“สัตว์อสูรลวงตา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาลง สายตาของเขาแผ่บรรยากาศเย็นยะเยือกออกมาอย่างชัดเจนระหว่างที่พึมพำคำพูดนั้น
แน่นอนว่ากิเลนอัคคีย่อมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
สัตว์อสูรลวงตานั้นแตกต่างจากสัตว์อสูรชนิดอื่น สัตว์อสูรชนิดนี้มีความคิดที่ซับซ้อนยิ่งกว่ามนุษย์ มันสามารถสร้างภาพลวงตาได้ และทำได้แม้กระทั่งเข้าสิงร่าง และควบคุมมนุษย์ได้อีกด้วย
ในอดีตนั้นฮองเฮาเคยถูกสัตว์อสูรลวงตาควบคุมเอาไว้ และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณ แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เพราะความจริงแล้วฮองเฮาก็ไม่ได้ชอบไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาตั้งแต่เขายังเด็กแล้วเช่นกัน
ตอนที่นางตั้งท้องไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นเป็นตอนที่ฮ่องเต้เริ่มหลงมัวเมาในกามารมณ์
ด้วยเหตุนั้นนางจึงคิดว่าลูกในท้องของนางเป็นตัวถ่วง
ไม่ว่าคนอื่นๆ จะหว่านล้อมนางเพียงใดว่าตราบใดที่นางสามารถคลอดบุตรชายให้กับเขาได้ นางก็จะได้มีชีวิตที่สุขสบาย แต่ความเกลียดชังที่นางมีต่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่เคยจางหายไป
แต่ฮองเฮาก็ไม่เคยกล่าวว่านางไม่ต้องการเด็กคนนี้ แต่นางตั้งใจที่จะใช้เด็กคนนี้เอาชนะใจของฮ่องเต้ต่างหาก
สิ่งที่ฮองเฮานึกไม่ถึงนั้นกลับกลายเป็นว่าไม่ใช่แค่ฮ่องเต้จะไม่เปลี่ยนใจ แต่เวลาที่เขาใช้ร่วมกันกับมู่หรงฮองเฮากลับมากขึ้นเรื่อยๆ เสียอีก
ท้ายที่สุดฮองเฮาจึงไม่สนใจไยดีไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีก ในความคิดของนางนั้น การให้กำเนิดบุตรชายก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการไม่มีลูกเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้น ไม่ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะมีความสามารถโดดเด่นสะดุดตาเพียงใด แต่ความสามารถพวกนั้นก็ดูด้อยค่าในสายตาของนาง
หัวใจของฮองเฮามีแต่ฮ่องเต้ จึงยากนักที่นางจะเอาเรื่องของคนอื่นมาใส่ใจ
ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นบุตรชายของนางเองก็ตาม
นี่จึงเปิดโอกาสให้สัตว์อสูรลวงตาเข้าสิงนางได้ เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว การเข้าควบคุมคนที่มีปีศาจอยู่ในตัวตั้งแต่แรกนั้นถือเป็นเรื่องที่ง่ายกว่ามาก
วันนั้นฮองเฮาเรียกตัวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้าวังหลวง นางทั้งตำหนิและเหยียบย่ำเขา จากนั้นก็พุ่งเข้าทำร้ายเขา
แม้ว่ารูปลักษณ์และสายตาอันดุร้ายขององค์ชายจะทำให้สัตว์อสูรลวงตาหวาดกลัวจนหนีไป แต่มันก็เกิดความเสียหายขึ้นแล้ว
ฮองเฮาคิดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นคนที่คิดจะทำร้ายนาง นางถือกรรไกรเอาไว้ในมือ แล้วกรีดใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลางกองเลือดอันพร่าเลือน
กิเลนอัคคีรู้ว่าไม่ใช่เพราะผู้เป็นนายของมันไม่สามารถหลบกรรไกรเล่มนั้นได้ แต่เป็นเพราะเขาเห็นนางเป็นคนสำคัญต่างหาก
และเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นางถึงได้ส่งตัวเขาออกไปอยู่นอกวังหลวงด้วยความหวาดกลัว
ในเวลาไม่ถึงปี ฮองเฮาก็สิ้นพระชนม์ มีข่าวลือว่าร่างกายของนางอยู่ในสภาวะอ่อนแอจนเกินไป
กิเลนอัคคีรู้ว่าผู้เป็นนายมีวัยเด็กที่ไม่มีความสุขนัก
แต่ยิ่งนายท่านอยู่ในสภาพเช่นนี้มากเพียงใด มันก็ยิ่งจำเป็นต่อเขามากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดเห็นอันใดกับการกระทำของฮองเฮา
แต่ตอนนี้ สัตว์อสูรลวงตาได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว
กิเลนอัคคีกางกรงเล็บออก คิ้วของสัตว์ร้ายขมวดเข้าหากันแน่นกว่าที่เคย
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ สายตาของเขาเย็นชาระหว่างที่ออกคำสั่งกับคนที่อยู่ข้างตัวว่า ”ไปตรวจสอบการเคลื่อนไหวในหน่วยพิฆาตวิญญาณเมื่อเร็วๆ นี้มา”
เงาทมิฬก้มศีรษะลงและก้าวถอยหลังออกไปด้วยความเคารพ
อาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าประกาศเสียงดังว่า ”เริ่มการทดสอบได้!”
มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามันจะเป็นโชคร้ายล้วนๆ หรือจะเป็นความบังเอิญอย่างแท้จริง
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับอวิ๋นปี้ลั่วได้อยู่กลุ่มเดียวกัน
ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนั้น ก็เริ่มมีหลายคนที่ลอบมองมาทางเฮ่อเหลียนเวยเวย จะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่สายตาของคนพวกนั้นก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังตั้งตารอละครสนุกๆ อยู่
ชิงจ้านเห็นทุกอย่างในตอนที่นางสาวเท้าก้าวเข้ามา นางไม่ได้รบกวนอาจารย์ที่กำลังอยู่ระหว่างการสอนวิธีอัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด แต่เมื่อนางเห็นรอยยิ้มบางๆ ของอวิ๋นปี้ลั่ว นางก็กลืนคำพูดทั้งหมดของตนกลับลงคอทันที นางคิดว่าอวิ๋นปี้ลั่วยังไม่รู้เรื่องที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ในสำนัก นางจึงตั้งใจว่าจะรอจนกว่าการทดสอบนี้จะจบลง แล้วจึงค่อยเข้าไปคุยกับเฮ่อเหลียนเวยเวย
ด้วยความที่พวกนางสองคนเป็นองครักษ์ของวังปีศาจ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่อวิ๋นปี้ลั่วจะไม่เห็นความลังเลของนาง นางเข้าใจความคิดของเด็กสาวที่เติบโตขึ้นมากับนางได้ดียิ่งกว่าที่ชิงจ้านเข้าใจตัวเองเสียอีก
องครักษ์ของวังปีศาจอาจจะซ่อนอารมณ์ของตนต่อหน้าคนอื่นได้ดีกว่าใคร
แต่อวิ๋นปี้ลั่วนั้นนำหน้าอีกฝ่ายอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ ดังนั้นนางจึงสามารถอ่านอารมณ์ที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ได้
อวิ๋นปี้ลั่วยิ้ม แต่สายตาของนางกลับมืดมน นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจากมาเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่หัวใจของเด็กสาวคนนี้กลับเอนเอียงไปหาคนนอกเสียแล้ว
บางทีเฮยจูอาจจะไม่รู้ว่าองค์ชายอยู่ในสำนักไท่ไป๋ แต่ในฐานะสาวใช้คนสนิทของเฮ่อเหลียนเวยเวย มีหรือที่ชิงจ้านจะไม่รู้ว่าองค์ชายอยู่ที่ไหน
เพียงแต่ไม่ยอมบอกนางก็เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นชิงจ้านหรือเงาทมิฬ
พวกเขาก็ล้วนเหมือนกันหมด
อวิ๋นปี้ลั่วเบือนสายตาไปมองทางอื่น และแล้วสายตาของนางก็หยุดลงที่เฮ่อเหลียนเวยเวย
ในเวลานั้นอาจารย์เพิ่งจะอธิบายเรื่องสำคัญให้ทุกคนฟังจบพอดี เขาหันหน้ามาหาอวิ๋นปี้ลั่ว แล้วบอกว่า ”ปี้ลั่ว แสดงให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่างทีสิ”
“เจ้าค่ะ” อวิ๋นปี้ลั่วก้าวออกมาข้างหน้า รูปโฉมอันงดงามของนางทำให้คนอื่นๆ รู้สึกสนิทสนมกับนางเป็นพิเศษ นางดีดนิ้วครั้งหนึ่ง แล้วดาบเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของนาง ดาบเล่มนั้นส่องแสงเรืองรองไปทั้งเล่ม และยิ่งดูโดดเด่นด้วยแขนเสื้อที่โบกสะบัดอย่างสง่างามของนาง นางดูเหมือนกับเทพธิดาที่ตกลงมาบนพื้นดินไม่มีผิด อาจารย์ท่านนั้นและลูกศิษย์คนอื่นๆ ถูกทุกการเคลื่อนไหวของนางดึงดูดสายตาเอาไว้
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็เผยรอยยิ้มมุมปากออกมา นางจงใจเดินสวนกับเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสีว่า ”เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้อยู่สบายๆ เพราะแต่งงานกับองค์ชายสามหรือ ลืมตาแล้วมองดูให้ดีเสียเถอะ คนคนนั้นต่างหากคือคนที่องค์ชายสามชอบจริงๆ”
