เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 334 ไล่ออก ทำให้พวกนางกระอักกระอ่วน (2)

ตอนที่ 334 ไล่ออก ทำให้พวกนางกระอักกระอ่วน (2)

หลังจากพ่อบ้านตอบ เขาก็เดินถอยออกไป หัวหน้าตระกูลมั่วโมโหแต่ไร้ที่ระบาย ทำได้เพียงดื่มน้ำชาเพื่อบรรเทาความขุ่นเคือง

มั่วเชียนเสวี่ยเองก็ไม่ได้รีบร้อน เพียงลูบผมด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ในห้องโถงเงียบสงัด หลังจากหัวหน้าตระกูลมั่วดื่มน้ำชาบรรเทาความขุ่นเคือง มองเห็นสายตาของบรรดาผู้อาวุโสที่มองมา คล้ายนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ “จริงด้วย เชียนเสวี่ย ใกล้จะถึงวันเข้าพิธีปักปิ่นของเจ้าแล้ว ในวันนั้นลุงจะให้ป้าสะใภ้ของเจ้ามาดูแลพิธี…”

ไม่รอหัวหน้าตระกูลมั่วพูดจบ มั่วเชียนเสวี่ยพูดขัดขึ้น “ไม่รบกวนมั่วฮูหยินแล้ว เชียนเสวี่ยมีแม่บุญธรรม แม่บุญธรรมบอกเชียนเสวี่ยตั้งแต่แรกแล้ว ท่านจะเป็นเจ้าภาพในพิธีปักปิ่นของเชียนเสวี่ย”

เรื่องที่จย่าฮูหยินรับมั่วเชียนเสวี่ยเป็นบุตรบุญธรรม แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงตั้งนานแล้ว

คนมากมายล้วนบอกว่าจย่าฮูหยินโชคดี รับบุตรบุญธรรมพร่ำเพรื่อ ก็เป็นถึงฮูหยินของตระกูลอันดับหนึ่ง เรื่องนี้ตระกูลมั่วย่อมได้ยินมาบ้าง

หัวหน้าตระกูลมั่วไม่สบอารมณ์อีกครั้ง “เหลวไหล! จย่าฮูหยินคนละแซ่กับเรา แล้วจะมาเป็นเจ้าภาพดูแลพิธีปักปิ่นของสตรีตระกูลมั่วได้อย่างไร” เขาคาดหวังว่าฮูหยินของตน สามารถอาศัยงานใหญ่ในครั้งนี้สานสัมพันธ์กับฮูหยินที่มีฐานันดรศักดิ์ ทางด้านมั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะในลำคอ พูดเย้ยหยัน “หรือหัวหน้าตระกูลคิดว่าฐานันดรศักด์ของแม่บุญธรรมต่ำต้อยกว่ามั่วฮูหยินเช่นนั้นหรือ หรือคิดว่าแม่บุญธรรมไม่มีสิทธิ์มากพอในการเป็นเจ้าภาพพิธีปักปิ่นของเชียนเสวี่ยเช่นนั้นหรือ”

อย่าหาว่านางพูดจาเจ็บแสบ พูดถึงเรื่องมีสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์ จย่าฮูหยินเป็นฮูหยินขั้นหนึ่ง มั่วฮูหยินเป็นเพียงหญิงชาวบ้านที่ไร้ฐานันดรศักดิ์ ผู้ใดมีสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องพูด

หัวหน้าตระกูลมั่วไอแห้งๆ ด้วยความกระอักกระอ่วน

เขาจะกล้าพูดได้อย่างไรว่าจย่าฮูหยินไม่มีสิทธิ์ หากพูดไปแล้ว เกรงว่าเมื่อเดินออกไปจากประตูนี้ ลูกหลานตระกูลมั่วไม่มีความหวังที่จะได้ร่ำเรียนในสำนักวิชาการของแคว้น ทำลายเส้นทางการเรียนรู้ของลูกหลานตระกูลมั่ว แล้วเขาก็จะกลายเป็นคนบาปของตระกูลมั่ว

ผู้อาวุโสใหญ่มั่วไหวตัวเร็ว ยิ้มแล้วพูดอธิบายทันที “ความหมายของหัวหน้าตระกูลคือ จย่าฮูหยินฐานันดรศักดิ์สูงส่งและมีเรื่องให้ทำมากมาย จะรบกวนท่านได้อย่างไร เรื่องของตระกูลมั่วก็ควรให้คนตระกูลมั่วดูแล…”

หัวหน้าตระกูลมั่วดึงสติกลับมา ยิ้มแล้วพูดยืนกราน “ถูกต้องๆ ข้าหมายความเช่นนี้ เชียนเสวี่ยปฏิเสธความหวังดีของจย่าฮูหยินเถอะ รบกวนคนนอก ไม่ดีเท่าใดนัก…”

คนนอก?!

