“คนนี้ใช่ไหมครับ”
อีอูยอนยื่นโทรศัพท์มือถือให้ดูภาพของหมอที่ตัวเองหาและเอ่ยถาม
“ผะ ผมจำ…”
อินซอบอ้ำอึ้งและหลบสายตา อีอูยอนยิ้มราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนั้น และเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าตามเดิม
“ถ้าคุณอินซอบจำไม่ได้ ผมไปหาและถามด้วยตัวเองก็ได้ครับ”
“ครับ?”
อินซอบที่ตกตะลึงเงยหน้าขึ้นมา
“เขามีแค่หัวเป็นเครื่องประดับถึงขนาดกับมองชาร์ตของคนไข้ผิดได้ยังไงครับ แบบนั้นจะไม่สะดวกหรือเปล่า”
“อย่าทำแบบนั้นนะครับ เขาก็แค่ทำผิดพลาดเฉยๆ…”
“นั่นสินะครับ คนเราสามารถทำผิดกันได้อยู่แล้ว”
อีอูยอนพยักหน้า
“ดังนั้นผมเองก็สามารถชนท้ายรถยนต์สีขาวของคุณหมอปาร์คด้วยความผิดพลาดได้เหมือนกัน”
“คุณรู้เรื่องนั้นได้ยังไง…”
ความจริงที่อีกฝ่ายรู้ไปจนถึงสีรถยนต์ของคุณหมอปาร์คภายในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้อินซอบพูดไม่ออก
“ล้อเล่นครับ ผมแค่ลองเดาดู เพราะเป็นสีที่ถูกเลือกมากที่สุดตอนที่ซื้อรถยนต์ที่เกาหลี”
“…”
อีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่จะสืบค้นสีรถยนต์ ชนิดของเครื่องจักร ทะเบียนรถยนต์…ไปจนถึงที่อยู่อย่างไม่เลือกวิธีในอีกไม่ช้าอย่างแน่นอน อินซอบกลัดกลุ้มใจเล็กๆ ว่าทำไมเขาถึงได้รักคนที่เป็นแบบนั้นได้
“ทำไมครับ กลัวว่าผมจะไปหาจริงๆ เหรอ”
ชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงามเหมือนจะทำคนกระวนกระวายใจได้ด้วยการสบตาเพียงอย่างเดียวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“…ห้ามไปหานะครับ”
อินซอบห้ามอีอูยอนอย่างจริงจังด้วยน้ำเสียงที่เงียบสงบ เขาไม่สามารถพูดว่าไม่คิดแบบนั้นได้ แม้จะเป็นการพูดตามมารยาทก็ตาม
“เพราะคุณอินซอบกังวลน่ะสิครับ อย่างนั้นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาแล้ว”
คนที่บอกว่าจะไปตามหาหมอดีไหมอยู่จนถึงเมื่อสักครู่นี้เปลี่ยนหัวข้ออย่างหน้าตาเฉย
“ผมเข้าใจว่าคุณเป็นห่วงนะครับ ผมรู้สึกผิดกับเรื่องนั้นมาก แต่ 24 ชั่วโมง…”
“24 ชั่วโมง?”
อีอูยอนพูดคำพูดสุดท้ายตามและเอ่ยถาม
“…มันไม่เป็นการปกป้องมากเกินไปเหรอครับ”
ยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้น เขาต้องทำตัวติดอีกฝ่ายตลอด แม้จะไม่ทำแบบนั้น แต่ก็มีสิ่งที่อีอูยอนต้องอดทนเพราะสุขภาพของตนเยอะอยู่แล้ว แล้วตนก็ไม่อยากจะเพิ่มอะไรลงไปในนั้นอีก
“ถ้าผมออกไปใช้ชีวิตในระหว่างที่ไม่มีคุณอินซอบจะทำยังไงล่ะครับ เพราะต้องชนท้ายรถแน่ๆ”
“…”
ประธานของประโยคไม่ชัดเจนว่าใครชนรถใคร
“เพราะฉะนั้นคุณอินซอบช่วยดูแลผมมากๆ หน่อยนะครับ”
อินซอบมองอีอูยอนอยู่สักพักและถอนหายใจ
“…ครับ”
“งั้นเรากลับไปที่บ้านแล้วค่อยปรึกษาเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยกันนะครับ”
“เข้าใจแล้วครับ”
พออินซอบพยักหน้า อีอูยอนก็ก้าวเดินอีกครั้งราวกับพึงพอใจ
“แล้วผมก็จะติดตั้งแอปพลิเคชั่นติดตามตำแหน่งในโทรศัพท์มือถือของคุณอินซอบด้วยครับ”
“ครับ?”
