นสามลงมา หลังจากนั้นตกแต่งเป็นห้องรับรองพิเศษขนาดใหญ่สองห้องซึ่งมีความหรูหราซึ่งได้แก่…ห้องอิ๋งเซวียนเซียนและห้องเมิ่งหนิง

นอกจากนี้มั่วเชียนเสวี่ยยังให้คนทำบันไดไม้ขึ้นลงใหม่ ไม่ได้ใช้บันไดโถงใหญ่เดียวกับที่ใช้สำหรับขึ้นไปบนชั้นสอง ทั้งยังทำทางเข้าที่ทางเดินซ้ายขวาของทั้งสองห้อง รับประกันความเป็นส่วนตัว และมีความปลอดภัยอย่างมาก

ปรับเปลี่ยนรูปแบบร้าน เพิ่มอาหาร ทั้งยังทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพิ่มความนิยม เวลานี้การค้าของภัตตาคารเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน

เวลานี้พวกนางอยู่ในห้องเมิ่งหนิงซึ่งเป็นหนึ่งในห้องรับรองพิเศษบนชั้นสาม

ห้องรับรองพิเศษนี้เพิ่งเปิดเพียงไม่กี่วัน ก็ถูกจองล่วงหน้าไปหลายวันแล้ว เป็นที่นิยมอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะเมื่อสามวันก่อนมั่วเชียนเสวี่ยส่งคนมาบอกล่วงหน้า ว่าวันนี้ตอนเที่ยงนางจะเข้ามา อาจจะไม่มีห้องว่างก็ได้

แม้จะเป็นเช่นนี้ ด้วยรูปแบบและรสชาติของอาคารในภัตตาคาร เวลานี้ยังไม่เพียงพอที่จะให้หัวหน้าตระกูลชั้นสูงมาเลี้ยงอาหารสหายที่เป็นแขกสำคัญที่นี่ได้ เกรงว่า หนิงเซ่าชิงคงจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าภัตตาคารนี้คือกิจการของนาง จึงมาเยี่ยมชม สร้างบารมีให้นางกระมัง

ฐานันดรศักดิ์ของหนิงเซ่าชิงในเวลานี้ไม่ใช่คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหนิงในอดีตอีกแล้ว ทั้งยังไม่ใช่อาจารย์สอนหนังสือเด็กที่หมู่บ้านหวังจยาอีกแล้ว ฐานันดรศักดิ์ของเขาในตอนนี้ ผู้ที่กล่าวได้ว่าเป็นสหายของเขามีไม่มาก คาดว่ามีเรื่องสำคัญต้องหารือ ตนพาซูซูบุ่มบ่ามเข้าไปพบเขาเกรงว่าจะกะทันหันเกินไป

ครุ่นคิดครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยบอกให้อวิ๋นอิ๋นออกไป คอยดูแลเรื่องอาหารให้ตนกับท่านหญิงซูซูก็พอแล้ว ไม่ต้องไปรบกวนหนิงเซ่าชิงที่อยู่ห้องข้างๆ

อวิ๋นอิ๋นได้ยินคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ย ไม่ได้ถามเหตุผล โน้มตัวลงทำความเคารพ ถอยหลังสองสามก้าว แล้วหันหลังไปเปิดประตู เตรียมที่จะออกไป

อวิ๋นอิ๋นเพิ่งเปิดประตู นางเห็นบุรุษชุดดำ ใบหน้าเยือกเย็นยืนอยู่ด้านนอก

นางตกใจ สายตาของบุรุษคนนั้นมองข้ามนาง ไปทางมั่วเชียนเสวี่ยแล้วโค้งตัวทำความเคารพ พูดเสียงดัง “เตาหนูทำความเคารพคุณหนูใหญ่มั่ว นายท่านให้เตาหนูมาเชิญคุณหนูใหญ่มั่วและท่านหญิงซูซูไปเสวนาด้วยครู่หนึ่งขอรับ”

เสียงของเขาเหมือนเจ้าของ ท่ามกลางความเยือกเย็นไร้ความรู้สึกใดๆ

แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะไม่เคยเห็นเขามาก่อน แต่นางรู้สึกว่าเขาต้องเป็นองครักษ์คนสนิทของหนิงเซ่าชิงอย่างแน่นอน บุคลิกเฉพาะตัวและไอที่แผ่ซ่านออกมาจากเขา เหมือนกับอิ่งซาและกุ่ยซา

ชีวิตนี้ไม่อาจแยกจากเขาได้ สหายของเขา คือคนที่นางจำต้องคุ้นเคย เมื่อแน่ใจตัวตนของคนที่มาแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่กระมิดกระเมี้ยน “ไปบอกนายของเจ้า ประเดี๋ยวข้ากับท่านหญิงหญิงซูซูจะไป”

จะเข้าไปในความเป็นอยู่ของเขา เข้าไปในชีวิตของเขา ต้องยอมรับสหายของเขา เผชิญหน้ากับทุกอย่างที่เขาต้องเผชิญ

หลังจากเตาหนูฟังมั่วเชียนเสวี่ยพูดจบเขาก็หมุนตัวหันหลังเดินออกไป มือของอวิ๋นอิ๋นที่จับประตูอยู่นั้นแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไม่รู้จะเดินออกไปหรือเดินเข้ามา นางจึงหันกลับไปมองมั่วเชียนเสวี่ย

มั่วเชียนเสวี่ยออกคำสั่ง “ประเดี๋ยว เจ้ายกอาหารไปให้พวกข้าด้วยตนเอง” คาดว่าหนิงเซ่าชิงคงไม่ชอบใจนักที่จะให้ผู้อื่นรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่

