“เจ้าต้องการใช้ฐานะของตัวเองมาข่มข้า ข้าได้ยินที่เจ้าพูดชัดเจนดี” น้ำเสียงเฉยชาของเขาทรงอำนาจยากจะต้านทานได้ ”อีกอย่างหนึ่ง คนที่เจ้ากล่าวพาดพิงว่าไม่ซื่อสัตย์และสกปรกนั้นคือใครกันหรือ”
ทันทีที่สิ้นสุดคำถาม เขาก็ตวัดดวงตาเรียวยาวของตนขึ้นมองอีกฝ่าย กลิ่นอายคุกคามและเย็นชาแผ่ออกมาจากตาคู่นั้น
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว นางไม่เคยเห็นองค์ชายสามตอนโตมาก่อน
ย้อนกลับไปตอนที่นางได้เห็นแผ่นหลังของเขาที่วังหลวงเมื่อหลายปีก่อนนั้นเป็นตอนที่เขาเพิ่งจะหายดีจากเหตุการณ์ในวันนั้นได้ไม่ทันไร
ตอนนี้ในที่สุดนางก็ได้เห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขาแล้ว แต่นางกลับไม่กล้าแม้แต่จะชำเลืองมอง
นางลอบมองไปที่อวิ๋นปี้ลั่วหลายต่อหลายครั้ง ด้วยหวังว่านางจะช่วยร้องขอความเมตตาให้กับนาง
ท่านแม่เคยบอกว่า องค์ชายสามจะทำตามที่อวิ๋นปี้ลั่วบอกทุกอย่าง!
แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่รู้ว่า ’ป้ายทองละโทษตาย’ ที่นางควรจะมีอยู่ในมือนั้นเพิ่งถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไล่ไปเมื่อครู่นี้เอง
มู่หรงฉางเฟิงที่รีบรุดเข้ามาแต่ไกลมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงกับลอบยิ้มออกมา
การเปิดเผยฐานะที่แท้จริงอันเหนือความคาดหมายนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี
ท่านพ่อทุ่มกำลังทั้งหมดไปกับการทำให้อวิ๋นปี้ลั่วได้เข้ามาในสำนักไท่ไป๋อย่างระมัดระวัง ทั้งหมดก็เพื่อให้นางได้พบกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโดยเร็วที่สุด
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดที่จะกระจายข่าวนี้ออกไปให้ทั่ววังหลวงเพื่อให้อดีตฮ่องเต้ทรงทราบ
แต่ดูเหมือนว่าเขาคงไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้อีกแล้ว ใครจะรู้เล่าว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ที่สำนักไท่ไป๋มาตลอด
นี่เป็นบทสรุปที่น่าพอใจที่สุดสำหรับเขาเลยก็ว่าได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องมองออกอย่างแน่นอนว่าสำหรับผู้ชายคนนั้นแล้ว นางก็เป็นได้แค่เพียงหมากที่ใช้แล้วทิ้งได้ทุกเมื่อตัวหนึ่งก็เท่านั้น
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ ทำไมเจ้าถึงมองไปที่คนอื่นแทนที่จะเป็นข้าหรือ” เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังขึ้นอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รวบรวมความกล้า แล้วตอบว่า ”เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะที่เข้าใจสถานการณ์ผิดไป และปรักปรำความผิดให้กับพี่ใหญ่… หม่อมฉันเพียงแค่คิดว่าองค์ชายคงอยากจะสนทนากับพี่อวิ๋นหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปีเพคะ พี่ใหญ่ไม่ได้นำเรื่องการกลับมาของพี่อวิ๋นไปบอกท่านหรือเพคะ พวกนางเคยพบหน้ากันหลายครั้งแล้ว”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เชื่ออย่างสุดหัวใจว่าตราบใดที่นางสามารถเปลี่ยนประเด็นได้ นางก็จะสามารถเอาตัวรอดจากหายนะนี้ไปได้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมไม่ปล่อยให้นางผิดหวัง เขาตวัดสายตามององครักษ์เงาอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มนั้นทำให้พวกเขาเสียวสันหลังวาบโดยไม่รู้สาเหตุ
“เจ้าเคยพบกันแล้วหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจี้ถามเฮ่อเหลียนเวยเวย เขายังดูค่อนข้างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก
“อืม” นางรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังความจริงเรื่องนี้ แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังไม่เข้าใจความคิดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ดี...