“ถ้าคุณอินซอบเกิดเจ็บป่วยและติดต่อไม่ได้ในสถานการณ์ที่อยู่ห่างกับผม แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนจะทำยังไงล่ะครับ”
“…ด้วยการอยู่ห่างกันไม่เกิน 24 ชั่วโมง…”
“คุณอาจจะเจ็บป่วยในเวลา 23 ชั่วโมง 59 นาทีก็ได้นี่”
อีอูยอนยิ้มอย่างสดใสและเอ่ยตอบ อินซอบรู้แล้วว่าอีอูยอนในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะคุยกันรู้เรื่องแล้ว
“…ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบพยักหน้าอย่างว่าง่าย อย่างไรก็ตามการที่เขาต้องเชื่อฟังคำพูดของอีกฝ่ายทุกอย่างในคราวนี้ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะเขาเป็นคนกระตุ้นความกังวลใจของอีอูยอน
“แต่มีแอปพลิเคชั่นแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอครับ”
ตายิ้มของอีอูยอนชัดเจนมากขึ้นเพราะคำถามของอินซอบ
“ก็ไม่รู้สิครับ ถ้าไม่มีผมจะจ่ายเงินและขอให้ทำขึ้นมาครับ”
“…”
ติดตั้งไว้แล้วใช่ไหม
อินซอบลูบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่อยู่ในกระเป๋าเงียบๆ
เขาเดินไปตามทางเดินแล้วภาพของคนที่รวมตัวกันสวดมนต์ในห้องพักรับรองก็เข้ามาในสายตาของอินซอบ
“อยากไปสวดมนต์เหรอครับ”
อินซอบถามกลับว่า “ครับ?” เพราะคำถามที่กะทันหันของอีอูยอน
“ก็คุณทำหน้าเหมือนอยากทำ”
“เปล่าครับ ผมแค่มองเฉยๆ ครับ”
อีอูยอนส่งเสียงในลำคอและเอียงคอ
“แม้โดยรวมจะคล้ายๆ กันหมดสำหรับผม แต่เรื่องศาสนาต่อให้จะพยายามเข้าใจแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ อยู่ดีครับ”
ที่ห้องหนังสือของอีอูยอนมีหนังสือด้านมนุษยศาสตร์ที่เกี่ยวกับศาสนาอยู่หลายเล่ม แม้จะสงสัยเล็กน้อย แต่อินซอบก็ปล่อยผ่านไป เพราะรู้ถึงรสนิยมในการอ่านหนังสือของอีกฝ่ายที่กว้าง แต่พอได้ยินคำพูดที่บอกว่าพยายามที่จะเข้าใจแม้กระทั่งเรื่องนั้นแล้ว เขากลับรู้สึกสงสาร
“…ครับ”
“การให้เงินหรืออธิษฐานกับสิ่งที่มองไม่เห็นก็เหมือนกัน สู้ทำอะไรบางอย่างในตอนที่สวดมนต์ไม่ดีกว่าเหรอ”
อินซอบหัวเราะเจื่อนๆ เพราะเขารู้ว่าอีอูยอนเป็นคนที่ถ้าอยากได้อะไรจริงๆ จะทำทุกอย่างเพื่อคว้ามันไว้ในมือ
“…คุณเคยไปโบสถ์ไหมครับ”
อินซอบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ครับ เคยอยู่สองสามครั้งตอนเด็กๆ เป็นเรื่องที่ยากลำบากจริงๆ ครับ”
“ใช่ครับ ลำบากมากครับ ผะ ผมเองก็เคยหลับอยู่หลายครั้ง เพราะการพูดของศาสนาจารย์น่าเบื่อ”
