ตอนที่ 350 แผนร้ายของตระกูลหม่า
ยังมีเวลาอีกเจ็ดแปดนาทีจึงจะถึงบ่ายสองโมงที่นัดกับหม่าเทาเอาไว้ หลินม่ายไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียเปล่า จึงเตรียมทำหมวกให้เถาจืออวิ๋นดู
ดังนั้นจึงไปตัดผ้าจำนวนมากที่โรงงานกลับมายังห้องทำงานของเถาจืออวิ๋น
ก่อนพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “ไม่นึกว่าในผ้าดิบฤดูร้อนของเราจะยังมีเนื้อผ้าไหมกับผ้าฝ้ายที่สวยขนาดนี้อยู่อีก!”
เธอวางกองผ้าในอ้อมแขนทั้งหมดลงบนโต๊ะทำงานของเถาจืออวิ๋น แล้วหยิบผ้าไหมผ้าฝ้ายหรูหราหลากสีสามสี่ชิ้นขึ้นมาให้หล่อนดู
เถาจืออวิ๋นเหลือบมองเธอเล็กน้อย แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ “โชคดีที่ฉันเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่น ก็เลยมีสายตาเฉียบแหลมในการเลือกสีสันต่างๆ เธอไม่ต้องตื่นเต้นกับเรื่องเล็กน้อยไปหรอกน่า”
“ใช่ๆๆ นักออกแบบเถาของพวกเราตาถึงที่สุดเลย” หลินม่ายพูดยกยอปอปั้นเป็นการใหญ่ “ฉันอยากให้พี่ใช้ผ้าไหมหลากสีพวกนี้ทำชุดนอนให้ฉันสักสองชุด”
เถาจืออวิ๋นดูหนังสือแฟชั่นแบบผ่านๆ ไปพลางพูดไปพลาง “ได้สิ เธออยากได้แบบไหนล่ะ?”
หลินม่ายหยิบกระดาษกับปากกาบนโต๊ะทำงานของเธอขึ้นมา แล้ววาดรูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสายเดี่ยว “ฉันอยากได้แบบนี้”
แม้ว่าที่บ้านจะมีชุดนอนที่เถาจืออวิ๋นทำให้เธออยู่แล้ว แต่เนื้อผ้าของชุดนอนพวกนั้นหนาเกินไปหน่อย ใส่แล้วค่อนข้างร้อน เธอยากใส่ให้เย็นและเบาสบายกว่านี้สักหน่อย
เถาจืออวิ๋นมองรูปภาพพลางหัวเราะเสียงเบา “เธอนี่ช่างกล้าหาญจริงๆ ไม่นึกว่าจะอยากได้แบบที่เซ็กซี่ขนาดนี้ ได้ เดี๋ยวฉันทำให้”
ขณะที่พูดอยู่ ก็ถึงเวลาบ่ายสองโมงพอดี หล่อนมองไปที่ประตูห้องทำงานอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย
ภายใต้พระอาทิตย์ดวงโต ไม่มีใครอยู่ข้างนอกแม้แต่คนเดียว นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เดินตรวจตรา ไม่เห็นวี่แววของคนตระกูลหม่าเลยแม้แต่น้อย
หลินม่ายถือโอกาสที่ไม่มีอะไรทำในตอนนี้ ใช้เศษผ้าชิ้นหนึ่งทำหมวกเสียเลย
ห้องทำงานของเถาจืออวิ๋นมีกรรไกรเข็มและด้ายสำเร็จรูปอยู่ จึงสะดวกแก่การทำงานฝีมืออย่างมาก
ในชาติที่แล้วเธอเป็นเทพปีศาจแห่งการ DIY คนหนึ่งเชียวนะ
อย่าว่าแต่ทำหมวกจากเศษผ้าเลย ปิ่นปักผมที่ใส่คู่กับชุดฮั่นฝูซึ่งปักยากมากเธอก็ยังทำออกมาได้อย่างละเอียดงดงาม เธอมักจะนำไปให้คนอื่นบ่อยๆ คนที่ได้รับของขวัญต่างก็ชอบใจกันมาก
ที่สำคัญคือในชาติก่อน เธอมีเพียงสามีในนาม แต่ไม่มีลูก
ความรักและเวลาทั้งหมดของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนยกให้หลินเพ่ยไปหมด แม้ได้เป็นตัวสำรองของหล่อนเขาก็ยังเต็มใจ ส่วนเธอก็เป็นคนเดียวที่โดดเดี่ยวลำพัง
ยามว่างเว้นจากการทำงานแล้ว ถ้าเธอไม่หาอะไรให้ตัวเองทำ ก็จะคิดฟุ้งซ่านและหดหู่ใจ
เพื่อทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้อย่างสดใสสักนิด เธอจึงทั้งอ่านหนังสือ ทั้งเรียนงานฝีมือมากมาย ทั้งทำงาน DIY ต่างๆ นาๆ เติมเต็มตัวเอง หลอกตัวเองให้ลืมเลือนความเศร้า
แม้จะบอกว่าความเฉยเมยของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนทำให้ทักษะความสามารถของเธอสมบูรณ์ แต่เธอยอมไม่มีทักษะพวกนี้ แลกกับการได้ดูแลลูกและสามีอย่างมีความสุขเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ ดีกว่า
โชคยังดี ที่ความเศร้าและความเจ็บปวดในชาติที่แล้ว ถูกฟางจั๋วหรานค่อยๆ เยียวยาไปจนหมดสิ้นแล้วในชาตินี้
แม้หลินม่ายจะกำลังจดจ่ออยู่กับการหมวก แต่เธอกลับเห็นทุกการเคลื่อนไหวของเถาจืออวิ๋นอยู่ในสายตา
เธอเอ่ยปลอบขวัญ “ไม่ต้องกังวลหรอก รออีกหน่อย ถ้าไอ้สารเลวนั่นกล้าไม่มาล่ะก็ ฉันจะตามไปฆ่ามันถึงที่ทำงานเลย!”
เถาจืออวิ๋นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางมาดราวกับไม่ยี่หระต่อความตายใดๆ ทั้งสิ้น “ถ้าจะทำอย่างนั้นจริงๆ ให้ฉันไปเองดีกว่า!”
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองไปทางหล่อน “เอ๋? ไม่กลัวเสียหน้าแล้วเหรอ?”
เถาจืออวิ๋นเผยความหวาดหวั่นออกมาเล็กน้อย “จะกลัวไม่ได้แล้วนี่นา เอาแต่ให้เธอออกหน้าให้ฉันตลอดไม่ได้หรอก ฉันต้องยืนหยัดด้วยตัวเองบ้างสิ…”
หลินม่ายยกยิ้มมุมปาก
หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนกัน เธอเองก็ไม่อยากออกหน้าแทนหรอก ถ้าหล่อนยอมยืนหยัดด้วยตัวเองก็คงจะดีมาก
หม่าเทาในตอนนั้นกำลังปรึกษาหารือกับเวินหงเหมยรักแรกของเขาพร้อมกับพ่อหม่าแม่หม่า ว่าจะทำอย่างไรให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดในการหย่ากับเถาจืออวิ๋น
พ่อหม่าสูบบุหรี่ พลางพูดกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของตนด้วยสายตาดุร้าย
“ในเมื่อเรื่องการหย่าของแกกับนังสารเลวสกุลเถานั่นเป็นที่แน่นอนแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ อย่างนั้นก็แย่งฉีฉีมาเลี้ยงดูเสียเลยสิ ตราบใดที่ฉีฉีอยู่ในมือของเรา ก็ไม่ต้องกลัวว่านังสารเลวจะไม่ส่งเงินมาให้เราใช้แต่โดยดีแล้ว”
เวินหงเหมยรักแรกของหม่าเทากอดลูกสาวอายุห้าขวบของตนนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่ง หล่อนมองแม่หม่าพ่อหม่า แล้วหันไปมองหม่าเทาอีกที ก่อนพูดขึ้นอย่างลังเล “แล้วถ้าเกิดยัยสกุลเถานั่นไม่ให้เงินล่ะ?”
แม่หม่าพูดอย่างชั่วร้าย “ถ้านังสารเลวนั่นไม่ให้เงิน เราก็ทารุณฉีฉี ต่อให้ต้องบังคับก็ต้องทำให้หล่อนยอมศิโรราบให้ได้!”
ในแววตาของเวินหงเหมยฉายวาบความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้
หล่อนไม่นึกว่าพ่อหม่าแม่หม่าจะโหดเหี้ยมขนาดนี้
ในใจเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย ว่าที่ตนอุตส่าห์ดั้นด้นมาแต่งงานกับหม่าเทานั้นมันถูกต้องหรือไม่กันแน่
แต่ว่า…ถ้าไม่แต่งกับเขา ด้วยเงินเดือนลูกจ้างชั่วคราวเดือนละ 18 หยวนของตนนั้น ตัวหล่อนสองแม่ลูกคงใช้ชีวิตยากลำบากชักหน้าไม่ถึงหลังแล้วจริงๆ เธอต้องหาผู้ชายสักคนไว้พึ่งพาอาศัย
อีกทั้งด้วยสภาพในตอนนี้ของหล่อน ผู้ชายที่สามารถจับได้ก็มีแต่หม่าเทาเท่านั้น
ว่าพี่พ่อแม่สามีโหดเหี้ยม ตนแค่หลอกให้หม่าเทาไปปรามพ่อแม่ของเขาก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ
หลังจากคิดทบทวนดูแล้ว เวินหงเหมยก็ไม่ใส่ใจกับความร้ายกาจของพ่อหม่าแม่หม่าอีก
สิ่งที่หล่อนเป็นห่วงก็คือเถาจืออวิ๋นจะส่งเงินให้พวกเขาใช้แต่โดยดี อย่างที่พ่อแม่สามีผู้ชั่วร้ายคำนวณไว้หรือเปล่า
หล่อนมองไปทางหม่าเทา “บางทีอดีตภรรยาของนายอาจจะโกรธเกลียดคุณก็ได้นะคะ ต่อให้รู้ว่าฉีฉีถูกทารุณ แต่ให้ตายก็ไม่ยอมควักเงินให้ขึ้นมาจะทำยังไง?”
หม่าเทาพูดอย่างสบายๆ “ถ้าอย่างนั้นก็โยนฉีฉีกลับไปให้หล่อนก็จบแล้ว มันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรกัน!”
คำตอบของหม่าเทาได้เปลี่ยนความเข้าใจของเวินหงเหมยที่มีต่อเขาใหม่
หล่อนเอ่ยเตือนสติ “ฉีฉีเป็นลูกชายแท้ๆ ของคุณนะคะ”
คำพูดของหล่อน ไม่ได้เป็นไปเพื่อผดุงความยุติธรรมให้ฉีฉี
หล่อนเองก็ไม่ได้เป็นคนที่มีคุณธรรมอะไร หากมีคุณธรรมก็คงไม่ทำลายชีวิตคู่ของคนอื่นหรอก
ที่หล่อนพูดแบบนี้ก็เพียงเพื่ออยากรู้ว่า หม่าเทาจะสามารถไร้หัวใจได้ถึงขั้นไหนกันแน่
หม่าเทาพูดเต็มปากเต็มคำอย่างมั่นใจ “ก็เพราะฉีฉีเป็นลูกชายแท้ๆ ของผมไง ผมเลยต้องให้แม่แท้ๆ ของเขาเลี้ยงดู ใครใช้ให้แม่ของเขาฐานะดีกว่าผมกันล่ะ?”
เขายื่นมือออกไปลูบหัวเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนของหงเหมย แล้วขยิบตาให้เธอ “ผมเลี้ยงแค่ลูกสาวของเราคนเดียวไม่ดีเหรอ?”
เวินหงเหมยได้ยินแบบนั้น ก็ไม่ได้รู้สึกว่าหม่าเทาไร้หัวใจอีก
อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อหล่อนอย่างไร้ความรู้สึก
ไม่กี่ปีมานี้ที่หล่อนกับเขาตัดขาดกัน หม่าเทาก็จ่ายเงินให้หล่อนไปไม่น้อย น่ากลัวว่าเงินนั้นคงจะเป็นเงินของภรรยาเก่าของเขา
ในตอนนี้เขาก็ยอมหย่ากับภรรยาเก่าเพื่อแต่งงานกับหล่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ารักตนหัวปักหัวปำ
ดังนั้นหล่อนจะไปสนใจว่าเขาจะไร้หัวใจกับลูกชายที่เกิดกับภรรยาเก่าไปทำไมกัน?
ขอแค่เขารักหล่อนด้วยใจจริงก็พอแล้ว
แม่หม่าจ้องมองเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนของเวินหงเหมยด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
เด็กผู้หญิงคนนั้นทั้งดำทั้งผอมทั้งน่าเกลียด ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่เหมือนลูกชายผู้หล่อเหลาของนางเลย และก็ไม่เหมือนเวินหงเหมยที่หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มด้วย
นางถามลูกชายของตนอย่างสงสัย “นังหนูคนนี้เป็นลูกสาวแท้ๆ ของแกจริงเหรอ?”
หม่าเทาตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของผม แล้วจะเป็นของใครได้? เพราะผู้ชายของหงเหมยพบว่าตัวเองเป็นหมัน ถึงได้รู้ว่าถงถงไม่ใช่ลูกของเขา ฉะนั้นเลยหย่ากับหงเหมยไงล่ะ”
แม่หม่าถาม “งั้นแกอธิบายให้ฉันฟังหน่อย ว่าทำไมนังหนูนี่ถึงได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดนี้? แกกับหงเหมยก็ไม่ได้ขี้เหร่เสียหน่อย!”
ความหมายในคำพูดนั้น คือเวินหงเหมยอาจจะไม่ได้เป็นชู้กับเขาแค่คนเดียว แต่ยังมีผู้ชายคนอื่นอีก
ในเมื่อหล่อนสามารถเล่นชู้กับหม่าเทาได้ในขณะที่มีสามีอยู่ ก็คงสามารถเล่นชู้กับผู้ชายคนอื่นได้เช่นกัน
ผู้หญิงไร้ยางอายคนหนึ่ง จะสมสู่กับใครก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่อีกฝ่ายมีประโยชน์กับหล่อน
นางไม่เชื่อหรอกว่านังหนูคนนี้ก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของลูกชายหล่อน
หม่าเทาโบกมือ “ถงถงยังเล็ก เดี๋ยวโตขึ้นก็สวยเองแหละน่า”
แม่หม่าเห็นลูกชายยืนยันขนาดนั้น ก็ไม่พูดอะไรมากอีก
แต่ในใจวางแผนว่าหากมีโอกาสจะกำจัดหนามยอกอกนี้ทิ้งไปเสีย
เพียงพริบตาก็เกือบถึงเวลาบ่ายสองครึ่งแล้ว เถาจืออวิ๋นสงบอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไป หล่อนกัดฟันกรอด ตบโต๊ะแล้วผุดลุกขึ้น “ฉันจะไปตามหาไอ้เวรนั่นแล้ว!”
ก็เห็นลุงยามพาหม่าเทาไอ้เศษเดนนั่นเข้ามาพอดี
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ตระกูลหม่านี่ร้ายกาจจริงๆ ขอให้จืออวิ๋นสลัดหลุดด้วยเถอะ ปล่อยให้พวกมันกัดกันแย่งผลประโยชน์กันเอง
ไหหม่า(海馬)