ตอนที่ 347 พังพินาศแต่เช้าตรู่
ทันทีที่รู้สึกตัวตื่นก็เป็นวันที่แสนร้อนระอุ
โชคดีที่ตอนกลางคืนมีพัดลม ไม่อย่างนั้นคงจะร้อนจนหลับไม่ลงแน่
เมื่อคืนเธอใช้น้ำมันดอกคำฝอยและแผ่นแปะแก้ปวดที่ฟางจั๋วหรานให้ไว้แล้ว ด้วยวิธีการทั้งสองนี้ แขนขาของหลินม่ายจึงไม่มีอาการปวดเมื่อยอีกต่อไป
เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าและต้มน้ำร้อนแล้ว สองแม่ลูกก็อาบน้ำกันอย่างรวดเร็ว ร่างกายจึงไม่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หลินม่ายซักเสื้อผ้า แล้วให้โต้วโต้วลงไปเอาอาหารเช้าจากร้านเปาห่าวชือขึ้นมา
เด็กๆ นั้นจะต้องฝึกฝนให้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างเหมาะสมตั้งแต่เล็ก ไม่เช่นนั้นเมื่อโตขึ้นจะมีนิสัยขี้เกียจได้
นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกว่าการทุ่มเทของคนใกล้ชิดนั้นเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและแน่นอน หากวันไหนที่ไม่ทำให้ เด็กก็อาจจะแค้นเคืองขึ้นมาได้
หลินม่ายอยากให้โต้วโต้วเข้าใจตั้งแต่เด็กว่าถึงจะเป็นการทุ่มเทให้กันระหว่างครอบครัวคนใกล้ชิด ก็เป็นสิ่งต้องมีให้กันและกัน
โต้วโต้วพาอาหวงออกไปข้างนอกด้วยกัน ผ่านไปไม่ถึงงครึ่งนาทีก็กลับมา แถมตอนกลับมายังมีฟางจั๋วหรานมาเพิ่มอีกคนด้วย
โต้วโต้วเข้ามาข้างในแล้วตะโกนเรียก “แม่ขา คุณอาซื้อปาท่องโก๋กับเกี๊ยวซ่าไก่แล้วก็มีน้ำเต้าหู้ด้วยค่ะ!”
แม้ว่าปาท่องโก๋น้ำเต้าหู้เกี๊ยวซ่าไก่จะไม่อร่อยเท่าซาลาเปากับเกี๊ยวของเปาห่าวชือ แต่ต่อให้เป็นอาหารที่อร่อยเท่าใด กินเข้าไปทุกวันก็ต้องมีเอียนกันบ้าง อย่าว่าแต่โต้วโต้วเลย ขนาดหลินม่ายเองก็อยากจะเปลี่ยนรสชาติบ้างเช่นกัน
เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “กำลังนึกอยากกินปาท่องโก๋อยู่พอดีเลยค่ะ”
เธอหยุดซักผ้าชั่วคราว ล้างฟองสบู่บนมือให้สะอาด แล้วจึงมาที่ห้องกินอาหาร
เจ้าตัวน้อยนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว มือเล็กสองข้างถือเกี๊ยวซ่าไก่กินด้วยความเอร็ดอร่อย
อาหวงแหงนหน้ามองหล่อนกินอยู่ที่ปลายเท้าด้วยท่าทางอยากกินจนน้ำลายสอ
เมื่อโต้วโต้วเห็นหลินม่ายก็โบกมือให้เธอ “แม่คะ รีบมากินเกี๊ยวซ่าไก่เร็วเข้า อร่อยมากเลย!”
หลินม่ายยิ้มพลางเดินเข้าไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
ฟางจั๋วหรานเทน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ใส่ถ้วยเอาไว้ให้เธอแล้ว และยังยื่นปาท่องโก๋ที่ทั้งหนาและใหญ่แท่งหนึ่งให้กับเธอ
หลินม่ายรับมากัดคำโต อืม อร่อยจริงๆ !