สายตาของอีอูยอนที่มองคนรักที่ตั้งใจตอบรับคำพูดของตนเต็มไปด้วยความเอ็นดู
ตอนเด็กๆ อีอูยอนเคยถูกแม่ลากไปที่โบสถ์ที่ไม่ใช่คริสตจักรอยู่หลายครั้ง แม้จะบอกว่าเป็นโบสถ์แต่ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง บาทหลวงที่ใส่ชุดนักบวชตะโกนบทสวดมนต์ด้วยเสียงที่ดังไม่หยุด มันก็คล้ายกับการพูดอบรมของศาสนาจารย์
เขาเบื่อและเซ็งจนอยากตาย ถ้าจะมีสิ่งที่ต่างไปนิดหน่อยก็คือบาทหลวงสวดมนต์ด้วยคำพูดที่ฟังไม่เข้าใจกับความจริงที่ว่าบาทหลวงคนนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงในด้านการปราบปีศาจ
นั่นเป็นการดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเป็นครั้งสุดท้ายของแม่เพื่อลูกชายที่ไม่เห็นว่าอาการจะดีขึ้นเลยสักนิดแม้จะรับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชมาแล้ว ถ้าถูกปีศาจเข้าสิ่งน่าจะเป็นปัญหาที่ง่ายดายเสียกว่า เพราะทุกอย่างน่าจะจบด้วยการพรมน้ำมนต์สองสามขวดและตะโกนบทสวดอีกสองสามครั้ง
“อืม งั้นเหรอครับ”
อีอูยอนตอบราวกับจะบอกว่าไม่เชื่อ
“ผมเคยแกล้งป่วยเพราะไม่อยากไป และไม่ไปด้วยครับ”
พอเขาทำแบบนั้น อินซอบก็พูดอดีตที่ดำมืดของตัวเองออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
อีอูยอนกลั้นหัวเราะด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ตัวเขาตอนเด็กมักจะจินตนาการว่าหยิบไม้กางเขนอันใหญ่ที่ติดอยู่ที่ผนังออกมาและฟาดลงบนหัวกบาลของบาทหลวงทุกครั้งที่หยดน้ำมนต์กระเด็นโดนหน้า แน่นอนว่ามันหยุดอยู่ในจินตนาการ เพราะเขาอยู่ในอายุที่รู้แล้วว่าหากทำตามใจอยากจะไม่จบแค่การรักษา แต่อาจจะต้องถูกขังในโรงพยาบาลตลอดไป
“…จริงๆ นะครับ เชื่อเถอะครับ”
อีกฝ่ายขอให้เชื่อในความผิดของตัวเองและเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาของคนมีศีลธรรม ถ้าจะให้ไล่เรียงเรื่องราวความรักทั้งหมดที่มีจนถึงตอนนี้ ชเวอินซอบควรจะเป็นคนที่ลากมือตนไปหาบาทหลวงคนนั้นเป็นร้อยครั้ง
“จริงๆ นะ…”
คิ้วของอินซอบลู่ลงเล็กน้อยราวกับรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม อีอูยอนคิดว่าเขาทำได้ดีมากจริงๆ ที่ไม่ใช้ไม้กางเขนฟาดหัวบาทหลวงคนนั้น เพราะถ้าตอนนั้นเขาทำแบบนั้น เขาก็จะไม่ได้เจอกับสิ่งนี้
อีอูยอนใช้ปลายนิ้วดันคิ้วที่ลู่ลงของอินซอบขึ้นพลางพูดต่อ
“ยังไงศาสนาก็เป็นธุรกิจที่จะไม่ล้มเหลวครับ เพราะเป็นเรื่องที่ทำให้คนที่อ่อนแอได้รับชัยชนะทางด้านจิตใจ ขอโทษนะครับ”
อีอูยอนกดปุ่มลิฟต์และเอ่ยขออนุญาตคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าสะดุ้งตกใจและหันกลับมามอง เพราะน้ำเสียงที่เหมือนกับแตรของสวรรค์ที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
อินซอบนึกถึงคำพูดที่กรรมการผู้จัดการคิมเคยพูดทันที
‘โชคดีแล้วที่ไอ้เจ้าอีอูยอนไม่มีจุดมุ่งหมายในเรื่องศาสนา ถ้าคนแบบนั้นได้เป็นผู้นำศาสนาจอมปลอมขึ้นมา คนต้องตายเยอะมากแน่ๆ ถ้าจะหลอกลวงอยู่แล้ว มาเป็นนักแสดงน่าจะดีกว่า’
ใบหน้าที่อ่อนโยนและงดงาม ท่าทีที่ดูศักดิ์สิทธิ์ และน้ำเสียงที่ราวกับจะทำให้แก้วหูละลายไปตรงนั้น
“มาแล้วครับ”
พอลิฟต์มาถึง อีอูยอนก็หันมามองอินซอบ ทันทีที่สบตากัน เขาก็รู้สึกเหมือนหัวใจตกไปที่ตาตุ่ม คำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมถูกต้อง
…โชคดีจริงๆ ที่เป็นนักแสดง
“เข้าไปเลยครับ”
“…ขอบคุณครับ”
อีอูยอนให้อินซอบเข้าไปในลิฟต์ก่อนและเดินตามหลังเข้ามา คนที่อยู่ในลิฟต์เหลือบมองเขา
“แล้วคุณอินซอบคิดยังไงครับ”
น้ำเสียงนุ่มนวลของอีอูยอนกระทบกับภายในลิฟต์ที่เงียบสงบ อินซอบเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ผมหมายถึงเรื่องศาสนาน่ะครับ”
“ครับ?…เอ่อ ผมคิดว่า…”
ความสนใจของทุกคนก็พลอยพุ่งมาที่อินซอบด้วย เขาเหงื่อไหล ภายในลิฟต์ที่คับแคบ เขายืนอยู่ใกล้จนเข่าแตะกับอีอูยอน ไม่มีใครปริปากพูดเลย เขารู้สึกว่าทุกคนกำลังเงี่ยหูฟังบทสนทนาของเขากับอีอูยอน อินซอบกำชายเสื้อและปล่อยพร้อมกับเอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก
“ถ้าเหนื่อย ไม่ว่าใครก็จะเกิดความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติครับ พวกเขาจะพึ่งพิงสิ่งที่อยู่เหนือกว่า หรือหวังในปาฏิหาริย์ เพราะฉะนั้น…”
เขารู้สึกว่าเวลาที่ลงไปจนถึงชั้นหนึ่งยาวนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ อินซอบทำหน้าเหมือนไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ และค่อยๆ พูดต่ออย่างอ้ำอึ้ง
“เพราะมีส่วนที่เป็นไปไม่ได้ด้วยความพยายามด้วย ไม่ว่าอย่างไรในความรู้สึกที่ว่าอยากให้ใครสักคนทำให้…”
ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับเสียงดัง ติ๊ง พอคนลงลิฟต์ไป อินซอบก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและเงยหน้าขึ้น เขาสบตากับอีอูยอน ความเอ็นดูที่รุนแรงปรากฏในดวงตาของอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มอยู่
