“คุณอีอูยอนมีนิสัยอ่อนหวานและเป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้ว เขาต้องดีกับแฟนสาวมากๆ เลยใช่ไหมคะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่รู้สิครับ เพราะผมก็ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขาเหมือนกัน”
…แต่รู้เรื่องส่วนตัวที่ไม่ได้อยากรู้เยอะมาก แค่รู้อย่างเดียวเหรอ ได้ยินด้วยต่างหาก…อ๊ากกก
หัวหน้าทีมชารีบลบความทรงจำอันแสนน่ากลัวที่โผล่ขึ้นมาในหัวทิ้งไป
“แต่ฉันว่าคุณอีอูยอนคงจะอ่อนโยนกับคนรักจริงๆ นะคะ”
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าสตาฟคนนี้จะมีเจตนาแฝงกับอีอูยอน หัวหน้าทีมชาจึงยิ้มโดยไม่พูดอะไรพลางดื่มกาแฟเข้าไป
แม้อีอูยอนจะไม่ได้มีนิสัยอ่อนหวาน หรือเป็นสุภาพบุรุษ แต่เขาก็โคตรจะอ่อนโยนกับคนรักของตัวเอง เพราะว่าอ่อนโยนมากๆ แค่ฟังการคุยโทรศัพท์กับชเวอินซอบจากข้างๆ เพียงอย่างเดียว ตนก็ถึงกับต้องล้างหูและหวีขนที่ลุกชันให้เรียบ
หากมีตารางงานที่ต่างจังหวัดแล้วได้ยินว่ามีร้านอร่อยอยู่ใกล้ๆ อีอูยอนจะเก็บนามบัตรไว้ พอตนเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยในพฤติกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อน คำตอบที่ไม่ซับซ้อนก็ถูกส่งกลับมา
‘เดี๋ยวผมจะลองมาอีกครับ’
หัวหน้าทีมชาไม่ได้ไม่มีเซ้นส์จนต้องถามว่าเดี๋ยวจะมาที่นี่กับใครออกไปดื้อๆ
แล้วอาการแปลกๆ ที่หวานมากจนอยากจะอ้วกออกมาก็ไม่ได้จบลงแค่นั้น วันที่ไม่มีงาน อีอูยอนจะไปเที่ยวภายในประเทศกับอินซอบ เขาไปเที่ยว และซื้อบ้านพักตากอากาศในที่ที่เงียบสงบและถูกใจเก็บไว้ สุดท้ายกรรมการผู้จัดการคิมที่กังวลด้วยปัญหาเรื่องภาษีก็พูดขึ้นมา
‘ซื้อบ้านของคนอื่นเก็บไว้อะไรขนาดนี้ จะซื้อบ้านเก็บไว้ทุกทิศทั่วเกาหลีเหรอ! นายซื้อบ้านไปกี่หลังแล้วกันแน่!’
‘อืม ก็ไม่รู้สิครับ เหมือนจะเกินสิบหลังแล้วนะ’
‘เพราะอะไรกันแน่! เพราะการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เหรอ ไม่สิ ถ้าจะลงทุน ก็ควรจะทำในที่ที่น่าจะใช้สิ มีที่ไหนกัน ซื้อบ้านกลางหุบเขาที่ไม่มีคนผ่านไปผ่านมาและอยู่ติดริมน้ำเก็บไว้’
‘ก็ที่แบบนั้นมันเงียบสงบและสวยนี่ครับ แล้วก็ไม่สะดุดตาคนอื่นด้วย’
‘…นายคงไม่ได้ซื้อบ้านเก็บไว้เพราะอินซอบหรอกใช่ไหม’
‘ใช่แล้วครับ เพราะคุณอินซอบเขาค่อนข้างต่อต้านการไปโรงแรมน่ะครับ’
คำตอบของอีอูยอนทำให้กรรมการผู้จัดการคิมเอากำปั้นทุบอก
‘บ้าไปแล้วเหรอ ถ้านายซื้อเก็บไว้โดยไม่ฟังเสียงใครแบบนี้ นายได้โดนภาษีอ่วมแน่ นายไม่รู้เหรอว่าคนต่างชาติน่ะยิ่งกว่าปวดกบาลอีกนะกับปัญหาเรื่องภาษี’
‘ผมไม่สนใจหรอกครับ’
อีอูยอนยิ้มพลางย้อนตอบ
‘แค่ไปพักที่โรงแรมก็พอแล้ว จะโยนเงินทิ้งกับบ้านพักตากอากาศที่ไปแค่ไม่กี่ครั้งต่อปีทำไม’
อีอูยอนปิดบทที่กำลังอ่านอยู่ลง รอยยิ้มน่าหวาดกลัวประดับอยู่ในดวงตาของเขา
‘คนมีเงินเยอะก็ต้องโยนเงินทิ้งสิครับ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณจะให้ขอทานโยนเงินทิ้งเหรอครับ แค่จ่ายภาษีก็จบแล้ว แล้วผมก็จ่ายเงินให้นักบัญชีแก้ไขปัญหาน่าปวดหัวพวกนั้นด้วยครับ’
‘ก็ใช่ แต่…’
‘ทำไมกรรมการผู้จัดการถึงสนใจกับเงินของผมขนาดนั้นล่ะ’
‘มะ ไม่ได้สนใจนะ ฉันเป็นห่วงต่างหาก เพราะว่านายใช้เงินเป็นน้ำกับที่ที่ไร้ประโยชน์ ฉันก็เป็นห่วงในฐานะกรรมการผู้จัดการของบริษัท…’
อีอูยอนเสยผมขึ้นพลางหัวเราะเบาๆ ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อไรก็เป็นเสียงหัวเราะที่น่าขนลุกอยู่เสมอ
‘ไร้ประโยชน์เหรอครับ ผมได้มีอะไรกับชเวอินซอบอย่างสบายใจในที่ที่วิวดี เรื่องเงินมันเป็นปัญหาเหรอครับ?’
