ตอนที่ 338 เลิกราอย่างสมบูรณ์
ว่านฮุ่ยวิ่งพรวดออกจากบ้านไปทันที พอเห็นหลังของเหยียนเหวินเล่ออยู่ไกล ๆ หล่อนก็รีบไล่ตามเขา
ด้วยขาที่เรียวยาวของเหยียนเหวินเล่อ ทำให้เขาวิ่งลงบันไดแบบข้ามขั้นลงมาอย่างรวดเร็ว
ว่านฮุ่ยวิ่งตามพลางหายใจหอบ พร้อมกับอาการใจสลาย
หล่อนคว้าแขนเสื้อเหยียนเหวินเล่อไว้ พยายามขอร้อง “เหวินเล่อ ฟังฉันอธิบายก่อน…”
เหยียนเหวินเล่อสะบัดมือหล่อนออกอย่างแรง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่จำเป็น ฉันได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว รู้แล้วว่าจริง ๆ เธอเป็นคนแบบไหน จากนี้ไปเราถือเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เธอไม่ต้องเสแสร้งสวมหน้ากากใส่ฉันทุกวันอีก ฉันรู้ว่าเธอเองก็ฝืนใจไม่น้อย”
หลังจากนั้นเขาก็วิ่งหนีไปไกล จนว่านฮุ่ยไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเขาได้ทัน
ว่านฮุ่ยพยายามวิ่งต่อไปอีกสองสามก้าว หลังจากนั้นก็ยอมแพ้ หยุดเดินวนเป็นวงกลมอย่างเสียไม่ได้ จนบังเอิญเจอกับพ่อว่านที่กำลังเดินกลับบ้านหลังจากเลิกงาน
พ่อว่านเป็นคนที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ขอแค่เขาได้กินดื่มอาหารดี ๆ ทุกวัน และภรรยาซื่อสัตย์ต่อเขาและพ่อแม่ของเขานั่นก็เพียงพอแล้ว
จากสามด้านนี้ ถ้าด้านใดด้านหนึ่งไม่เป็นไปตามข้อกำหนดที่เขาวางไว้ เขาก็พร้อมจะล้มโต๊ะ(1)ทันที
แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรงมาก
เมื่อพ่อว่านเห็นว่าลูกสาวคนกลางลงมาเดินเตร่อยู่ข้างล่างก็ไม่พอใจ พูดขึ้นว่า “ได้เวลากินข้าวแล้ว ลงมาทำอะไร ทำไมไม่ช่วยแม่ทำกับข้าว?”
ลูกสาวคนนี้ไม่ค่อยได้ดั่งใจเขาเท่าไรนัก
หล่อนอายุยังน้อย แต่กลับเจ้าเล่ห์เพทุบายมาก ไม่มีนิสัยไร้เดียงสาอย่างที่เด็กสาวอายุสิบห้าหรือสิบหกปีควรจะเป็น แถมยังเจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไป
แม้กระทั่งทำงานบ้าน หล่อนจะไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะกลัวว่าพี่สาวหรือน้องชายจะสบายมากกว่าตัวเอง
เมื่อใดก็ตามที่ทำงานหนัก หล่อนจะร้องไห้ตีโพยตีพาย กล่าวหาว่าพ่อแม่ลำเอียง
ความนิสัยเสียของหล่อนไม่เคยเป็นที่น่าพอใจของพ่อแม่ ไม่แปลกที่พวกเขาจะรักหล่อนน้อยกว่าพี่น้องคนอื่น!
ว่านฮุ่ยอาจไม่กลัวแม่ว่าน แต่หล่อนกลัวพ่อว่านมาก
ถ้าแม่ว่านทุบตีและด่าทอ หล่อนยังกล้าโต้กลับ เพราะต่อให้แม่ว่านจะลงไม้ลงมือกับหล่อน แต่ก็ไม่ได้ออกแรงมากมายอะไร
แต่กับพ่อว่านนั้นแตกต่างออกไป แค่แรงตบครั้งเดียวก็อาจทำให้หล่อนถึงกับสลบได้
หลังจากได้ยินน้ำเสียงของพ่อว่าน ความหวาดกลัวทำให้ว่านฮุ่ยยอมหันหลังกลับและวิ่งขึ้นไปบนบ้าน
ทันใดนั้นพ่อว่านก็เรียกหล่อนไว้ ถามว่า “ผลการสอบเลื่อนชั้นเป็นยังไงบ้าง?”