“เพราะฉะนั้นคุณอินซอบเองก็เห็นด้วยกับความคิดของผมสินะครับ”
“ผะ ผมเหรอครับ”
“ก็คุณบอกว่าถ้าเหนื่อยก็จะคาดหวังปาฏิหาริย์นี่ครับ ชัยชนะทางจิตวิญญาณหัวค*ยอะไรนั่นน่ะ”
อินซอบกังวลว่าจะมีใครได้ยินคำพูดที่หยาบคายของอีอูยอนหรือเปล่า และรีบมองไปรอบๆ
“ถ้าได้ยินแล้วจะเป็นยังไงเหรอครับ ผมพูดคำที่พูดไม่ได้ในประเทศที่มีอิสระทางศาสนาเหรอ”
อีอูยอนทำแววตาขี้เล่นและยิ้ม เป็นสีหน้าที่แตกต่างกับใบหน้าที่เห็นหน้าห้องตรวจรักษาอย่างสิ้นเชิง อินซอบรับรู้ได้ว่าความกังวลของอีกฝ่ายผ่อนคลายลงแล้ว พฤติกรรมของอีกฝ่ายที่เปิดเผยออกมาทำให้อินซอบรู้สึกเอ็นดูราวกับเผชิญหน้ากับเด็กเล็กๆ จู่ๆ เขาก็สงสัย ว่าถ้าช่วงเวลาหวาดกลัวและไม่สามารถเอาชนะมาถึง อีกฝ่ายจะอ้อนวอนหรือพึ่งพิงความอ่อนแอของตัวเองไว้กลับพระเจ้าไหม
“…คุณอีอูยอนเคยสวดมนต์ไหมครับ”
“ไม่ครับ”
คำตอบที่เด็ดขาดถูกส่งกลับมา เป็นปฏิกิริยาที่สมกับเป็นอีอูยอน อินซอบหัวเราะเบาๆ
“แต่เมื่อวาน…”
สายตาของอีอูยอนไล่มองใบหน้าของอินซอบ ใบหน้าที่เขาจ้องมองไม่หยุดในความมืดตลอดเมื่อคืนวาน
“ผมคิดว่าถ้าพระเจ้ามีจริงและทำให้คุณไม่ป่วยได้ ผมจะหมอบลงตรงหน้าและเลียให้ได้แม้แต่เท้า”
“…”
ชายหนุ่มที่ไม่เชื่อในเรื่องของพระเจ้าเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเองออกมาและสารภาพความรู้สึกที่จริงใจต่ออีกฝ่ายออกมา
อินซอบพูดอะไรไม่ออก
“รอตรงนี้นะครับ ผมจะเอารถมารับ”
ตึกจอดรถอยู่ในระยะทางที่ต้องไปเดินไปพอสมควร
“ไปด้วยกันครับ”
พออินซอบเดินออกมา อีอูยอนก็พูดว่า “ฝนตกนะครับ” และยกฝ่ามือขึ้นมาดูกลางอากาศ หยาดฝนกำลังโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าที่มืดครึ้ม
“เดี๋ยวผมมาครับ รอนะครับ”
อีอูยอนที่เดินออกไปนอกตึกพูดว่า “ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรศัพท์มานะครับ” และใช้มือทำเป็นคุยโทรศัพท์ให้เห็น
อินซอบรีบพยักหน้า
อินซอบมองด้านหลังของอีอูยอนที่ห่างออกไปตรงล็อบบี้และถอนหายใจ เรื่องราวต่างๆ ที่ตัวเองทำเมื่อวานเริ่มโผล่ขึ้นมาในหัวทีละเรื่อง
เขาขึ้นเครื่องบินและไปจนถึงที่นั่นโดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ผิดพลาดให้ดีก่อนจะร้องไห้บอกว่ากลัว และออดอ้อน…
“เฮ้อ…”
อินซอบถอนหายใจพลางใช้ฝ่ามือลูบแก้มที่แดงก่ำ เขาแสดงสภาพที่น่าสงสารให้อีอูยอนเห็น
เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว…น่าอายจริงๆ
“โง่จริงๆ โง่…”