เธอเงยหน้าขึ้นพูดกับฟางจั๋วหราน “ทำไมวันนี้ถึงมาเช้าขนาดนี้ล่ะคะ?”
“มาเปลี่ยนรสชาติให้คุณกับโต้วโต้ว แล้วจะได้ถามด้วยว่าคุณยังปวดเมื่อยอยู่อีกไหม?”
หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่เมื่อยแล้ว”
เธอกินปาท่องโก๋ไปอีกหลายคำ “ปาท่องโก๋นี้ของคุณซื้อมาจากที่ไหนเหรอ? ทั้งหนาทั้งยาวขนาดนี้?”
ฟางจั๋วหรานเห็นท่าทางน้ำลายหกของอาหวงแล้วนึกสงสาร จึงฉีกปาท่องโก๋โยนให้มันครึ่งอัน
อาหวงไม่รอให้ปาท่องโก๋ทันตกถึงพื้นก็อ้าปากรับเอาไว้ แล้วกินเสียงดังกรอบแกรบอย่างน่าอร่อย
“ซื้อมาจากที่มหาวิทยาลัยน่ะ อาหารเช้าทั้งหมดนี้ซื้อมาจากโรงอาหารของมหาวิทยาลัยทั้งนั้นเลย”
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “มิน่าล่ะ! เพื่อจะได้กินดื่มของดีๆ ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยในอนาคต ฉันจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงเต่าหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่งให้ได้เลย”
ฟางจั๋วหรานไม่รู้สึกว่ามันเกินกำลังเธอเลยแม้แต่น้อย เขาเอ่ยให้กำลังใจ “สู้เขานะ คุณทำได้อยู่แล้ว!”
หลินม่ายกินปาท่องโก๋หมดไปหนึ่งแท่ง แล้วจิบน้ำเต้าหู้สองสามอึก เอ่ยถามขึ้น “ฉันอยากเปิดโรงเรียนอนุบาลค่ะ คุณคิดว่าควรจะซื้อที่ดินสร้างโรงเรียนอนุบาล หรือว่าซื้อโรงงานมาปรับปรุงใหม่ดีล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมจู่ๆ ถึงนึกอยากเปิดโรงเรียนอนุบาลขึ้นมาล่ะ?”
หลินม่ายเบนสายตาไปยังโต้วโต้ว “ก็เพราะโต้วโต้วน่ะสิ เปิดโรงเรียนอนุบาลแล้ว โต้วโต้วก็ได้ไปเรียน ไม่ใช่แค่ให้พวกเด็กๆ ได้เล่นกัน แต่ยังสามารถเล่าเรียนความรู้เล็กๆ น้อยๆ ได้ด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหล่อนจะมีคนดูแล เวลาที่ฉันยุ่งอยู่ก็จะได้ไม่ต้องกังวลในเรื่องข้าวของ”
ฟางจั๋วหรานได้ยินอย่างนั้นก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกับเถาจืออวิ๋น “โต้วโต้วไม่ได้ส่งไปให้ป้าติงช่วยดูแลด้วยกันกับฉีฉีแล้วหรอกเหรอ การเปิดโรงเรียนอนุบาลเพื่อหล่อนคนเดียวมันก็เกินไปหน่อยนะ ช่วงนี้ให้ป้าติงช่วยดูแลหล่อนไปก็ดีแล้ว รอถึงเดือนกันยายนก่อน ผมจะหาทางส่งโต้วโต้วเข้าโรงเรียนอนุบาลในสังกัดมหาวิทยาลัยการแพทย์ของเราเอง”
โรงเรียนอนุบาลของรัฐในยุคนี้มีน้อยมาก ที่มีอยู่ก็เป็นของสังกัดในหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ เด็กชาวบ้านธรรมดาไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าเรียนได้เลย
องค์กรและสถาบันของรัฐนั้นไม่มีโรงเรียนอนุบาล มีแค่สถานรับเลี้ยงเด็ก แต่สถานรับเลี้ยงเด็กก็รับผิดชอบแค่การดูแลเด็กเล็กเท่านั้น ไม่ได้สอนความรู้
นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าทุกหน่วยงานของรัฐจะมีสถานรับเลี้ยงเด็ก ต้องเป็นหน่วยงานขนาดใหญ่ที่มีสวัสดิการดีเท่านั้นถึงจะมี อีกทั้งยังรับเฉพาะลูกของพนักงานในองค์กรด้วย
องค์กรที่มีโรงเรียนอนุบาลในสังกัดของตัวเองอย่างมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้นั้นหาได้ยากมาก
หลินม่ายไม่อยากให้ป้าติงมาดูแลเด็กน้อยทั้งสองอยู่นานแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้ฟางจั๋วหรานไปขอร้องคนอื่นเพื่อโต้วโต้ว
ทั้งหมดเป็นเรื่องตนสามารถแก้ไข้ได้ เธอยืนกรานไม่ยอมให้ฟางจั๋วหรานขอร้องคนอื่นอย่างเด็ดขาด
ใช้มีดก็ต้องใช้ให้ฉลาด
เธอส่ายหน้าปฏิเสธ “ถ้าให้โต้วโต้วเข้าโรงเรียนอนุบาลในสังกัดมหาวิทยาลัยการแพทย์ของพวกคุณ คุณก็ต้องไปขอร้องคนอื่นเขา อย่างนั้นฉันสร้างโรงเรียนอนุบาลเองยังดีกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมก็ไม่ได้ต้องใช้ความพยายามมากขนาดนั้น”
“ถึงไม่ได้ใช้ความพยายามของคุณมากมายนัก ฉันก็จะเปิดโรงเรียนอนุบาล”
หลินม่ายยืนกรานในความคิดของตน “ต่อไปขอบข่ายของโรงงานเสื้อผ้าของฉันจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ พนักงานก็มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ถ้าฉันเปิดโรงเรียนอนุบาล ก็สามารถให้ลูกของพนักงานเข้าเรียนได้ ซึ่งจะช่วยคลายความกังวลของพนักงาน ทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น”
ฟางจั๋วหรานได้ยินเธอพูดดังนั้น ก็ไม่ขัดขวางต่อไปอีก
เขาใคร่ครวญอย่างจริงจัง แล้วเอ่ยแนะนำ “ผมคิดว่าซื้อโรงงานมาปรับปรุงใหม่เป็นโรงเรียนอนุบาลเลยจะง่ายกว่า”
หลินม่ายพยักหน้า “อย่างนั้นก็ซื้อโรงงานแล้วกัน”
หลังจากกินมื้อเช้า ฟางจั๋วหรานก็คว้าถ้วยชามไปล้างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะซักผ้าของหลินม่ายสองแม่ลูกที่เปลี่ยนไปแล้วในตอนเช้าเสร็จสิ้น แล้วจึงออกจากบ้านพร้อมกับสองแม่ลูกหลินม่าย
เขาแยกกับสองแม่ลูกที่ชั้นล่าง แล้วจึงไปทำงาน
หลินม่ายส่งโต้วโต้วที่บ้านของป้าติง
ป้าติงพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม “เมื่อกี้ฉันเดินผ่านหลังบ้านของหนู เห็นศาสตราจารย์ฟางกำลังตากผ้าอยู่ที่ชั้นบน”
หลินม่ายส่งเสียงตอบรับเล็กน้อย แล้วส่งโต้วโต้วให้กับหล่อน
ป้าติงยิ้มเย้ยพลางพูด “อันที่จริงฉันไม่ควรพูดมากหรอก แต่ถ้าไม่พูดแล้วในใจฉันมันว้าวุ่นน่ะ”
พูดจบ ก็มองมาที่หลินม่ายอย่างคาดหวัง
หลินม่ายรู้ว่าหล่อนอยากจะให้ตนถามว่าหล่อนอยากพูดอะไร หล่อนถึงจะได้พูดต่อ
แต่ปัญหาก็คือ เธอไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าหล่อนจะพูดว่าอะไร งั้นจะกระตุ้นให้หล่อนพูดไปทำไมกัน?
เวลาของตนไม่มีค่าหรืออย่างไร?
ดังนั้นเธอจึงเมินสายตาของป้าติง หลังจากพูดฝากฝังโต้วโต้วสองสามคำแล้วกำลังจะเดินจากไป ก็ถูกป้าติงเรียกรั้งเอาไว้
ป้าติงพูดตะกุกตะกัก “เสี่ยวหลินเอ๊ย ศาสตราจารย์ฟางเป็นผู้ชาย ทั้งยังมีความรู้การศึกษาสูงส่ง หนูจะให้เขาทำงานบ้านไม่ได้นะ”
หลินม่ายตะลึงอ้าปากค้าง ต้าชิงล่มสลายไปตั้งนานขนาดนี้แล้ว แต่ป้าติงกลับยังคร่ำครึแบ่งชนชั้นขนาดนี้อีก
ผู้ชายทำงานบ้านสักหน่อยแล้วมันจะเป็นอะไรไป? จะเป็นริดสีดวงที่ปากหรืออย่างไร!
แม้จะรู้ว่าป้าติงนั้นมีเจตนาดี แต่เจตนาดีนี้เธอคงรับไว้ไม่ได้
หลินม่ายยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ไม่เป็นไรค่ะ ให้ศาสตราจารย์ฟางทำงานบ้านจะทำให้เขาผ่อนลนคลาย เป็นผลดีต่อร่างกายและจิตใจ” พูดจบเธอก็หมุนตัวเดินจากไปทันที
ป้าติงกระทืบเท้าอย่างกระวนกระวาย “มีคำพูดแบบนี้เสียที่ไหนกัน! เอาแต่ให้ศาสตราจารย์ทำงานบ้านอยู่เรื่อย ถ้าศาสตราจารย์ฟางโมโหขึ้นมา ไม่ต้องการเธอแล้ว คอยดูเถอะว่าเธอจะทำยังไง?”
ทว่าหล่อนก็ทำได้แค่บ่นเบาๆ เท่านั้น ไม่กล้าพูดคำพูดพวกนี้ออกไปเสียงดัง
หล่อนมองออก ว่าหลินม่ายไม่ชอบให้คนอื่นชี้นิ้วสั่งสอนว่าเธอต้องทำตัวอย่างไร อย่างนั้นหล่อนก็อย่าไปยุ่งมากเรื่องเลยดีกว่า
วันนี้เป็นวันรับใบแจ้งรับเข้าเรียนที่โรงเรียน หลังจากหลินม่ายออกมาจากบ้านของป้าติงเธอก็ไปที่โรงเรียนทันที
ขณะเดินผ่านห้องทำงานของอาจารย์เหวย ก็เห็นเพื่อนนักเรียนมากมายออกันอยู่ที่ประตูและมองเข้าไปข้างใน หลินม่ายเองก็เขย่งเท้าเหลือบมองเข้าไปด้วยความสงสัยด้วยเช่นกัน
เธอเห็นว่านฮุ่ยกำลังร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายตรงหน้าอาจารย์เหวย
หลินม่ายตกตะลึง แค่มาเอาใบแจ้งรับเข้าเรียนเท่านั้นเอง ไม่ได้มาจัดงานฌาปนกิจเสียหน่อย ไม่ถึงกับต้องร้องไห้จนเป็นแบบนั้นหรอกมั้ง
ขณะที่เธอกำลังจะจากไป ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง “ว่านฮุ่ยน่าสงสารจริงๆ อยากเรียนหนังสือ แต่ที่บ้านกลับยอมให้พี่สาวที่เรียนได้ห่วยแตกคนนั้นของหล่อนได้เรียนแทนที่จะให้หล่อน เธอน่าเวทนาเกินไปแล้ว!”