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ทอแสงวาบเมื่อนางเห็นทั้งสองแลกเปลี่ยนบทสนทนากัน จากนั้นนางจึงกล่าวเสริมว่า ”พี่ใหญ่อาจจะปิดบังความจริงนี้เอาไว้จากองค์ชายเพราะนางกลัวว่าองค์ชายจะไขว้เขวหลังจากได้ยินว่าพี่อวิ๋นกลับมาแล้วก็ได้เพคะ ไม่อย่างนั้นเมื่อคราวก่อนตอนอยู่ที่หอน้ำชา นางก็คงไม่แข่งร้องเพลงกับพี่อวิ๋นหรอกเพคะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันมองไปรอบๆ รอยยิ้มชั่วร้ายทิ้งเงาเอาไว้บนมุมปากของเขา ”พวกนางถึงกับแข่งร้องเพลงกันเชียวหรือ ข้าเดาว่านางคงมาถึงสำนักไท่ไป๋ได้พักใหญ่แล้วสินะ”
“ใช่แล้วเพคะ พี่อวิ๋นอยู่ที่นี่มาได้สักพักหนึ่งแล้ว” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สรุปในใจว่ายิ่งบอกว่านางอยู่ที่นี่มานานเพียงใด เฮ่อเหลียนเวยเวยก็จะยิ่งดูปลิ้นปล้อนมากขึ้นเท่านั้น
อวิ๋นปี้ลั่วฟังบทสนทนาของทั้งสองอย่างเงียบๆ นางยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าสาเหตุที่ทำให้องค์ชายไม่สนใจนางเช่นนี้นั้นเป็นเพราะอดีตระหว่างเขากับนาง
อันที่จริง เขาต้องสนใจเรื่องการกลับมาของข้าอย่างแน่นอน…
มิฉะนั้นเขาคงไม่คุยกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยืดยาวถึงเพียงนี้
อวิ๋นปี้ลั่วอดรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาไม่ได้เมื่อนางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นางมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยดวงตาที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำตา
ใครๆ ต่างก็บอกว่าองค์ชายสามใจเย็นกับอวิ๋นปี้ลั่วเป็นที่สุด และยิ่งมีจุดอ่อนกับน้ำตาของนาง
แต่ไม่เคยมีใครทดสอบความจริงข้อนี้ได้
ในความเป็นจริงแล้วดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับอาบไปด้วยความชั่วร้ายอันเย็นชาในยามที่เขาใช้นิ้วเรียวยาวหมุนแหวนบนนิ้วตัวเอง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า ”ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ไม่มีใครแจ้งให้ข้ารู้สักคนว่านางกลับมาแล้ว ทำให้ข้าพลาดโอกาสฟังดนตรีอันไพเราะเสียได้”
สีหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นอ่อนหวานนุ่มนวลเมื่อนางได้ยินที่เขาพูด เผยให้เห็นความงดงามในยามที่น้ำตาของนางกลับกลายเป็นรอยยิ้ม ”ตอนนี้หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ หม่อมฉันสามารถเล่นดนตรีให้ฝ่าบาทฟังได้ทุกเมื่อเพคะ”
“อย่างนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาขึ้นมอง แล้วจึงยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูเย็นชา ”หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็เล่นตอนนี้เลยสิ เจ้าสองคนบรรเลงดนตรีร่วมกัน ถ้าทำให้พระชายาพอใจกับการแสดงนั้นได้ ข้าจะแกล้งทำเป็นว่าเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”
อะไรนะ
รอยยิ้มที่มุมปากของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์แข็งค้างไปอีกครั้ง นางคาดไม่ถึงว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะตอบเช่นนั้น
ในเวลาเดียวกันนั้น ใบหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วก็พลันซีดจนไร้สีเลือด
“องค์ชายเพคะ…” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ
“อะไรหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวเท้าเข้าไป แล้วจ้องหน้านางอย่างเย็นชา ”เจ้าไม่อยากทำหรือ ข้าจะเพิ่มเงินเข้าไปให้อีกหนึ่งล้านตำลึงถ้าเจ้าสามารถทำให้พระชายาพอใจได้”
รอยยิ้มอันมีเอกลักษณ์นั้นยังคงฉาบอยู่บนใบหน้าของเขา แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนทำให้รู้สึกชาหนึบไปทั้งหนังศีรษะ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากศิษย์คนอื่นๆ
สายตาอันเต็มไปด้วยความเวทนาจับจ้องไปยังเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และอวิ๋นปี้ลั่ว ราวกับว่าพวกนางเป็นนักดนตรีชั้นต่ำในตรอกร้าง
อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่องค์ชายสามต้องการจะสื่อ
นิ้วของอวิ๋นปี้ลั่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นอย่างเงียบๆ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มของนางซีดเผือดราวกับถูกดูดเอาเรี่ยวแรงออกไปจนหมดสิ้น นางส่งสายตาน่าสงสารให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วเอ่ยว่า ”หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทคงไม่ยกโทษให้หม่อมฉันง่ายๆ แต่…”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้ยินที่ข้าพูดไม่ชัด” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตัดบทนางอย่างโหดเหี้ยมด้วยน้ำเสียงเย็นชา ”เจ้าจะเล่นหรือไม่เล่น”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของอวิ๋นปี้ลั่วก็ยิ่งซีด นางอยู่กับเขามาหลายปี ดังนั้นนางจึงรู้จักวิธีการอันมากด้วยเล่ห์เหลี่ยมทุกวิธีที่เขาใช้เป็นอย่างดี ผู้ชายคนนี้มีร้อยวิธีที่จะทรมานใครสักคนให้เจ็บปวดอย่างถึงที่สุดจนเขาหรือนางยอมตายเสียยังดีกว่า สิ่งที่อยู่ภายใต้หน้ากากน่าเคารพนับถือและหล่อเหลาปานเทพบุตรของเขานั้นคือตัวตนอันเลือดเย็นและอันตราย
“ในเมื่อเจ้าไม่อยากเล่นก็ช่วยไม่ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา แต่กลับแฝงไปด้วยความรื่นรมย์ในน้ำเสียง ”บางทีคงได้เวลาที่เราจะจัดการเรื่องพิธีแต่งงานภายในคฤหาสน์ผู้พิทักษ์แล้วกระมัง ส่วนคนที่พูดจาว่าร้ายให้กับพระชายา ไปตบหน้าตัวเองซะ!” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปลดกระดุมคอเสื้อของตนพร้อมกับเหยียดยิ้ม แล้วเอนกายลงเล็กน้อย จิตสังหารอันดำมืดปรากฏขึ้นที่มุมหนึ่งในดวงตาของเขา ”หรือเจ้าอยากให้ข้าเป็นผู้ลงโทษด้วยตัวเอง”
ใครจะกล้าให้องค์ชายสามลงโทษตนด้วยตัวเอง!
แค่คำพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
ทั้งๆ ที่ยังหวาดกลัวอย่างมาก แต่บรรดาคุณหนูทั้งหลายก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองซ้ำๆ
เพราะพวกนางเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าผลลัพธ์ของการต่อต้านองค์ชายเป็นอย่างไร
พวกนางอาจจะมีจุดจบเหมือนเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายที่เป็นหมัน ซึ่งมันเลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก
ข่าวลือกล่าวว่าองค์ชายสามแต่งงานกับเฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของอดีตฮ่องเต้
แต่จากสิ่งที่พวกเขาเห็นในวันนี้ ดูเหมือนว่าความจริงจะห่างไกลจากนั้นมากนัก
บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างก็รู้สึกเหมือนโดนดูถูกและถูกหักหลังจนอวัยวะภายในของพวกนางปวดร้าว แต่โชคร้ายที่ไม่มียาขนานใดสามารถรักษาอาการสำนึกเสียใจได้
ดังนั้น พวกนางจึงทำได้เพียงแค่กัดฟันยอมรับฝ่ามือที่ตบลงมาเท่านั้น
“องค์ชายเพคะ ได้โปรดฟังหม่อมฉันก่อนเพคะ!” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตื่นตระหนกจนรีบร้อนคว้าแขนเสื้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ด้วยความพยายามอันไร้ผล
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่แม้แต่จะชายตามองนาง เขาหันไปหาองค์ชายเจ็ดตัวน้อย แล้วสั่งว่า ”ส่งนางกลับไปที่คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ตามคำสั่งของข้า คฤหาสน์ผู้พิทักษ์เลื่อนการจัดพิธีแต่งงานมานานแล้ว พวกเขาต้องการที่จะฝ่าฝืนราชโองการเช่นนั้นหรือ”