ว่านฮุ่ยลังเล แต่ก็ยอมพูดความจริงว่าตัวเองทำผลสอบพลาดไปแค่คะแนนเดียวเท่านั้น
หล่อนลอบสังเกตคำพูดและท่าทางของเขา เมื่อเห็นว่าพ่อว่านไม่ได้มีท่าทางโกรธเคืองอะไร ก็หันไปพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “พ่อ ฉันอยากเรียนต่อมัธยมปลาย”
พ่อว่านตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด “ไปบอกแม่สิ”
ว่านฮุ่ยพูดตะกุกตะกัก “แม่ไม่เห็นด้วย”
พ่อว่านเหล่ตามอง “ทำไมถึงไม่เห็นด้วยล่ะ?”
ว่านฮุ่ยก้มหน้าลง ทำท่าทางให้ดูอ่อนแอและน่าสงสารที่สุด “แม่บอกว่าจะเก็บเงินไว้ส่งให้พี่สาวกับน้องชายได้เรียนหนังสือ”
พ่อว่านผายมือ “งั้นก็ตามนั้นแหละ”
ว่านฮุ่ยเงยหน้าขึ้น “พ่อ ฉันอยากเรียนต่อมัธยมปลาย เรียนจบแล้วจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ตระกูลของเรา ฉันก็เป็นลูกสาวของพ่อเหมือนกัน ให้โอกาสฉันหน่อยไม่ได้เหรอคะ”
พ่อว่านตะคอกอย่างเย็นชา “ถึงแกจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แกก็ไม่คิดจะกลับมาสนใจพวกเราอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับการให้เกียรติวงศ์ตระกูล”
เมื่อเห็นว่าพ่อว่านไม่สนใจไยดีต่อคำร้องขอ ว่านฮุ่ยก็แสดงสีหน้าไร้อารมณ์ทันที ท่าทางหงอยเหงาเซื่องซึม
ทันทีที่สองพ่อลูกกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นว่าแม่ว่านกับว่านเสียนกำลังทำอาหาร
พ่อว่านตะคอกด้วยความโมโห “กับข้าวยังไม่พร้อมอีกเหรอ!”
แม่ว่านรีบพูดปลอบเขา “ใกล้แล้ว นั่งพักก่อนเถอะ”
หล่อนไม่ได้ถามว่านฮุ่ยว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้นกับเหยียนเหวินเล่อ
เพราะหล่อนไม่ค่อยห่วงใยความเป็นไปในชีวิตของลูกสาวคนเล็กมากนัก
ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ทำให้อาหารและเครื่องดื่มของครอบครัวขาดแคลนและไม่มีผลต่อการทำงานของหล่อนก็ไม่เป็นไร แค่ถามไถ่เรื่องผลการเรียนก็พอแล้ว
อาหารสำหรับหน้าร้อนถูกปรุงอย่างเรียบง่าย หลังจากนั้นไม่นานอาหารก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ
แม่ว่านวางจานพริกผัดลงตรงกลางระหว่างว่านซีหรงและพ่อว่าน ถือเป็นจานที่ดีที่สุดในมื้ออาหารนี้
พอเห็นสีหน้าบูดบึ้งของว่านฮุ่ย แม่ว่านก็พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ “แกอยากเรียนต่อมัธยมปลายนักใช่ไหม? ใครบางคนอาจจะช่วยแกได้ แกลองไปหาเขาดูสิ!”
ว่านฮุ่ยสะบัดเสียงใส่ “ใคร?”
“หลี่หมิงเฉิงที่เคยอยู่ข้างบ้านเราไงล่ะ”
พอเห็นท่าทางรังเกียจของว่านฮุ่ย แม่ว่านก็เอานิ้วจิ้มศีรษะหล่อนอย่างแรง “อย่าได้ดูถูกว่าเขาเป็นคนบ้านนอกเชียว เป็นคนบ้านนอกแล้วยังไง? ในเมื่อเขารวยออกปานนั้น! ล่าสุดก็เพิ่งจะซื้อบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่มีหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น ก่อนหน้านี้ฉันเคยถาม เขาบอกว่าเขาได้เงินเดือนละไม่ต่ำกว่าห้าสิบหยวน สูงกว่าเงินเดือนของลูกจ้างทั่วไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่”
ว่านฮุ่ยหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ยังคงดูถูกอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
หล่อนหรี่ตามองแม่ว่าน “ถ้าแม่คิดว่าหลี่หมิงเฉิงเป็นคนดีนัก ทำไมแม่ไม่จับคู่เขาให้พี่สาวเลยล่ะ?”