คนอื่นไม่รู้ความจริง แต่หลินม่ายนั้นกลับรู้ดี
ทว่านี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของคนอื่น หลินม่ายนั้นไม่คิดจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวาย
ผู้หญิงอีกคนหนึ่งค่อนข้างรู้สึกเสียดายแทนตัวเอง “โชคดีที่เธอฉลาดพอ รู้จักขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เหวย ฉันน่ะคิดไม่ถึงเรื่องนี้เลย…”
สถานการณ์ของผู้หญิงคนนั้นคล้ายกับว่านฮุ่ยมาก หล่อนเองก็ได้คะแนนไม่มากพอที่จะสอบเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษา แต่ไม่มีปัญหากับการเรียนมัธยมปลาย
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ หล่อนเรียนมัธยมปลายไม่ได้เพราะครอบครัวยากจนเกินไป ไม่เหมือนกับว่านฮุ่ยที่เรียนมัธยมปลายไม่ได้เพราะพ่อแม่ลำเอียง
หลินม่ายฟังถึงตรงนี้ ก็เหลือบมองว่านฮุ่ยอีกครั้ง
แม้แต่นักเรียนที่แทรกเข้ามากลางคันอย่างเธอก็ยังได้ยินมาว่าภาระรับผิดชอบของอาจารย์เหวยนั้นหนักมาก
ด้านหน้ามีคนแก่สองคนต้องดูแล ด้านหลังก็มีลูกๆ สามคนต้องเลี้ยงดู แต่ว่านฮุ่ยกลับไปขอร้องเขาจนถึงที่สุด แบบนี้จะไม่เป็นการทำให้อาจารย์เหวยลำบากใจหรอกเหรอ?
หลินม่ายไปที่ห้องเรียนไม่นานนัก พวกนักเรียนมุงดูอยู่ที่ประตูห้องทำงานก็ทยอยกันกลับมา
นักเรียนจำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียโอกาสในการเรียนนั้นพูดถึงว่านฮุ่ยด้วยความอิจฉา
เมื่อครู่นี้หล่อนวิ่งไปขอให้อาจารย์เหวยช่วย สุดท้ายอาจารย์คนอื่นๆ ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยกันหมดคนละสองหยวนสามหยวน จนหล่อนได้รับไปสามสิบกว่าหยวนแล้ว
ชั้นมัธยมปลายหนึ่งเทอมก็มีค่าเทอมราวยี่สิบหยวน อย่างน้อยว่านฮุ่ยก็ไม่มีปัญหาในการเรียนมัธยมปลายไปหนึ่งเทอม
แต่นักเรียนที่เสียโอกาสในการเรียนเหล่านั้นกลับไม่มีแม้แต่โอกาสจะเรียนชั้นมัธยมปลายแม้แต่เทอมเดียว
หลินม่ายได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบ
ค่าเล่าเรียนหนึ่งเทอมแค่ยี่สิบหยวนเท่านั้นเอง แต่ว่านฮุ่ยกลับไม่คืนเงินที่เกินมากลับไปให้พวกอาจารย์ หล่อนไม่มีมโนธรรมหรืออย่างไร?
ผ่านไปไม่นาน อาจารย์เหวยและว่านฮุ่ยที่ร้องไห้จนสองตาบวมแดงก็เข้ามาในห้องเรียนเช่นกัน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในเมื่อขอความช่วยเหลือแบบเอาเปรียบคนอื่นแบบนี้ ก็ระวังคนอื่นๆ จะเล่นงานทีหลังแล้วกันนะว่านฮุ่ย
ไหหม่า(海馬)