สีหน้าเย้ยหยันของมั่วเชียนเสวี่ยแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ขอเรียนถามหัวหน้าตระกูลมั่ว ยามเชียนเสวี่ยตกทุกข์ในท้องพระโรง จย่าฮูหยินที่เป็นเพียงคนนอกก้าวออกมาช่วยข้าได้ แต่ป้าสะใภ้ของเชียนเสวี่ยที่บอกว่าเป็นคนในครอบครัว เวลานั้นท่านอยู่ที่ใด ตอนเชียนเสวี่ยเพิ่งกลับเข้าเมืองหลวง เกือบตายในวังหลวง คนที่ว่าจ้างพวกขอทานมาก่อความวุ่นวาย ลอบแทงข้างหลังเชียนเสวี่ยคือผู้ใด อีกเรื่องหนึ่ง เชียนเสวี่ยเกือบตายระหว่างทางกลับเมืองหลวง ในท้องพระโรงรอบตัวเชียนเสวี่ยเต็มไปด้วยศัตรู ผู้ที่อยู่เบื้องหลังวางแผนทำร้ายเชียนเสวี่ยอยากจะครอบครองบรรดาศักดิ์ของเชียนเสวี่ยคือผู้ใด”

เชียนเสวี่ยเหยียดกายลุกขึ้น บีบต้อนทุกย่างก้าว “อย่าคิดว่าการที่ข้าไม่พูด เรื่องโสมมที่พวกท่านทำจะไร้ช่องโหว่”

หัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสทั้งหลายต่างเงียบ

มั่วเชียนเสวี่ยและตระกูลหนิงหมั้นหมายกันแล้ว นับจากนี้นางถือเป็นครึ่งหนึ่งของตระกูลหนิง สายข่าวของตระกูลหนิงอยู่ทั่วใต้หล้า เรื่องเหล่านี้ แม้พวกเขาอยากจะปกปิดก็ไม่อาจปกปิดได้

มั่วเชียนเสวี่ยเก็บความเคืองขุ่น สะบัดชายเสื้อ เหยียดกายลงนั่ง ความน่าเกรงขามของนางแผ่ซ่านออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ นางปรับน้ำเสียงจนเยือกเย็น “สำหรับเชียนเสวี่ยแล้ว จย่าฮูหยินคือแม่บุญธรรมของเชียนเสวี่ย ทั้งยังเป็นเพียงคนเดียวที่เชียนเสวี่ยยอมรับเป็นญาติมิตร มั่วฮูหยินผู้ไม่รู้ความต่างหากที่เป็นคนนอก”

จู่ๆ หัวหน้าตระกูลก็นึกขึ้นได้ เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยได้ยินมั่วเทียนฟ่างพูดเช่นนี้เหมือนกัน แค่ว่าถ้อยคำในตอนนั้นคือ ‘เจ้าคู่ควรเป็นญาติมิตรของข้ามั่วเทียนฟ่างด้วยหรือ? เวลานี้ ในปฐพีนี้ ญาติเพียงคนเดียวของข้ามั่วเทียนฟ่างคือเฟิงชิงอวี่’

เวลานั้นเฟิงชิงอวี่ยังไม่แต่งเข้าตระกูล เขากำลังคิดอยากจะยัดเยียดอนุภรรยาให้มั่วเทียนฟ่าง อยากจะควบคุมเขา

ชีวิตนี้ เรื่องที่เขาเสียใจที่สุดก็คือ หลังจากท่านพ่อตายเขาไม่ได้รับมั่วเทียนฟ่างและมารดากลับมา

“เจ้า…” ทันทีที่พูดออกมา เขาก็ดึงสติกลับมาได้ เวลานี้เขาไม่อาจขัดแย้งกับมั่วเชียนเสวี่ย

เลือดสูบฉีดอย่างหนัก หัวหน้าตระกูลมั่วพูดเตือน “มั่วเชียนเสวี่ย เจ้าต้องจำเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าจะมีฐานันดรศักดิ์เช่นไร ถึงอย่างไรเจ้าก็แซ่มั่ว…”

แซ่มั่ว? พวกเขาเห็นนางเป็นคนตระกูลมั่วตั้งแต่เมื่อใด ตอนที่ท่านพ่อมีชีวิต พวกเขาอยากจะเอาประโยชน์จากท่านพ่อของนาง หลังจากท่านพ่อสิ้นใจ พวกเขาอยากจะกำจัดนางไม่ให้นางครอบครองจวนกั๋วกง

แซ่นี้ มั่วเทียนฟ่างท่านพ่อของนางไม่ยี่หระ นางมั่วเชียนเสวี่ยยิ่งไม่ยี่หระ

มั่วเชียนเสวี่ยอยากจะพูดให้หัวหน้าตระกูลมั่วที่ยังคงหน้ามืดตามัวรู้สึกเจ็บแสบกว่านี้ ทว่าพ่อบ้านมั่วกลับเดินเข้ามา

“คุณหนูใหญ่ขอรับ ท่านหญิงซูซูมาขอรับ”

มั่วเชียนเสวี่ยแปลกใจเล็กน้อย

เมื่อวานเพิ่งเดินเที่ยวเล่นกับท่านหญิงซูซูตลอดทั้งวัน แต่ท่านหญิงซูซูรอรับนางที่นอกจวนกั๋วกง ไม่ได้เข้ามาเที่ยวเล่นในจวน