‘…’
การพูดคำพูดที่จริงใจว่าไม่เสียดายเงินที่ทุ่มไปกับคนรักของตัวเองเลยสักสตางค์ออกมาได้อย่างลามกขนาดนั้นเป็นความสามารถเฉพาะตัว
กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจและรบกวนให้หัวหน้าทีมชาช่วยนัดหมายสถาบันเสริมความงามให้ราวกับคร่ำครวญ แต่พอเขาทำแบบนั้น…
‘ว้าว แล้วกรรมการผู้จัดการคิดยังไงครับ’
‘คิดยังไงเรื่องอะไร’
‘ก็เรื่องที่ใช้เงินเป็นน้ำกับที่ที่ไร้ประโยชน์แบบนั้นไงครับ’
อีอูยอนไล่มองใบหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมจากบนลงล่างพลางทำตายิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกับพูดเสริม
‘ผมเป็นห่วง’
…น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีความเป็นห่วงเลย ไม่ต่างอะไรกับเศษฝุ่นที่ติดอยู่ตรงปีกของแมลงวัน
หลังจากวันนั้นกรรมการผู้จัดการคิมก็ไม่เปิดปากพูดเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเงินของอีอูยอนอีก
“แล้วสเปกของคุณอีอูยอนเป็นยังไงเหรอคะ”
“อืม ไม่รู้สิครับ”
“ได้ยินมาว่าในการสัมภาษณ์คราวที่แล้วเขาบอกว่าชอบคนจิตใจดี เขาแค่พูดไปเฉยๆ สินะคะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ นั่นถูกต้องแล้วครับ”
“จริงเหรอคะ เขาชอบคนจิตใจดีเหรอคะ”
สตาฟแสดงสีหน้าดีใจพลางถามซ้ำ ดูเหมือนเธอจะรู้สึกว่าเครื่องกีดขวางต่ำลงในชั่วพริบตาเพราะคำพูดที่บอกว่า “แค่จิตใจดีก็พอแล้ว”
…แต่แค่ดีพอประมาณไม่ได้หรอกนะครับ
ใครบางคนเรียกหัวหน้าทีมชาที่ดื่มกาแฟแทนคำที่อยากพูดจากทางด้านหลัง
“หัวหน้าทีมชาครับ”
“ว่า?”
หัวหน้าทีมชาเบิกตาโตด้วยความตกใจและมองอีกฝ่าย
“สวัสดีครับ”
ชเวอินซอบยิ้มกว้างพลางก้มหัวทักทาย และทักทายสตาฟที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วย สตาฟคนนั้นจึงบอกว่ามีธุระและออกไปจากตรงนั้นทันที
“คุณอินซอบมาทำอะไรที่นี่เหรอ”
“คุณอีอูยอนลืมโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ครับ เมื่อกี้ผมได้รับข้อความว่าช่วยเอามาให้ที่นี่หน่อย เขาใช้เบอร์ของหัวหน้าทีมส่งมาน่ะครับ”
“อ้อ…”
หัวหน้าทีมชานึกเรื่องที่อีอูยอนขอยืมโทรศัพท์สักครู่หนึ่งก่อนเข้าไปถ่ายแบบออก
“ดูเหมือนเขาจะลืมน่ะครับ ปกติเขาไม่เป็นแบบนั้น”
อินซอบหัวเราะเบาๆ พลางแก้ตัวให้กับความผิดของอีอูยอน ตอนนั้นเอง…
“มาแล้วเหรอครับ ใช้เวลานานกว่าที่คิดนะ”
อีอูยอนที่เดินเข้ามาตอนไหนไม่รู้ยิ้มราวกับดอกไม้พลางทักทายอินซอบ
“อ๋อ ครับ รถเยอะน่ะครับ”
“รถติดมากเลยเหรอครับ ผมเรียกมาให้ลำบากโดยไม่จำเป็นหรือเปล่า”
“มะ ไม่เลยครับ ไม่ลำบากเลยสักนิดครับ ผมไม่เป็นไรครับ”
อีอูยอนยิ้มอย่างช้าๆ และก้มมองอินซอบที่ไม่ยอมสบตาและตื่นตระหนก
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“ครับ?”
“คอนเซปของการถ่ายนิตยสารวันนี้น่ะครับ ใช้ได้ไหมครับ”
“อ๋อ ครับ ใช้ได้ครับ”
“อืม ไม่ค่อยชอบใช่ไหมครับ”
“ปะ เปล่านะครับ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะครับ คุณเท่ดีครับ”
“เท่เหรอครับ แค่ไหนล่ะ”
อีอูยอนถามกลับอย่างดื้อดึง อินซอบตอบว่า “เท่มากครับ”
…จงใจเรียกมาสินะ
การถ่ายนิตยสารวันนี้เป็นการถ่ายเครื่องประดับแบรนด์เนม วินาทีที่เห็นอีอูยอนที่แต่งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าแม้แต่หัวหน้าทีมชาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับอีกฝ่ายยังถึงกับอุทานออกมาโดยอัตโนมัติว่า “หมอนั่นโคตรหล่อจริงๆ”
“โล่งอกไปทีนะครับ ผมกังวลมากเลยว่าจะเข้ากับผมหรือเปล่า”
“…ไม่ต้องกังวลเลยครับ”
อินซอบตอบกลับด้วยเสียงเบาๆ ดวงตาที่งดงามของอีอูยอนมีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่
อีอูยอนเป็นคนไม่สะเพร่า เขาไม่มีทางลืมอะไรทิ้งไว้ หรือทำเรื่องผิดพลาด เขารู้ดีอยู่แล้วเรื่องคอนเซปที่เหมาะกับตัวเอง และไม่มีทางที่จะกังวลในเรื่องนั้น
สุดท้ายนี่ก็เป็นแผนการที่ตั้งใจโชว์ภาพลักษณ์ที่ดูดีของตัวเองให้อินซอบเห็นเพื่อเอาอกเอาใจ….ขากถุย จริงๆ เลยนะไอ้เวรนี่
“นะ นี่ครับ โทรศัพท์มือถือ”
อินซอบยื่นโทรศัพท์มือถือให้
“ขอบคุณครับ ไว้ผมถ่ายงานเสร็จแล้วค่อยให้นะครับ”
…แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็จงใจทิ้งไว้สินะ ไอ้คนขี้อวดเอ๊ย
ในขณะที่หัวหน้าทีมชาแอบพ่นคำด่าอยู่ในใจ อินซอบก็ยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้
“งั้นผมฝากไว้ที่หัวหน้าทีมนะครับ หัวหน้าทีมครับ นี่…”
ตอนที่หัวหน้าทีมชากำลังจะรับโทรศัพท์มือถือมา แววตาของอีอูยอนก็น่ากลัวขึ้น
“คุณอินซอบเก็บไว้เถอะครับ หัวหน้าทีมชาบอกว่าอีกเดี๋ยวจะต้องไปที่ไหนสักที่น่ะครับ”
“หา? ฉันจะไป…”
สายตาเย็นชาของอีอูยอนจ้องมองลงมา หัวหน้าทีมชาที่คุ้นเคยกับพฤติกรรมแย่ๆ ของอีอูยอนมาหลายปีรีบหุบปาก
“อ๋อ ใช่ ฉันต้องไปที่ไหนสักที่น่ะ ฉันลืมไปเลย พออายุมากเข้าก็เป็นแบบนี้แหละ ฮ่าฮ่า”
“ครับ อย่างนั้นผมจะเก็บไว้เองครับ”
อินซอบเอาโทรศัพท์มือถือของอีอูยอนใส่กระเป๋าของตัวเองตามเดิม
“เย็นวันนี้คุณอินซอบไม่มีธุระใช่ไหมครับ”
อินซอบพยักหน้าให้กับคำถามของอีอูยอน
“งั้นเดี๋ยวช่วยขับรถให้หน่อยได้ไหมครับ เพราะหัวหน้าทีมชาต้องรีบไปจริงๆ น่ะครับ”
นี่เป็นการขู่โดยไม่มีคำพูดว่าให้รีบไสหัวไป หัวหน้าทีมหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้อินซอบเงียบๆ
“ครับ เข้าใจแล้วครับ ไม่ต้องห่วงนะครับหัวหน้าทีม”
อินซอบรับกุญแจ และพยักหน้าอย่างแน่วแน่
…อย่ายิ้มแบบนั้นเลยอินซอบ ฉันรู้สึกผิดนะ
“แถวนี้มีร้านอาหารแม็กซิกันที่พอใช้ได้อยู่ เสร็จงานแล้วไปกินกันไหมครับ”
คำถามของอีอูยอนทำให้หัวหน้าทีมชามั่นใจ
ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ไอ้หมอนี่ตั้งใจทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่อย่างนั้น เขาไม่มีทางรู้ว่ามี ‘ร้านอาหารแม็กซิกันที่พอใช้ได้อยู่แถวนี้’ แน่
“ครับ…เอ่อ ครับ”
อินซอบเหลือบมองหัวหน้าทีมชาแวบหนึ่งพลางเอ่ยตอบ ดูเหมือนเขาจะสังเกตเพราะกลัวว่าตนจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่
“เพราะคุณอีอูยอนจะกินข้าว ผมเลยต้องร่วมกินด้วยในฐานะผู้จัดการส่วนตัว…แม้จะเป็นผู้จัดการส่วนตัวแค่วันเดียวก็ตาม ยังไงก็ตาม…ครับ”
อินซอบตอบราวกับพึมพำข้อแก้ตัว
…ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก คุณอินซอบ เพราะยังไงผมก็รู้ทุกอย่างหมดแล้ว แค่รู้อย่างเดียวเหรอ ผมได้ดูไลฟ์สดการทำเรื่องแบบนั้นถึงสองครั้ง…อ๊ากก
หัวหน้าทีมชาที่นึกภาพที่ไม่มีประโยชน์ขึ้นมารีบส่ายหัวพลางสลัดความทรงจำนั้นทิ้งไป
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ เชิญนั่งรอก่อนเลยครับ”
อีอูยอนเดินไปเข้าฉากอีกครั้ง หัวหน้าทีมชาเอาเก้าอี้ที่อยู่แถวนั้นมาให้แล้วพยักพเยิดหน้าให้อินซอบนั่ง
“ขอบคุณครับ ผมควรจะไปหยิบมาเอง”
“ไม่เป็นไร นั่งรอเถอะ การถ่ายทำคงน่าเบื่อ”
ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่มีทางที่อินซอบจะนั่งรอ และจะได้ไม่โดนเสี้ยมสอน หรือถูกแสดงเล่ห์เหลี่ยมใส่ในที่ที่มองไม่เห็นด้วย
“ขอบคุณจริงๆ ครับ”
แม้กระทั่งเก้าอี้แค่ตัวเดียว อินซอบก็ขอบคุณจากใจจริงและยิ้มให้
ทำไมถึงเป็นคนที่จิตใจดีแบบนี้…
หัวหน้าทีมชาได้ลิ้มรสความรู้สึกไปๆ มาๆ ระหว่างสวรรค์กับนรกทุกครั้งที่เห็นอินซอบกับอีอูยอน
“อ้อ จริงสิ ไปส่งคุณยายเรียบร้อยดีไหม”
“ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”
“ใช่แล้วๆ คุณยายต้องได้ไปที่ที่ดีแน่ๆ คงจะนานมากแล้วสินะที่นายไม่ได้พักอย่างเต็มที่ที่บ้านของพ่อแม่ นายอยู่ประมาณสิบห้าวันใช่ไหม”
อีอูยอนโทรศัพท์มาขอให้ยกเลิกงานที่กำหนดไว้แล้วทั้งหมดอย่างกะทันหัน และเหตุผลก็คือจะต้องเข้าร่วมพิธีศพ เพราะคุณยายของอินซอบเสียชีวิต พอมีคนเสียชีวิต เขาก็ไม่กล้าพูดนั่นพูดนี่เกี่ยวกับเรื่องตารางงาน กรรมการผู้จัดการคิมจึงปรับเปลี่ยนตารางงานโดยไม่พูดอะไร
ผ่านไปไม่นานอีกฝ่ายก็โทรศัพท์มาบอกว่าจะพักอยู่ต่ออีกประมาณสิบวันถึงจะกลับ แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะโกรธจัดและถามว่าเรื่องงานเป็นเรื่องเล่นๆ เหรอ แต่อีอูยอนก็ไม่ใส่ใจฟังและวางสายไป
และโฆษณาที่ถ่ายวันนี้ก็เป็นเงินชดเชยของความโกรธจัดนั้น
“เอ่อ…ครับ ประมาณสิบห้าวัน”
แม้จะไม่ใช่เรื่องที่พูดเป็นพิเศษอะไร แต่อินซอบก็ตอบอย่างลนลาน และทำโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือหล่น
“ฉันเก็บให้เอง”
“ไม่ต้องครับ ผม…”
อินซอบก้มหน้า ด้วยเหตุนั้นโลหะเล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ในเสื้อเชิ้ตจึงส่งเสียงและปรากฏให้เห็น