“สาเหตุที่องค์ชายสามแต่งงานกับเจ้านั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการรับมือกับอดีตฮ่องเต้ และใช้เจ้าเป็นตัวแทนของนางเท่านั้น เจ้ามองดูตัวเองให้ดีสิ เจ้าไม่มีแม้กระทั่งรูปลักษณ์ให้เขาสนใจ สิ่งเดียวที่เจ้ารู้จักคือการสร้างอาวุธ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่นางรู้จักเช่นกัน ตอนนี้องค์ชายสามยังไม่ได้เห็นแม่นางอวิ๋นเท่านั้นหรอก แต่ทันทีที่เขาเห็นนาง เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังมีค่าอะไรอยู่อีกหรือ เจ้าคงไม่มีค่าคู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้านางเลยด้วยซ้ำ”
นางคาดหวังว่าจะได้เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยเสียใจอย่างสุดแสนหลังจากพูดจบ
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะทำเพียงแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วมองนางกลับมา ตามด้วยริมฝีปากบางที่เอ่ยคำพูดสามคำออกมาช้าๆ ว่า ”ไปให้พ้น”
สีหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว นิ้วของนางส่งเสียงลั่นกร๊อบ และดวงตาของนางก็จ้องมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมาดร้าย
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบาง ดูเหมือนนางจะไม่เป็นกังวลเลยสักนิดว่ากำลังจะทำให้อีกฝ่ายโกรธจนอกแตกตาย
“ข้าอยากจะเห็นนักว่าสุดท้ายใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายหัวเราะได้ในตอนจบ!” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินไปยืนข้างอาจารย์
อวิ๋นปี้ลั่วใช้นิ้วของตัวเองกระชับรอบด้ามดาบ ไม่รู้ว่านางตั้งใจหรือไม่ แต่นางก็ชำเลืองมองมาทางเฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”จงตื่นขึ้นมา!”
เสียงคำรามดังลั่นให้ได้ยินโดยทั่วกัน
ราวกับว่ามีบางสิ่งถูกอัญเชิญออกมาจากในป่าวิญญาณที่ด้านหลังของภูเขาแห่งนั้น เสียงคำรามก้องไปทั่ว
แค่ได้ยินเสียง ทุกคนก็รู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นจะต้องมีขนาดมหึมาอย่างแน่นอน!
ทุกคนมองหน้ากัน จากนั้นจึงมองไปทางอวิ๋นปี้ลั่วอย่างชื่นชม
แม้แต่อาจารย์ก็ยังใช้มือลูบเคราของตน แล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
อวิ๋นปี้ลั่วยกแขนเสื้อขึ้นสูง แล้วประกาศว่า ”จงปรากฏกายขึ้นมา!”
เสียงคำรามนั้นทั้งชัดเจนและเข้ามาใกล้ขึ้นกว่าที่เคย ปีกสีแดงสองคู่ทะยานจากหมู่ไม้ มันบินผ่านหลังคา และสุดท้ายก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วอย่างมั่นคง
“นั่นมันสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปีกคู่นี่!”
“โอ้ สวรรค์ ข้าไม่เคยเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปีกคู่ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย!”
“พวกเจ้าดูสิ! ทั่วร่างของมันมีเปลวไฟลุกท่วมอยู่ด้วย! สุดยอดไปเลย!”
บรรดาลูกศิษย์ต่างก็ตกอยู่ในอาการตื่นเต้นตกใจ แต่อาจารย์ก็ช่วยปรามให้พวกเขาทั้งหมดสงบลง ”รอจนกว่ามันจะถูกปราบให้เชื่องเสียก่อน แล้วพวกเจ้าค่อยเดินออกมา”
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ปีกคู่ที่ตัวใหญ่ถึงเพียงนี้คงฝึกให้เชื่องไม่ได้ง่ายๆ…