ด้วยเหตุนี้ ก่อนจะจากลากันมั่วเชียนเสวี่ยจึงทิ้งท้ายเอาไว้ จวนกั๋วกงต้อนรับท่านหญิงทุกเมื่อ คิดไม่ถึงท่านหญิงซูซูจะใจร้อนเช่นนี้ ไม่เว้นระยะห่างแม้แต่วันหนึ่งมาหานางแต่เช้า

แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะแปลกใจ แต่นางก็ยินดีต้อนรับท่านหญิงซูซูอย่างมาก นางเหยียดกายลุกขึ้นแล้วพูด “เชียนเสวี่ยมีแขกคนสำคัญมา หากหัวหน้าตระกูลมั่วไม่มีธุระใด เชียนเสวี่ยขอตัวก่อน” มั่วเชียนเสวี่ยพูดเน้นย้ำคำว่าแขกคนสำคัญ

ซึ่งความหมายของนางก็คือ พวกเขาไม่ใช่แขกคนสำคัญของนาง

หลังจากพูดจบมั่วเชียนเสวี่ยก็เดินออกไปทันที มั่วปี้หรุ่ยเดินตามอย่างประจบสอพลอ “ปี้หรุ่ยออกไปต้อนรับท่านหญิงซูซูเป็นเพื่อนน้องเชียนเสวี่ย”

มั่วปี้หรงเห็นมั่วปี้หรุ่ยเดินออกไป จึงรีบเดินตาม พร้อมกับพูด “ปี้หรงก็ไปเป็นเพื่อนพี่เชียนเสวี่ยนะเจ้าคะ”

ท่านหญิงซูซูคือสตรีที่มีฐานันดรศักดิ์สูงที่สุด รองจากองค์หญิงแห่งราชวงศ์เทียนฉี ยามปกติพวกนางอยากจะพบเจอยังไม่มีโอกาสได้พบ โอกาสในการผูกมิตรที่ดีเช่นนี้จะปล่อยให้หลุดมือได้อย่างไร

พี่สาว น้องสาว พวกนางยังไม่ยอมแพ้อีก?

มั่วเชียนเสวี่ยชะงักฝีเท้า หันกลับไป จับจ้องพวกนางสองคน แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีพี่สาวและไม่มีน้องสาว คราวหน้า เรียกข้าว่าคุณหนูเชียนเสวี่ย”

พูดจบ นางหันหลังแล้วเดินออกไปอย่างเฉียบขาด

รอยยิ้มบนใบหน้าปี้หรุ่ยและปี้หรง ค่อยๆ เลือนหาย ทั้งที่เป็นพี่น้องในตระกูลซึ่งมีฐานะเท่ากัน แต่วันนี้กลับให้พวกนางเรียกว่าคุณหนูเชียนเสวี่ย นี่เป็นการตีตัวออกห่าง และเป็นการดูแคลนพวกนาง

ทั้งสองไม่มีเวลาลังเล มองสายตาของบรรดาผู้อาวุโส ตอบรับ “คุณหนูเชียนเสวี่ย พวกเราเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นเดินตามมั่วเชียนเสวี่ยไปอีกครั้ง

เพียงครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยและคนอื่นๆ เดินตามพ่อบ้านมั่วออกไปจากโถงใหญ่ ในห้องโถงมีเพียงหัวหน้าตระกูลมั่วและผู้อาวุโสสองสามคน แม้แต่บรรดาสาวใช้ก็ออกไปเงียบๆ กันหมดแล้ว

รอบตัวของหัวหน้าตระกูลมั่วแผ่ซ่านด้วยความเย็นยะเยือก สีหน้าของเขาเคร่งขรึมพูดเสียงเหี้ยม “ทำตามแผนที่วางไว้ในตอนแรก” สีหน้าของพวกผู้อาวุโสก็ไม่ดีนัก ทว่าไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลมั่วหมายถึงเรื่องใด พวกเขานิ่งชะงักครู่หนึ่ง หัวหน้าตระกูลมั่วกัดฟันแล้วพูดเสริม “มั่วเชียนเสวี่ยเหมือนพ่อของนาง ไม่รู้จักแยกแยะ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องผิดใจกับเบื้องบนเพื่อนาง…”

บรรดาผู้อาวุโสคล้ายจะตระหนักได้ “ฟังท่านหัวหน้าตระกูลทุกอย่าง”

“ให้ปี้หรุ่ยและปี้หรงมีไหวพริบเล็กน้อย อาศัยโอกาสนี้ผูกมิตรกับสตรีที่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง หากอาจเอื้อมไปถึงท่านหญิงซูซูที่มาในวันนี้ก็ดีเหมือนกัน อีกเรื่องหนึ่ง บอกให้พวกนางวางตัวดีๆ เมื่อพบเจอหัวหน้าตระกูลหนิง…” “ประเดี๋ยวข้าจะให้สาวใช้ไปบอกพวกนาง…”

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท