ข่าวมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำเอาสืออีเหนียงตกใจอยู่ไม่น้อย
สวีลิ่งอี๋รีบถามขึ้นว่า “เป็นคุณหนูจากตระกูลไหน” ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ฟังดูจริงจัง
หลินปัวพูดเบาๆ “เป็นหลานสาวขององค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง บุตรสาวคนโตของใต้เท้าโจวซื่อเจิงขอรับ”
“ฟังเจี่ยเอ๋อร์” สืออีเหนียงอุทานเบาๆ
ก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณอะไรเลย และดูเหมือนว่ากรมพิธีกรรมและขุนนางฝ่ายในก็ไม่ได้ส่งชื่อฟังเจี่ยเอ๋อร์ไป
สวีลิ่งอี๋ท่าทางนิ่งสงบ แต่เขากลับหลับตาและไม่พูดไม่จาอยู่นาน
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ถามเขาเบาๆ “ทำไมหรือเจ้าคะ”
“แต่ไหนแต่ไรมา สกุลโจวนั้นแต่งงานกับสกุลขุนนางมาตลอด” สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมองนาง “ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย”
โจวซื่อเจิงเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้ และยังเป็นสหายที่โตมาด้วยกันกับสวีลิ่งอี๋ ฮ่องเต้เลือกคนที่ใกล้ชิดกับสกุลสวีเป็นพระชายาของพระโอรสองค์โต ไม่ว่าจะเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก ไม่อยากทำให้บุตรชายคนโตลำบากใจ หรือว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ของน้องเขย หรือเพียงเพราะว่าฮ่องเต้คิดว่าสกุลโจวคือตระกูลที่เหมาะสมที่สุด แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ ล้วนคือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับสกุลสวี
สืออีเหนียงพยักหน้า
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วมองไปที่นาง “เช่นนี้ เจ้าก็ไม่ต้องลำบากใจแล้ว”
สืออีเหนียงตกใจ “ลำบากใจอะไรกันเจ้าคะ”
“เจ้าไม่ชอบคุณชายสกุลหวังไม่ใช่หรือ” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เช่นนี้ หากเราสองสกุลแต่งงานกันมันก็คงจะเย่อหยิ่งเกินไป เจ้าสามารถปฏิเสธงานแต่งงานครั้งนี้ได้อย่างมีเหตุผล”
ชัดเจนขนาดนี้เลยหรือ
สืออีเหนียงเหงื่อตก
หากคุณชายสกุลหวังและสาวใช้ที่อายุมากกว่าสามปีคนนั้นเป็นแค่สหายสนิทกันจริงๆ คนที่ไปสืบข่าวคงไม่มีทางเน้นย้ำว่า สาวใช้คนนั้น…
นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ดูเหมือนว่า พรุ่งนี้ไม่เพียงแต่ต้องไปแสดงความยินดีกับโจวฮูหยิน แล้วยังต้องไปบอกปัดนางอีกด้วย”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ เขาหันหน้าไปมองห้องหนังสือที่ปิดประตูแน่นแล้วพูดว่า “พวกเขาคงจะยังคุยกันไม่เสร็จ เราไปหาที่นั่งรอกันเถิด”
สืออีเหนียงพยักหน้า เหลือเพียงมู่ฝูเฝ้าอยู่หน้าประตู นางเดินตามสวีลิ่งอี๋เข้าไปในซอยข้างห้องหนังสือ เดินเข้าไปในลานเล็กๆ
ปูพื้นด้วยอิฐสีฟ้า มีต้นเซียงชุนอยู่ตรงกลาง เรือนหลักมีสามห้อง ผนังสีขาว กระเบื้องสีเทาและเสาสีดำ ดูเรียบๆ แต่งดงามและดูสงบ
สืออีเหนียงมองสังเกตไปรอบๆ
“ที่นี่คือ?”
“ห้องหนังสือลานข้างนอก!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม
มีเด็กรับใช้ชายอายุเจ็ดแปดขวบวิ่งออกมาคำนับพวกเขา จากนั้นก็หมุนตัวไปเปิดม่านให้
สวีลิ่งอี๋พาสืออีเหนียงเข้าไปในห้องหลัก
ทั้งสามห้องเปิดออกเป็นห้องโถง ในห้องโถงมีภาพทิวทัศน์ของภูเขาและสายน้ำแขวนอยู่ มีตู้หนังสือสีดำขนาดใหญ่ ข้างๆ คือเตียงหลัวฮั่นทรงเตี้ยลายดอกเหมย มีเก้าอี้ยาวหนึ่งตัวและเก้าอี้ไท่ซือสองตัว ซ้ายและขวาคือชั้นวางโบราณที่เต็มไปด้วยหนังสือ ในถ้วยกระเบื้องลายครามถ้วยใหญ่มีม้วนกระดาษเสียบอยู่หลายม้วน
สวีลิ่งอี๋ชี้ไปที่เตียงหลัวฮั่นแล้วบอกสืออีเหนียงว่า “นั่งสิ” จากนั้นก็บอกเด็กรับใช้ชายคนนั้น “ใช้น้ำจากเขาอวี้เฉวียน ชงชาแดงฝูเจี้ยน”
เด็กรับใช้ชายคนนั้นตอบรับแล้ววิ่งออกไป
สืออีเหนียงมองดูรอบๆ
นางคิดมาตลอดว่าห้องหนังสือคือห้องทำงานของสวีลิ่งอี๋ และหน้าที่หลักคือการพบปะแขกคนสำคัญ แต่นางคิดไม่ถึงว่ามันคือห้องหนังสือจริงๆ และดูเหมือนว่าจะมีหนังสือซ่อนอยู่มากมาย ดูเหมือนว่าจะมากกว่าเรือนปั้นเย่ว์พั่นเสียอีก
“เรือนปั้นเย่ว์พั่นคือห้องหนังสือของข้า” สวีลิ่งอี๋อธิบาย “ส่วนที่นี่คือห้องหนังสือของหย่งผิงโหวทุกสมัย”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที
เด็กรับใช้ชายสองคน คนหนึ่งถือเตาดินเผาสีแดง อีกคนหนึ่งถือชุดน้ำชากระเบื้องเคลือบรูปทรงใบบัวเข้ามา
สืออีเหนียงลุกขึ้นไปช่วยชงชา
แต่สวีลิ่งอี๋กลับพูดว่า “เจ้านั่งลงเถิด ลองชิมชาของข้าดู”
สืออีเหนียงได้ยินน้ำเสียงที่เย่อหยิ่งของเขา รู้ว่าเขาคือคนที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ดี นางจึงนั่งดูเขาชงชาอย่างสบายใจ
กาป้านจื่อซาขนาดเล็ก น้ำเดือดอย่างรวดเร็ว
สวีลิ่งอี๋อุ่นถ้วยชาด้วยน้ำชาชุดแรก จากนั้นก็รินชาน้ำชาชุดที่สองให้นางลิ้มรส
สีน้ำตาลแดง น้ำชามีสีสันสดใส รสชาติเข้มข้น
สืออีเหนียงดมกลิ่น จากนั้นก็จิบเล็กน้อย
“เป็นเช่นไรบ้าง” สวีลิ่งอี๋ถามนาง เขาเองก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดมกลิ่นแล้วดื่มจนหมด
สืออีเหนียงเห็นสีหน้าที่คาดหวังของเขา จึงคิดว่าพูดตามความจริงคงดีกว่า “หวานเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องอื่น ข้าไม่ค่อยเข้าใจ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ จากนั้นก็หัวเราะ “ดื่มได้รสชาติหวานไม่ใช่เรื่องง่าย” จากนั้นก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าชอบดื่มชาอะไร”
สืออีเหนียงเห็นว่าบรรยากาศดี ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าชอบดื่มชาแดง ใส่น้ำผึ้งสองช้อนด้วยดีที่สุด”
“ใส่น้ำผึ้ง?” สวีลิ่งอี๋แปลกใจ เขาเลิกคิ้ว “เหมือนพี่สะใภ้สอง ลวกหินให้ร้อนแล้วโยนลงในถ้วยชา…”
อธิบายเช่นนี้ก็ถือว่าถูกต้องใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วพยักหน้า
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากข้างนอก
พวกเขาสองคนหันหน้ามองไปที่ประตูพร้อมกัน
มู่ฝูรายงานผ่านม่าน “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ พวกท่านรีบไปดูเถิดเจ้าค่ะ คุณชายใหญ่และคุณนายใหญ่ผิดปกติเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
สีหน้าของสืออีเหนียงเปลี่ยนไป “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
มู่ฝูลังเล “ท่านไปดูประเดี๋ยวก็รู้เองเจ้าค่ะ”
“ท่านโหว ข้าออกไปดูก่อนนะเจ้าคะ” สืออีเหนียงรีบลุกขึ้น เปิดม่านออก จากนั้นก็ไปที่ห้องรับแขกกับมู่ฝู
“สืออีเหนียง…” สวีลิ่งอี๋ห้ามนางไว้ไม่ทัน จึงรีบเดินตามออกไป
ถึงแม้ว่าตนและชีเหนียงไม่ได้ปิดบังเรื่องที่กลับมาเยี่ยนจิง แต่จูอานผิงสามารถตามหานางเจอภายในสองวัน จากนั้นก็ส่งเทียบเชิญมาขอเจอตนอย่างเปิดเผย อีกทั้งยังบอกให้ตนขอร้องให้สืออีเหนียงเกลี้ยกล่อมชีเหนียง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่เย่อหยิ่งและทะนงตน คนประเภทนี้ พูดคุยเป็นการส่วนตัวจะดีกว่า หากพูดคุยโดยมีสายตาของฝูงคนจับจ้อง เกรงว่าแม้ผิดก็คงจะไม่ยอมรับผิด
ความคิดนี้วาบขึ้นมา สวีลิ่งอี๋รีบเร่งฝีเท้าตัวเอง
เลี้ยวออกซอยไปก็เห็นสืออีเหนียงและมู่ฝูยืนอยู่ใต้ชายคา
เขาชะลอฝีเท้าลง ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของชีเหนียงและเสียงถามด้วยความโมโหของจูอานผิง “…นางก็แค่เข้ามารินชาให้ข้าตอนที่ไม่มีคนอยู่ เจ้าคิดว่านางทำผิดกฎ ตำหนินางก็พอแล้ว แต่กลับหนีออกมาโดยที่ไม่พูดอะไรเช่นนี้ นี้คือท่าทีที่นายหญิงควรมีเช่นนั้นหรือ” พูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า “หากเจ้ารักข้าสักนิดหนึ่ง นึกถึงข้าที่ดีกับเจ้ามาตลอด ก็คงไม่มีทางใช้เรื่องที่มองไม่เห็นเช่นนี้มาเป็นข้ออ้าง หนีออกจากบ้านครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้” พูดถึงตรงนี้ เขาก็โมโหอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าระหว่างทาง ขอร้องสหายไปตามหาเจ้าทุกที่ แต่กลับบอกไม่ได้ว่าเจ้าหนีออกจากบ้านมาทำไม ตอนนี้คนทั้งซานตงคงรู้กันหมดแล้วว่าข้าทำผิดต่อภรรยา ทำให้ภรรยาโมโหจนต้องหนีกลับสกุลเดิม”
เขาโมโห แต่ชีเหนียงโมโหยิ่งกว่าเขาเสียอีก นางร้องไห้แล้วพูดว่า “เจ้ากับเซียงอวิ๋นยักคิ้วหลิ่วตาใส่กัน แต่กลับมีเหตุผล?”
“ข้ากับเซียงอวิ๋นทำอะไรกัน เจ้าลองถามตัวเองดู หรือว่าเจ้าไม่รู้?” จูอานผิงพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห “ไม่เช่นนั้น ทำไมเจ้าไม่ยอมฟังข้าอธิบายแม้แต่คำเดียวเล่า”
“พวกเจ้าทำอะไรกัน ข้าจะรู้ได้เช่นไร” ชีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาจากข้างหลังนางเบาๆ
พอหันหน้ากลับไปก็เห็นสวีลิ่งอี๋เดินเข้ามา นางจึงทำท่าทางบอกให้สวีลิ่งอี๋เงียบ
พวกเขาสองคนยืนฟังอยู่ใต้ชายคา
“ข้ารู้ การแต่งงานครั้งนี้ข้าเป็นคนบังคับเจ้า” จูอานผิงพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “ชีเหนียง เจ้าไม่ต้องร้องไห้ ในเมื่อเจ้าเดินทางมาจากซานตง มาที่บ้านของหย่งผิงโหวฮูหยิน น้องสาวของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าคงจะมีความคิดเป็นของตัวเอง ถือโอกาสนี้ เจ้าไม่สู้พูดความจริงกับข้าว่าเจ้าคิดเช่นไรกันแน่ เจ้าก็รู้ว่า ข้าไม่ใช่คนใจแคบ พูดมาตามตรงเถิด”
สืออีเหนียงตกใจ
มีเสียงที่หวาดกลัวของชีเหนียงดังขึ้นมาจากในห้อง “เจ้า เจ้าหมายความว่าเช่นไร”
“อยู่ที่จวนหย่งผิงโหว อยู่ต่อหน้าหย่งผิงโหว ต่อหน้าน้องหญิงของเจ้า เจ้าต้องการเช่นไร ข้าฟังเจ้าทุกอย่าง” จูอานผิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ถึงแม้ว่าจะเรียบเฉย แต่กลับบอกเป็นนัยว่าชีเหนียงรังแกเขา
“เจ้าพูดอะไร” ชีเหนียงลุกขึ้นมา “ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ” ชีเหนียงร้องไห้ “หากข้าเป็นคนเช่นนั้น ข้าคงไล่เซียงอวิ๋นออกไปตั้งนานแล้ว…”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่ไล่เซียงอวิ๋นออกไป” จูอานผิงถามอย่างเย็นชา
“ข้า ข้า…” ชีเหนียงพูดไม่ออก
“เจ้าเป็นนายหญิง ทำไมแม้แต่สาวใช้คนเดียวก็ไม่กล้าจัดการ” จูอานผิงเค้นถาม
“ก็เพราะว่า เพราะว่า…” ชีเหนียงกระอึกกระอัก
“เพราะว่าเจ้าไม่สบายใจใช่หรือไม่” จูอานผิงพูดเบาๆ “เพราะว่าไม่มีลูก เจ้าจึงไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจ รู้ว่าสาวใช้ทำผิดกฎ แต่ก็ไม่กล้าตะโกนต่อว่า…”
“เหลวไหล เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าพูด…” ชีเหนียงตอบโต้ แต่กลับร้องไห้ไม่หยุด
“เช่นนั้นเพราะว่าอะไร” จูอานผิงถามด้วยน้ำเสียงที่คาดหวัง
“เพราะว่า เพราะว่า…” ชีเหนียงพูดไม่ออก
“กลัวว่าไม่มีลูก แล้วข้าจะรับคนอื่นเข้ามาในเรือน?” จูอานผิงพูดขึ้นมา
ชีเหนียงไม่พูดไม่จา
“คนของท่านแม่เจ้า คนของท่านแม่ข้า ข้าก็ไล่ออกไปหมดแล้ว จะให้ข้าทำเช่นไรอีก”
ชีเหนียงร้องไห้หนักกว่าเดิม
“อย่าร้องเลย!” สืออีเหนียงได้ยินจูอานผิงพูดอย่างไม่พอใจ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ก็แค่ไม่มีลูกไม่ใช่หรือ เราออกเงินให้พระโพธิสัตว์กวนอิม หรือไปที่ขอพรจากเทพเจ้าที่วัดผู่ถัว มันจะต้องมีทางออกสิ!”
“จริงหรือ?” ชีเหนียงตกใจ จากนั้นก็ทำท่าทางขี้ขลาด “หาก…หากไม่สำเร็จเล่า”
“ไม่สำเร็จ!” จูอานผิงพูด “ข้าคิดมาตลอดทางว่าหากไม่สำเร็จ เราก็เลี้ยงบุตรบุญธรรม!” พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เลี้ยง…เลี้ยงลูกบุญธรรม?” ชีเหนียงพูดด้วยความตกใจ
“ใช่” จูอานผิงพูดเบาลง “ถ้าเจ้าไม่ชอบ เราก็รับเด็กมาเลี้ยง สกุลเราพี่น้องมากมายขนาดนั้น เรารับเด็กของพวกเขามาเลี้ยง เจ้าคือมารดาของเขา ต่อไปเขาต้องรักเจ้าแน่นอน”
“จูอานผิง…” ชีเหนียงร้องไห้
สืออีเหนียงน้ำตาคลอ นางจับแขนเสื้อของสวีลิ่งอี๋เบาๆ พวกเขาสองคนถอยออกไปจากลาน ไปห้องหนังสือที่อยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ
“จูอานผิงคนนี้ ไม่เลวเลยทีเดียว!” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่เห็นด้วย “บุรุษต้องรักษาคำพูด ถึงแม้ว่าจะพูดกับสตรีก็ตาม การไม่มีลูกไม่ใช่เรื่องของเขาคนเดียว มันเป็นเรื่องของสกุลด้วย จะให้สัญญาตามอำเภอใจเช่นนี้ได้อย่างไร หากทำไม่ได้ขึ้นมาจะทำเช่นไร”
“โลกมีการเปลี่ยนแปลกอยู่เสมอ เราคาดเดาไม่ได้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูด “อย่างน้อยในตอนนี้ นี่คือความคิดที่แท้จริงของจูอานผิง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!”
สวีลิ่งอี๋มองภรรยาของตัวเองด้วยความตกใจ
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา นางรู้ว่าสวีลิ่งอี๋ไม่เข้าใจ จึงเปลี่ยนเรื่อง “มู่ฝู เอะอะโวยวายเรียกพวกเราไป ทำให้พลาดชาชั้นดี ประเดี๋ยวต้องให้จูอานผิงชดใช้”
ทันทีที่นางพูดจบ มู่ฝูก็วิ่งเข้ามา “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายใหญ่และคุณนายใหญ่เชิญพวกท่านไปที่ห้องรับแขกเจ้าค่ะ”