ว่านเสียนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่ จากนั้นก็หันมองไปทางน้องสาว ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
แม่ว่านมองลูกสาวคนเล็กด้วยสายตาว่างเปล่า “ฉันไม่ได้ยกให้แกไปแต่งงานกับหลี่หมิงเฉิงซะหน่อย ทำไมแกถึงได้เดือดร้อนนัก? แค่เสแสร้งคบเขาหน่อยก็ได้แล้ว ให้เขาช่วยส่งค่าเล่าเรียนให้ พอแกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เมื่อไหร่ แกก็แค่ถีบหัวส่ง”
ว่านฮุ่ยนิ่งงันเหมือนคนใบ้
ใช่ว่าหล่อนไม่มีความคิดทำนองนั้นเสียเลย
แต่หล่อนกลัวว่าการแสดงจอมปลอมของตัวเองอาจกลายเป็นจริงขึ้นมาสักวัน ถึงเวลานั้นหล่อนอาจไม่สามารถกำจัดหลี่หมิงเฉิงออกไปจากชีวิตได้
ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ว่าถ้าเหยียนเหวินเล่อรู้เข้า ทั้งสองคงต้องเลิกรากันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงยังไม่กล้าทำอะไรแบบนั้น
แต่ตอนนี้หล่อนกับเหยียนเหวินเล่อตัดสัมพันธ์กันแล้ว หล่อนไม่กลัวว่าเขาจะรู้ แต่กลัวว่าอีกหน่อยอาจถีบหัวส่งหลี่หมิงเฉิงไม่ได้ง่าย ๆ
ว่านเสียนพูดเสียงอ่อย “แม่ คงไม่ดีมั้งคะ”
แม่ว่านถลึงตามอง “จะเป็นไรไป? ดูอย่างผู้หญิงชนบทที่เข้ามาทำงานก่อสร้างในเมืองพวกนั้นซิ หลายคนถึงกับยอมทิ้งสามีและลูก ๆ ของตัวเอง ตอนนี้พวกหล่อนอยู่ดีกินดีจะตายไป!”
ว่านเสียนปิดปากเงียบ
ว่านฮุ่ยตอกกลับแม่ว่านด้วยความโมโห “ทำไมแม่ไม่จัดแจงให้พี่สาวแกล้งทำเป็นคบกับหลี่หมิงเฉิงเพื่อโกงค่าเล่าเรียนล่ะ? ที่บ้านจะได้มีเงินเหลือไว้ส่งฉันเรียนต่อมัธยมปลาย พี่สาวออกจะสวย ถ้าหล่อนแกล้งเข้าหาหลี่หมิงเฉิง เขาต้องหลงรักหล่อนหัวปักหัวปำแน่ นับประสาอะไรกับการยอมควักเงินจำนวนมากให้พี่สาว!”
แม่ว่านสวนกลับด้วยความโกรธ “ฉันสอนวิธีให้แกไปแล้ว แกจะทำตามหรือไม่ทำก็แล้วแต่ ไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่มีทางจ่ายเงินส่งแกเรียน!”
ขณะที่ว่านฮุ่ยกำลังโต้เถียงกับผู้เป็นแม่ ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งใช้กุญแจไขประตู
ว่านฮุ่ยหุบปากทันที
แม่ว่านลุกขึ้นเดินไปที่ประตูพลางชะเง้อมองออกไป ที่แท้เถาจืออวิ๋นก็กลับมาถึงห้องแล้ว กำลังใช้ลูกกุญแจไขเปิดประตูบ้านตัวเองอย่างเงียบเชียบ
ทันทีที่หล่อนร้องเรียก ‘เสี่ยวเถา’ เถาจืออวิ๋นก็รีบเปิดประตูบ้าน แล้วผลุบเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปิดประตูตามหลังเสียงดังปัง
แม่ว่านกัดฟันด้วยความโกรธ พึมพำสาปแช่งเบา ๆ จากนั้นก็กลับเข้ามาในห้องเพื่อกินข้าวต่อ
พ่อว่านเงยหน้ามองภรรยา “เสี่ยวเถาไม่ยอมคุยกับคุณเหรอ?”
นับตั้งแต่แม่ว่านรู้เรื่องการหย่าร้างของเถาจืออวิ๋น หล่อนก็พยายามจะแนะนำน้องชายของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รู้จัก แต่เถาจืออวิ๋นก็เอาแต่ปฏิเสธอยู่ร่ำไป
ถึงอย่างนั้นแม่ว่านก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงมุ่งมั่นทำตามอุดมการณ์ของตัวเองต่อไป แต่ทางด้านเถาจืออวิ๋นเอาแต่หลบหน้าหลบตาหล่อนทุกครั้ง
แม่ว่านพยักหน้าหงึกหงัก
พ่อว่านตักข้าวเข้าปากอีกสองคำแล้วพูดว่า “ผมว่าคุณไม่ควรทำตัวไร้ยางอายถึงขั้นพยายามจะยัดเยียดน้องชายตัวเองให้เสี่ยวเถานะ น้องชายคุณไม่ดีพอสำหรับหล่อนหรอก”
แม่ว่านขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ “ทำไมน้องชายฉันถึงไม่ดีพอสำหรับหล่อนกันล่ะ? น้องชายฉันมีงานทำมั่นคง หล่อนมีดีอะไรบ้าง? เป็นม่ายไม่พอยังมีลูกติดอีกคน น้องชายฉันยังเต็มใจแต่งงานกับหล่อนก็ดีแค่ไหนแล้ว ควันควรผุดออกมาจากหลุมศพบรรพบุรุษ(2)ของหล่อนถึงจะถูก!”
ว่านเสียนเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร
หล่อนไม่เห็นด้วยกับคติของผู้เป็นแม่
น้าของหล่อนมีงานมั่นคงทำแล้วอย่างไร ประสิทธิภาพของเนื้องานเทียบได้กับพี่เถาข้างบ้านที่มีรายได้มากกว่าตรงไหน?
อีกอย่าง สาเหตุที่น้าของหล่อนยังโสดมาจนถึงวันนี้ ไม่ได้เป็นเพราะฐานะทางครอบครัวยากจน แต่เป็นเพราะไม่มีใครอยากแต่งกับเขาต่างหาก
ถึงพี่เถาจะเคยหย่าร้างมาแล้ว แถมยังมีลูกติดหนึ่งคน แต่ในสายตาของหล่อน อีกฝ่ายห่างชั้นกับน้าของตัวเองมากกว่าสิบเท่า
พ่อพูดถูก ไม่ใช่ว่าพี่เถาไม่คู่ควรกับน้า แต่น้าต่างหากที่ไม่ดีพอสำหรับพี่เถา
ทว่าแม่ของหล่อนดื้อรั้นเกินไป ต่อให้พูดอะไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจของหล่อนได้
พ่อว่านได้แต่ส่ายหน้า ไม่สนใจแม่ว่านอีก
หลังจากมื้อกลางวันที่แสนอึดอัดผ่านไป ว่านฮุ่ยก็วางตะเกียบแล้วออกจากบ้าน
ไม่มีคนไหนในครอบครัวสนใจว่าหล่อนจะออกไปไหน นอกจากว่านเสียน
ว่านเสียนอยากถามน้องสาวว่าอากาศร้อน ๆ แบบนี้ยังจะออกไปเที่ยวที่ไหนอีก แต่ก็ต้องกลืนคำพูดลงคอไป
หล่อนรู้ว่าคนอย่างว่านฮุ่ยไม่มีวันเห็นคุณค่าความมีน้ำใจของหล่อนแน่
ไม่ใช่แค่ไม่เห็นค่า ยังจะพานคิดว่าหล่อนเสแสร้งแกล้งเป็นคนดีไปเสียอีก ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วทำไมหล่อนต้องเอาหน้าไปซบก้นเย็น(3)ของอีกฝ่ายด้วย?
……………………………………………………………………………………………………………
ล้มโต๊ะ หมายถึงการโมโหจนถึงขีดสุด จนต้องระบายออกมาด้วยการทำลายข้าวของ
ควันผุดออกมาจากหลุมศพบรรพบุรุษ ใช้เปรียบเปรยว่าเกิดเรื่องที่น่ายินดีขึ้น แต่ก็สามารถนำมาใช้ในเชิงเสียดสีได้
เอาหน้าไปซบก้นเย็น หมายความว่า ประจบประแจงโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็นค่า หรือไม่สนใจ
สารจากผู้แปล
แปลตอนนี้แล้วยิ่งรู้สึกรังเกียจยัยป้าว่านมาก ทั้งหน้าไม่อายทั้งลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน
หลี่หมิงเฉิงอยู่เฉย ๆ ก็ซวยซะงั้น รีบหาทางหนีทีไล่จากครอบครัวนรกนี่ด่วนๆ ค่ะ
ไหหม่า(海馬)