พูดจบ มั่วเชียนเสวี่ยผายมือ อวิ๋นอิ๋นก้าวออกจากห้องหันหลังปิดประตูแล้วเดินลงไป

อวิ๋นอิ๋นเพิ่งเดินออกไป ท่านหญิงซูซูก็พูดหยอกล้อ “คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอบุรุษตระกูลชั้นสูงผู้ลึกลับและสูงศักดิ์ที่สุดของเมืองหลวง ซูซูอาศัยบารมีของเชียนเสวี่ยแล้ว”

มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม “เจ้าหยอกล้อข้าแล้ว ข้าอยากรู้เหมือนกันอนาคตข้างหน้าบุรุษคนใดจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของเจ้าได้…”

มั่วเชียนเสวี่ยพูดหยอกล้อ ทว่าท่านหญิงซูซูที่ได้ฟังกลับมีสีหน้าหม่นหมอง แววตาของนางฉายความเศร้า

ความเศร้าแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว แต่มั่วเชียนเสวี่ยที่ชาญฉลาดกลับบังเอิญเห็นเข้า มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะนิ่งค้าง คิดว่าตนตาฝาด เดิมทีนางคิดว่าท่านหญิงซูซูที่มีอุปนิสัยอยากจะหัวเราะก็หัวเราะ อยากจะร้องไห้ก็ร้องไห้ คนร่าเริงเช่นนี้ ไม่มีเรื่องใดให้เสียใจ…

ทว่า เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว สตรีที่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่งในเมืองหลวงแม้โดยมากจะอยู่ในเรือนจนถึงอายุสิบแปดแล้วค่อยออกเรือน แต่โดยมากตอนที่พวกนางอายุสิบห้าสิบหกก็จะตกลงเรื่องหมั้นหมาย ท่านหญิงซูซูอายุสิบเจ็ดแล้ว แต่เวลานี้กลับไม่มีตระกูลสามีที่หมั้นหมายเอาไว้ แม้นางไม่พูด แต่เกรงว่าจิตใจด้านในคงจะเจ็บปวดกระมัง

จิ่งชินอ๋องคือท่านอ๋องที่มีอำนาจมากที่สุดในเมืองหลวง เป็นท่านอาของฮ่องเต้ จวนจิ่งชินอ๋องมีบุตรีเพียงคนเดียว ฐานันดรศักดิ์สูงส่ง บรรดาศักดิ์ด้อยกว่าองค์หญิงเท่านั้น เกรงว่าบุรุษมากความสามารถที่เข้าตาจิ่งชินอ๋อง ทั้งยังคู่ควรกับท่านหญิงซูซูคงจะมีน้อยมากๆ กระมัง

ความคิดทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น หลังจากเข้าใจทุกอย่างแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนบทสนทนาอย่างแยบยล “ซูซู เจ้าว่าการแต่งกายของข้าในวันนี้ยังพอใช้ได้กระมัง…”

การแต่งกาย คือบทสนทนาที่ดีที่สุดของสตรีเสมอ ท่านหญิงซูซูจับมือมั่วเชียนเสวี่ย มองหัวจรดเท้า “แม้จะเรียบง่ายแต่ก็ฉายความสง่างาม งดงามทุกย่างก้าว สวยสะพรั่งทุกท่วงท่า…รับประกันว่าหัวหน้าตระกูลหนิงเห็นแล้วต้องตกตะลึง…”

“ซูซู เจ้าหยอกล้อข้าอีกแล้ว…”

หมัวมัวของสตรีทั้งสองรู้ว่าคุณหนูของตนได้รับคำเชิญ จะไปร่วมรับประทานอาหารกับบุรุษที่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง ยิ้มแล้วเดินไปแยกคุณหนูทั้งสองออกจากกันโดยไม่ได้นัดหมาย จัดเสื้อผ้าและทรงผมให้กับคุณหนูทั้งสองที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกัน

หลังจากจัดเสื้อผ้าและทรงผมเสร็จ หมัวมัวทั้งสองเดินติดตามอยู่ด้านหลังอย่างรู้หน้าที่ มั่วเชียนเสวี่ยและท่านหญิงซูซูเดินคล้องแขนออกไปจากห้องเมิ่งหนิง เดินเลี้ยวไปยังห้องอิ๋งเซวียนเซียนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

หน้าประตูห้องอิ๋งเซวียนเซียนมีองครักษ์สองสามคนยืนอยู่ เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยและท่านหญิงซูซูเดินมา พวกเขาไม่ได้พูดสิ่งใด โค้งตัวลงทำความเคารพพร้อมกัน เตาหนูยื่นมือออกไปเปิดประตู ผายมือเชิญพวกนางเข้าไป

มั่วเชียนเสวี่ยและท่านหญิงซูซูเดินเข้าไปด้านใน มีชายอื่นอยู่ด้วย แน่นอนว่าหมัวมัวทั้งสองต้องเดินตามเข้าไป รอพวกนางทั้งสี่คนเดินเข้าไป อวี่เสวียน ชูอี สืออู่และบรรดาสาวใช้ของท่านหญิงซูซูที่เดินตามหลังล้วนถูกขวางอยู่นอกประตู ทำได้เพียงยืนรอด้านนอก เฝ้าประตูไปพร้อมกับองครักษ์ที่อยู่ด้านนอก

เมื่อเดินเข้าไปในห้อง กวาดตามอง ด้านในมีคนนั่งอยู่สี่คน หนิงเซ่าชิง ซูชี คนที่มีใบหน้าคุ้นตาและบุรุษที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท